บทที่ 128 การรายงานตัวต่อโรงเรียน

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 128
การรายงานตัวต่อโรงเรียน

โม่อ้ายลี่พยักหน้า “ใช่!” เธอไม่ได้คิดว่ามีอะไรผิดปกติ
มู่หรงเสวี่ยเองที่อ่อนไหวกว่าและเห็นว่าหลิวฮัวลี่รู้สึกไม่ค่อยสะดวกใจเท่าไร “อย่าไม่สนใจมากเลย พวกเราก็ยังเป็นเรา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง…”

หลิวฮัวลี่คิดเรื่องนี้แล้วก็คิดว่ามันก็จริง เขาไม่ใช่คนที่มองที่ฐานะครอบครัวของคนอื่น แล้วทำไมเขาจะต้องมาสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยล่ะ? หลังจากที่คิดได้ เขาก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ “งั้นฉันคงจะคิดมากเกินไปเอง…”

หลังจากนั้นพวกเขาก็คุยกันอย่างสนุกสนานและความเข้าใจของแต่ละคนก็พัฒนาขึ้นมาก จนแทบไม่อยากที่จะแยกจากกัน พวกเขาเหมือนเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน การได้พบเจอบางครั้งก็ราวกับเวทมนตร์ที่ได้กลายเป็นเพื่อนกันแม้จะได้คุยกันเพียงไม่กี่คำ ต่างกับบางคนที่แม้จะรู้จักกันมาทั้งชีวิตแต่ก็เป็นแม้แต่เพื่อนยังไม่ได้

ต่อมาพวกเขาก็ไปเที่ยวในที่ที่น่าสนใจมากมายด้วยกัน พวกเขาต่างก็หัวเราะสนุกสนานกันไปตลอดทางจนความรู้สึกหดหู่ของมู่หรงเสวี่ยจางหายไปอย่างมากแล้ว

พวกเขาแลกข้อมูลการติดต่อกันและสัญญาว่าครั้งหน้าจะมาเจอกันอีกอย่างแน่นอน

ในอีกหนึ่งอาทิตย์ก่อนโรงเรียนจะเปิด มู่หรงเสวี่ยและ โม่อ้ายลี่วางแผนไว้ว่าจะขยายเลิฟสโนว์ในเมืองหลวง รวมถึงเรื่องการก่อสร้างอาคารโรงงานด้วย โชคดีที่ชูอี้เสิ่นช่วยมู่หรงเสวี่ยอย่างมากเมื่อรู้ว่าเธอกำลังจะขยายเลิฟสโนว์มาที่เมืองหลวง

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนี้พี่ชูอย่างมากเหลือเกิน เธอจำครั้งล่าสุดที่พี่ชูถามเธอเรื่องยารักษาได้ ยังไงซะแผนกเภสัชกรรมก็ถูกตั้งขึ้นมาแล้วซึ่งน่าจะสามารถจัดหาสิ่งที่พี่ชูพูดถึงได้ในปริมาณมากๆ
มู่หรงเสวี่ยได้รับการติดต่อจากพี่ชูและบอกว่าเขาอยากจะทำสัญญาระยะยาว เขาร่างสัญญาและเซ็นเรื่องเงื่อนไขกันเรียบร้อย อันที่จริงมู่หรงเสวี่ยไม่จำเป็นต้องย้ำเขาเรื่องที่เธออยากจะเก็บเป็นความลับเลยด้วย

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็วและเทอมใหม่ก็กำลังจะเริ่มภายในชั่วพริบตานี้แล้ว

วันที่ 1 กันยายน มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ขับรถไปที่มหาลัย เธอไม่อยากที่จะทำตัวเด่นเกินไป มหาวิทยาลัยแพทย์เป็นหนึ่งในสี่มหาวิทยาลัยที่โด่งดังของเมืองหลวงแต่ก็แตกต่างจากอลิซ มหาวิทยาลัยการแพทย์เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการแพทย์ชั้นนำมากมาย มหาวิทยาลัยตั้งอยู่กลางใจเมือง ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ มีทั้งหินและทะเลสาบ, ทางเดินเก้าเขต, สะพานโค้งสีน้ำเงิน, แม่น้ำที่คดเคี้ยว, ดอกไม้และพืชในสวนที่สวยงามมาก เพียงแค่มอบแวบเดียวมู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกหลงรักที่นี่เข้าให้แล้ว

