ตอนที่ 338 วิเคราะห์ / ตอนที่ 339 แก้ไขด้วยตนเอง

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 338 วิเคราะห์ 

 

 

เหอจิ่นเซ่อทุบอก ใช้แรงที่นิ้วเล็กน้อยทุบจนอกดังโครมคราม 

 

 

“รังแกกันเกินไปแล้ว!” 

 

 

เหอจิ่นเซ่อไม่ได้บันดาลโทสะมานานแล้ว แต่ขณะที่นางกล่าวคำนี้ออกมาถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เซียวอวี๋หรงก็ได้อ่านจดหมายฉบับนี้แล้วเช่นกัน 

 

 

สตรีเช่นพวกนางล้วนได้รับการฟูมฟักเลี้ยงดูอย่างทุ่มเทจากวงศ์ตระกูล ส่วนมากจะเป็นบุตรสาวสายตรงของครอบครัว ได้รับการอบรมสั่งสอนจากครอบครัวตั้งแต่เล็ก ให้รู้จักปกป้องวงศ์ตระกูลและคนในตระกูล 

 

 

เซียงฉือก็เป็นเช่นนั้น นางดิ้นรนสุดชีวิต แม้จะได้รับความอยุติธรรมอย่างไรก็ไม่โวยวาย เพียงปรารถนาจะให้คนในครอบครัวปลอดภัย 

 

 

แต่ต้องมาเป็นเช่นนี้ 

 

 

เซียงฉือเอนนอนอยู่เช่นนั้นอย่างสงบ ดวงตาเบิกโพลง ผ้าเช็ดเหงื่อทั้งสองข้างเปียกชุ่มไปหมด เหอจิ่นเซ่อไม่ทำอะไรให้สะเทือนอารมณ์นางอีก นางกระซิบสั่งความข้างหูเซียวอวี๋หรง 

 

 

“เจ้าไปขอให้ข้าราชสำนักสตรีกองโอสถจัดและปรุงยากล่อมประสาทมา บอกว่าระยะนี้ข้านอนไม่ค่อยหลับก็แล้วกัน ขอให้พวกเขาช่วยสักหน่อย จากนั้นไปกองคดีเชิญใต้เท้าสวี่อี้มาสนทนากันด้วย” 

 

 

เหอจิ่นเซ่อมองดูเซียงฉือที่ด้านหลัง รู้ว่าจิตใจนางตอนนี้ปวดร้าวขนาดไหน และนางในขณะนี้ไม่สามารถรับความจริงนี้ได้ เหอจิ่นเซ่อเชื่อว่าเพียงให้เวลานาง จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน 

 

 

แต่ไม่รู้ว่าเวลาเช่นนี้จะนานเท่าไร แน่นอนว่าเหอจิ่นเซ่อย่อมไม่กำจัดนางออก แต่ช่วงจากนี้ไป เซียงฉือคนนี้ได้แตกสลายไปเสียแล้ว 

 

 

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในวังนี้คือการเป็นคนท้อแท้สิ้นหวัง ไร้จิตใจตายด้าน นางกำลังโทษและเกลียดตัวเอง สำนึกเสียใจในสิ่งที่ตนทำลงไป ซึ่งจะทำให้นางหลงทางได้ง่ายที่สุด 

 

 

เหอจิ่นเซ่อกลับอยากให้เซียงฉือคลุ้มคลั่งร้องไห้อาละวาดในเวลานี้ ซึ่งจะดีกว่าให้นางทรมานตนเองอยู่เช่นนี้ 

 

 

เซียวอวี๋หรงทำงานได้คล่องแคล่วยิ่ง ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่หน้าประตูกองราชเลขาจึงสงบลงอย่างรวดเร็ว และจะไม่มีใครพูดเรื่องนี้สู่ภายนอก ส่วนเซียงฉือยังคงแหงนมองเพดานห้องด้วยสายตาเฉยเมย 

 

 

นางฟังคำพูดของอวิ๋นเซียงซือแล้วก็จมลงสู่การตำหนิตนเองอย่างลึกล้ำ 

 

 

ความรู้สึกนั้นเหมือนเป็นการที่นางปิดกั้นตัวเอง หลบไปแอบร้องไห้อยู่ในห้องเล็กและมืด สวี่อี้มาถึงอย่างรวดเร็ว พอเห็นสภาพเซียงฉือก็ถึงกับตกใจ 

 

 

เหอจิ่นเซ่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้นางฟัง ในเวลาเช่นนี้ทั้งคู่ไม่อาจมัวพะวงกับเรื่องกฎมารยาทจึงได้อ่านจดหมายส่วนตัวของเซียงฉือ 

 

 

สวี่อี้ไม่ใช่เหอจิ่นเซ่อ นางไม่เหมือนคนอื่นที่อ้อมค้อม ตลอดมานางทำงานอย่างแยกแยะบุญคุณความแค้น เรื่องนี้เห็นชัดว่าเป็นการแก้แค้นของกุ้ยเฟย 

 

 

และนางก็ไม่ใช่คนโง่ อักษรทุกตัวของมารดาอวิ๋นเซียงซือล้วนกล่าวหาว่าเป็นเพราะอวิ๋นเซียงฉือปากมาก ทำให้ครอบครัวของพวกนางต้องถูกทำร้าย 