มู่หรงเสวี่ยรับใบประกาศรับสมัครของศาสตราจารย์ไป๋และตรงไปที่สำนักวิชาการเพื่อรายงานตัวกับที่ปรึกษา
ที่ปรึกษาเป็นผู้หญิงอายุประมาณ 30 ปี เธอไม่ได้สวยอะไรมากแต่ท่าทางของเธอให้ความรู้สึกสบายใจอย่างมาก เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เธอรับเอกสารไปจากมู่หรงเสวี่ยและก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นชื่อในเอกสาร เธอพูดออกมา “เธอคือ มู่หรงเสวี่ยงั้นเหรอ?”

มู่หรงเสวี่ยยิ้มอ่อนๆ ไม่ได้ภูมิใจหรือแปลกใจอะไร “ค่ะ อาจารย์มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?”

ที่ปรึกษาดูเหมือนจะนึกได้ว่าตัวเองเสียมารยาทจึงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหาอะไรหรอกจ้ะ มู่หรงเสวี่ยเก่งมากจริงๆ เธอสร้างเม็ดเงินให้ประเทศได้อย่างมากเลยนะ ยินดีต้อนรับเข้าสู้มหาวิทยาลัยของเรานะจ๊ะ เธอดูสวยกว่าในทีวีมากเลยนะ เดี๋ยวครูจะไปจัดการเรื่องใบสมัครให้นะจ๊ะ รอเดี๋ยวนะ…”

เธอไม่คิดว่ามู่หรงเสวี่ยจะมาเป็นนักเรียนของมหาวิทยาลัยการแพทย์จริงๆ เธอทั้งมีพรสวรรค์และฉลาดจริงๆ ในเอกสารรายงานว่าเธอเพิ่งจะเป็นเด็กมัธยมปลายที่ 4 เองและตอนนี้เธอกำลังที่จะกลายเป็นเด็กปีหนึ่ง เธอไม่คิดว่ามู่หรงเสวี่ยใช้เส้นสายเพราะเป็นที่รู้กันว่ามหาวิทยาลัยแพทย์ไม่อนุญาตเรื่องการใช้เส้นสายที่นี่และคนที่ไม่มีความรู้ที่เหมาะสมก็จะไม่สามารถที่จะเข้าเรียนที่นี่ได้ด้วย

มู่หรงเสวี่ยปวดหัวกับเรื่องข่าวจริงๆ ตอนนี้แม้แต่เธออยากที่จะเก็บตัวเงียบ มันก็ไม่ง่ายขนาดนั้นแล้วโดยเฉพาะจากเรื่องที่เธอเข้าร่วมการแข่งขันระดับวิทยาลัยนานาชาติแถมยังถ่ายทอดสดอีกต่างหาก เธอยืนรออยู่เงียบๆ

หลังจากนั้นสักพัก ที่ปรึกษาก็ยื่นรายชื่อและส่งให้ มู่หรงเสวี่ย “เอาเอกสารนี่ไปที่สหภาพนักศึกษาเพื่อรับกุญแจหอพักนะจ๊ะ หลังจากนี้ถ้าเธอมีอะไรที่ไม่เข้าใจ เธอก็ถามจากสหภาพนักศึกษาที่แผนกต้อนรับที่อยู่ด้านหน้าได้เลยนะจ๊ะ”

“ขอบคุณนะคะอาจารย์ แต่ฉันมีคำถามค่ะ คือฉันพักอยู่ข้างนอกแล้วกุญแจหอพักนี้…”

ที่ปรึกษาถาม “เธออยากที่จะพักข้างนอกงั้นเหรอ?! การสมัครเพื่อขอพักข้างนอกเธอต้องกรอกเอกสารคำร้องแล้วให้อาจารย์ของเธอเซ็นอนุญาต เธอรับเอกสารคำร้องกับกุญแจหอไปก่อนก็ได้ แล้วในระหว่างที่รอก็พักที่หอชั่วคราวก่อนได้ แบบนี้โอเคไหมจ๊ะ?” เธอคิดว่ามู่หรงเสวี่ยจะอยู่หอพักเพราะเธอไม่ใช่คนพื้นที่ เพราะในใบรายงานตัวมีที่อยู่ของมู่หรงเสวี่ยที่บ้านด้วย

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า ในเมื่อมันเป็นข้อกำหนดของทางมหาวิทยาลัยเธอก็ไม่มีทางเลือก “โอเคค่ะ เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะคะอาจารย์ หนูขอตัวก่อนนะคะ”

สิทธิของสหภาพนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแพทย์ไม่ด้อยกว่าของสำนักงานวิชาการและยังมีส่วนร่วมในการจัดการโดยตรงของวิทยาลัยอีกด้วย สหภาพนักศึกษามีชื่อเสียงอย่างมากในวิทยาลัยซึ่งเธอได้ยินมาจากหลิวฮัวลี่

มู่หรงเสวี่ยมาถึงประตูของสหภาพนักศึกษา ประตูเปิดอยู่เธอจึงได้ยินเสียงของนักเรียนมากมายที่อยู่ด้านใน มู่หรงเสวี่ยยกมือเคาะไปที่ประตู

“เข้ามา” เสียงที่ฟังดูรื่นหูดังขึ้นมาจากข้างใน
“เสี่ยวเสวี่ย เธอมารายงานตัวงั้นเหรอ?” เสียงประหลาดใจของหลิวฮัวลี่ดังขึ้นมา
มู่หรงเสวี่ยเองก็ประหลาดใจ ไม่คิดว่าจะได้เจอคนรู้จักตั้งแต่วันแรกที่มารายงานตัวแบบนี้ “ใช่ค่ะรุ่นพี่…” มู่หรงเสวี่ยยื่นเอกสารให้ดู

หลิวฮัวลี่กำลังจะรับมาแต่ก็ถูกปัดมือและแย่งเอกสารไปก่อน “เด็กปีหนึ่งรายงานตัวตรงนี้ เรื่องเล็กแค่นี้ทำไมต้องรบกวนรุ่นพี่ด้วย แถมรุ่นพี่ยังเป็นรองประธานนักเรียนอีกด้วย”

คนที่พูดขึ้นมาคือเด็กสาวน่ารักแต่น้ำเสียงไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไร มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว เธอไม่รู้ว่าเธอไปทำอะไรให้ไม่พอใจแต่ก็ยังพูดออกไปเสียงเบา “ฉันผิดเองค่ะ…”

หลิวฮัวลี่ยิ้มอย่างขอโทษ “เสี่ยวเสวี่ย เธอนั่งรอตรงนี้ก่อนนะ” เขาชี้ไปที่ตำแหน่งถัดจากเขา

มู่หรงเสวี่ยมองไปรอบๆ ทุกคนที่มีป้ายของสหภาพนักศึกษาต่างก็นั่งอยู่รอบๆ ส่วนนักเรียนคนอื่นที่เข้ามาจัดการเรื่องการรายงานตัวเพียงแค่ยืนรออยู่ข้างๆ เธอจึงส่ายหัวและพูดออกไป “ขอบคุณนะ ฉันยืนรอได้ ขั้นตอนคงใช้เวลาไม่นานเท่าไร…”
“เดี๋ยวหลังจากนี้เธอจะทำอะไรต่อเหรอเสี่ยวเสวี่ย?”
“ไม่นิ เดี๋ยวหลังจากจัดการเรื่องรายงานตัวเสร็จ ตอนบ่ายฉันจะแวะไปหาอาจารย์หน่อย” มู่หรงเสวี่ยคิดแล้วตอบออกไป

“งั้นหลังจากนั้นไปกินข้าวกันนะ ฉันเพิ่งจะเสร็จงาน…”

“ได้” มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าตกลงแต่ไม่คิดว่านี่จะเป็นปัญหาอะไร

มันก็เป็นแค่บทสนทนาระหว่างคนสองคนที่ทำให้คนมากมายรอบๆพวกเขารู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไรรัก ถึงแม้หลิวฮัวลี่จะไม่ใช่คนที่พื้นฐานครอบครัวโดดเด่นอะไรมาก แต่เขาก็เป็นที่รู้จักดีในเรื่องนิสัยดีและมากความสามารถ เขายังเป็นที่รู้จักในวงการแพทย์แผนจีนอีกด้วย ซึ่งนึกภาพได้เลยว่าอนาคตเขาจะต้องไปได้สวยแน่ๆ นอกจากนี้เขาก็ยังเป็นประธานนักเรียนอีกด้วยจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีสาวๆมากมายที่ตกหลุมรักเขา โดยเฉพาะเด็กสาวในสหภาพนักศึกษา รวมถึงคนที่เพิ่งจะแย่งเอกสารของมู่หรงเสวี่ยไปด้วย ในตอนนี้เธอทำเป็นกำลังจัดการกับเรื่องเอกสารแต่ในระหว่างนั้นก็ยังเงี่ยหูฟังสิ่งที่หลิวฮัวลี่พูดไปด้วยโดยไม่พลาดสักคำ

หลังจากนั้นสักพัก เด็กสาวก็เอากุญแจออกมาและส่งให้มู่หรงเสวี่ย น้ำเสียงของเธอที่พูดออกมาเย็นชาเล็กน้อย “นี่เป็นกุญแจหอพัก ถ้าเธอเอาไปเธอก็ต้องจ่ายตังค์ด้วย”

มู่หรงเสวี่ยยื่นมือออกไปรับพร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณนะคะ!” แล้วเธอก็หันหลังเดินออกไป

หลิวฮัวลี่หันหลังและเดินตามเธอมาด้วย “เสี่ยวเสวี่ย เอาเป็นว่าฉันพาเธอเดินทัวร์มหาวิทยาลัยดีไหม จะได้ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแล้วค่อยไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน?” เขาเดินมาข้างเธอและมองใบหน้าน่ารักอยู่เล็กน้อย

ถึงแม้พวกเขาจะเพิ่งเจอกันวันก่อน แต่ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไร พวกเขาควรจะทำความรู้จักกันไว้ มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “โอเค ถ้านายยืนยันงั้นก็ขอรบกวนหน่อยนะ!”

น้ำเสียงขี้เล่นบวกกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่ราวกับหิมะแรกแย้มที่ช่างสดใสและบริสุทธิ์ทำให้หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะไปอย่างไม่มีเหตุผล “ไปกันเถอะ ทิวทัศน์ของมหาวิทยาลัยแพทย์ของเราสวยมากเลยนะ ทุกที่สวยหมดเลยแถมยังได้เป็นมหาวิทยาลัยที่สวยที่สุดของเมืองหลวงเลยนะ”

หลิวฮัวลี่และมู่หรงเสวี่ยเดินอยู่บนถนนของมหาวิทยาลัยแพทย์ ทางเดินปูด้วยหินกรวดละเอียดและเรียบและมีกล้วยไม้ที่สวยงามและละเอียดอ่อนมากมายปลูกอยู่สองข้างทางซึ่งเป็นความงามขั้นสูงสุดจริงๆ

“มันสวยมากเลย เป็นสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายดีจริงๆ” มู่หรงเสวี่ยพูดโดยไม่สนใจถึงท่าทางของการผายมืออย่างชื่นชมเลย

หลิวฮัวลี่มองท่าทางที่ไร้ซึ่งการแสดงและยิ่งรู้สึกว่าเธอสวยมากกว่าดอกกล้วยไม้ที่กำลังบานอยู่ซะอีก “ฮ่าฮ่า มาเถอะ เดินดูไปเรื่อยๆเลยถ้าเธอชอบ…”

ทั้งสองค่อยๆเดินไปตามทาง ตรงหน้าคือทะเลสาบที่ถูกขุดขึ้นมาพร้อมด้วยประกายของแสงอาทิตย์ที่กำลังสะท้อนราวกับดวงดาวระยิยระยับ แสงที่ละเอียดและกระจัดกระจายกระทบอยู่บนผิวน้ำของทะเลสาบนั้นสวยงามมาก ห่างออกไปไม่ไกลนักยังมีต้นไผ่สีเขียวจำนวนมากซึ่งส่งกลิ่นหอมของไม้ไผ่ออกมาอย่างชัดเจน บนสนามหญ้าสีเขียวมีเก้าอี้หินแกะสลักจากหินธรรมชาติมากมาย มีหนุ่มสาวนั่งอยู่รอบๆเต็มไปหมด

“ข้ามไปอีกฝั่งกันเถอะ” หลิวฮัวลี่พูด
มู่หรงพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร
หลิวฮัวลี่ในฐานะประธานนักเรียนและนิสัยที่ชอบผูกมิตรกับคนอื่นทำให้เขาได้รับความสนใจอย่างมากเป็นเรื่องธรรมดา หลังจากนั้นสักพักก็มีคนมากมายเข้ามากล่าวทักทายเขา แม้แต่พวกสาวๆก็ยังข่มความเขินอายและเข้ามาทักทายด้วย หลังจากที่กล่าวทักทายแล้วคนพวกนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามอง

และคนที่ยืนอยู่ข้างๆหลิวฮัวลี่นั่นก็คือมู่หรงเสวี่ยก็พลอยที่จะได้รับความสนใจไปด้วย ทุกคนต่างก็สงสัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสาวสวยและประธานนักเรียนอย่างมาก หนุ่มต่างก็คิดอิจฉาประธานที่ตาดีได้สาวสวยน่ารักแบบนี้มาเป็นแฟน ส่วนสาวๆต่างก็รู้สึกอิจฉาตาร้อนเป็นอย่างมาก

เวลาผ่านไปนาน มู่หรงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะแซวออกมา “ฉันคิดว่าท่านประธานนี่โด่งดังจริงๆเลยนะ ถึงขนาดดอกไม้ที่ว่าสวยก็ยังไม่เท่าเลยนะเนี่ย ตลอดทางฉันโดนสายตาอาฆาตของสาวๆทิ่มแทงจนตัวพรุนไปหมดแล้วเนี่ย ถ้าสายตาพวกนั้นฆ่าฉันได้นะ ฉันคงตายไปหลายพันรอบแล้วล่ะ นี่ขนาดฉันยังไม่เริ่มเรียนก็มีคนเกลียดมากขนาดนี้แล้วนะ!”

หลิวฮัวลี่อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “อย่ามาล้อฉันเลย ฉันก็แค่ชอบผูกมิตร เลยมีเพื่อนมากไปหน่อย”

ถึงแม้ทิวทัศน์จะสวยงามมาก จนมู่หรงเสวี่ยเองอยากที่จะเดินเที่ยวอีกสักพักแต่หลิวฮัวลี่ ประธานนักเรียนเอาแต่ดึงดูดความสนใจของคนมากมายอย่างกับมดมาตอมขนมหวาน สุดท้ายพวกเขาก็หาได้แค่ร้านอาหารเล็กเพื่อกินข้าวกลางวันกัน หลังจากกินเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็บอกว่าเธออยากที่จะไปหาอาจารย์แล้วพวกเขาก็แยกกัน
เมื่อมู่หรงเสวี่ยเข้าไปพบศาสตราจารย์ไป๋ เขากำลังอ่านเรื่องเคสพิเศษอยู่ เมื่อเห็นว่ามู่หรงเสวี่ยไม่ได้พูดอะไรมาก เขาก็เริ่มที่จะปรึกษาเรื่องเคสนี้กับเธอ ในพจนานุกรมการแพทย์ของมิติลับของมู่หรงเสวี่ยมีคำอธิบายถึงกรณีแบบนี้ ดังนั้นมู่หรงเสวี่ยจึงชี้ให้เห็นปัญหาโดยทั่วไปแล้วจึงให้แผนเฉพาะ หลังจากนั้นสายตาที่ศาสตราจารย์ไป๋มองมู่หรงเสวี่ยก็สว่างราวกับหลอดไฟหลายพันวัตต์เลยทีเดียว

หลังจากนั้นศาสตราจารย์ไป๋ก็หยุดไม่ได้ เขาเอาแต่ดึง มู่หรงเสวี่ยไว้เพื่อคุยเรื่องปัญหายากๆที่เขายังคิดหาวิธีแก้ไม่ได้ จนกระทั่งดึก เขาก็ถึงได้อนุญาตให้มู่หรงเสวี่ยกลับอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร เขายังบอกให้เธอมาหาเขาในตอนเช้าอีกด้วย

หัวของมู่หรงเสวี่ยเต็มไปด้วยเรื่องปวดหัวและชีวิตนักเรียนของเธอในอนาคตจะต้องไม่ค่อยดีอย่างแน่นอน

ก่อนที่มู่หรงเสวี่ยจะออกมา เธอก็ขอให้ศาสตราจารย์ไป๋เซ็นต์ใบคำร้องเรื่องการขอพักนอกมหาลัย ศาสตราจารย์ไป๋บอกว่านี่เป็นเรื่องเล็ก เขาพูดกับเธอว่าถ้าเธอไม่อยากที่จะกลับไปพักที่หอก็ไม่จำเป็นต้องพักก็ได้
ในกรณีนี้ แน่นอนว่ามู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่ามันจะดีกว่าถ้าจะกลับมาที่วิลล่าของตัวเอง ดังนั้นเธอจึงออกมาจากมหาวิทยาลัยโดยไม่ลังเล เพราะวันนี้เธอไม่ได้ขับรถมาเธอจึงต้องเดินกลับ วิลล่าอยู่ไม่ห่างนัก ต้องเดินประมาณ 15 นาที

แสงไปจากทั้งสองข้างของถนนสว่างมากและรอบๆตัว มู่หรงเสวี่ยก็มีคนเดินไปเดินมากันอยู่มากมาย

ระหว่างทางกลับวิลล่า มู่หรงเสวี่ยเหลือบไปเห็นร่างสูงตรงมุมของถนน ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะบาดเจ็บสาหัสด้วยและมีรอยเลือดตามร่างกายเขาด้วย มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วและหยุดดู

มีหลายคนที่อยู่ริมถนนเห็นแต่ต่างก็รีบเดินหนีออกไปเพราะไม่อยากที่จะสร้างปัญหาให้ตัวเอง เดิมทีมู่หรงเสวี่ยอยากที่จะขอให้คนอื่นช่วยแต่เมื่อเธออ้าปากคนอื่นๆต่างก็รีบวิ่งหนีไปอย่างเร็ว ในโลกนี้เพราะมีพวกโจรระบาดและบ่อยครั้งก็มีเรื่องหลอกลวงกันทำให้หัวใจที่อบอุ่นของผู้คนจางหายไปจนหมด

สุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และเดินเข้าไปพบว่านี่คือชายคนที่เธอเจอวันก่อน คนที่ยืนมองเธอร้องไห้ที่ข้างถนนโดยไม่มีเหตุผล เขาเอื้อมมือไปอังลมหายใจเขา โชคดีที่ถึงแม้ลมหายใจเขาจะอ่อนแต่ก็ไม่น่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิตอะไร เธอช่วยดูแผลให้เขาข้างถนนไม่ได้ เธอมองไปรอบๆและเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องช่วยชายที่นอนอยู่ที่พื้น

โชคดีที่วิลล่าของเธออยู่ไม่ไกล ไม่งั้นผู้ชายตัวหนักแบบนี้เธอก็อยากที่จะทิ้งไว้ข้างทางแล้ว สุดท้ายเธอก็กลับมาถึงวิลล่าได้ มู่หรงเสวี่ยรักษาแผลให้เขา ส่วนที่สาหัสที่สุดคือแผลที่หัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกตีอย่างแรงและเสียเลือดไปมาก

มู่หรงเสวี่ยต้องใช้เวลากว่าสองชั่วโมงกว่าที่จะเย็บแผลเสร็จ ในตอนนี้เธอรู้สึกเหนื่อยอย่างมาก หลังจากที่ช่วยชายคนนี้เปลี่ยนชุดแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็ล็อกประตูห้องและเข้านอนหลังจากที่อาบน้ำแล้ว