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีเพียงสองสาเหตุเท่านั้นที่ทำให้มารดาของอวิ๋นเซียงซือพูดออกมาเช่นนี้ 

 

 

ประการแรกคือมีคนต้องการให้นางพูดเช่นนั้นหรืออาจมีคนเขียนแทน เรื่องนี้จะต้องให้อวิ๋นเซียงซือพิสูจน์ว่าเป็นลายมือของมารดานางจริงหรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาตัวอักษรแล้วดูไม่เหมือนลายมือสตรีนัก 

 

 

ประการที่สอง ขณะเกิดเรื่องนี้คนที่ลงมือฆ่าได้บอกออกไปว่าเป็นเพราะเซียงฉือปากมากจึงมาแก้แค้น แต่ก็ยังปล่อยแม่และน้องสาวเซียงซือให้รอด อีกทั้งยังมีจดหมายลักษณะนี้ผ่านทางกองบริหารจัดการมาได้อย่างเปิดเผยโดยไม่ตกถึงมือกุ้ยเฟย ทั้งตัดหน้าอวิ๋นเซียงฉือไปตกถึงมืออวิ๋นเซียงซือก่อนอีกด้วย 

 

 

แต่ความเป็นไปได้ในข้อนี้มีไม่มาก เหอจิ่นเซ่อจึงตัดทิ้งไป 

 

 

นางคิดถึงความเป็นไปได้ข้อแรก คิดถึงนางหวังซื่อมารดาอวิ๋นเซียงซือ เมื่อนางนำบุตรสาวไปฝากที่บ้านพี่สามีแล้ว ตัวเองก็หายไปไร้ร่องรอย เรื่องนี้น่าสงสัยอย่างยิ่ง 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 339 แก้ไขด้วยตนเอง 

 

 

เหอจิ่นเซ่อวิเคราะห์ออกมาเช่นนี้ สวี่อี้คอยปะติดปะต่อเรื่องราว จนท้ายที่สุดก็ปรากฏรูปคดีที่สมบูรณ์ออกมา 

 

 

เพราะฝ่าบาทสงสารเซียงฉือที่ถูกคนจับไปจึงใช้โอกาสนี้อภัยโทษให้ครอบครัวนาง จุดประสงค์สำคัญคือเพื่อไม่ต้องการให้เซียงฉือถูกคนอื่นควบคุม เรื่องนี้สามารถเข้าใจได้ 

 

 

แต่เพราะเหตุนี้ทำให้กุ้ยเฟยไม่พอพระทัยซึ่งก็เข้าใจได้โดยไม่ต้องอธิบายเช่นกัน ดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือเป็นถิ่นของครอบครัวเดิมจินกุ้ยเฟย จึงเหมือนไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึกลงในดินแดนนั้น ส่วนคนในครอบครัวอวิ๋นเซียงฉือเป็นเพียงนักโทษของราชสำนักเท่านั้น 

 

 

เมื่อเหอจิ่นเซ่อคิดเช่นนี้ก็อธิบายได้อย่างชัดเจน จินกุ้ยเฟยเพียงเขียนจดหมายแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นในวังแก่ทางบ้าน ขุนพลใหญ่สกุลจินที่ใส่ใจแต่คนในครอบครัวตนโดยไม่สนใจคนอื่นตลอดมาย่อมต้องการแก้แค้นให้บุตรสาว 

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่ฆ่าบุตรชายคนรองบ้านสกุลอวิ๋นและทำร้ายอวิ๋นเทียนปู่ของเซียงฉือบาดเจ็บสาหัสกระทั่งเสียชีวิตในที่สุดก็คือคนทางบ้านของกุ้ยเฟยเป็นการกระทำของจวนขุนพลจิน 

 

 

เช่นนั้นเรื่องนี้ก็หนักหนาเสียแล้ว หากไปทูลฮ่องเต้ จะกลายเป็นเรื่องท้าทายพระราชอำนาจที่รุนแรงที่สุดเลยทีเดียว 

 

 

แต่ในตอนนี้เป็นเพียงการคาดเดาของเหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้เท่านั้น ทั้งคู่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดจึงได้แต่เพียงคิดกันไปโดยไม่กล้าทูลฮ่องเต้ 

 

 

เรื่องที่ยังไม่ได้ตรวจสอบแน่ชัดก็ไปกราบทูล นั่นมิเท่ากับไปรนหาความตายหรอกหรือ ฝ่าบาทต้องสะสางราชกิจมากมายในแต่ละวัน จะมีเวลามาสนใจเรื่องเล็กน้อยที่ไม่มีความสำคัญได้อย่างไร 

 

 

ดังนั้นพวกนางต้องหาหลักฐานเสียก่อน เพื่อมัดจินกุ้ยเฟยให้ดิ้นไม่หลุด จึงจะจัดการได้อยู่หมัด มิเช่นนั้นเรื่องนี้ด้วยความสัมพันธ์ของจินกุ้ยเฟยกับไม้ใหญ่รากลึกนั่นแล้วย่อมสามารถปัดออกไปให้พ้นตัวได้ 

 

 

แม้จะคิดและมีแผนการแล้ว แต่ท่าทางของเซียงฉือที่เอาแต่จ้องมองด้วยสองตาเบิกโพลงไปบนมุ้งลายดอกบัวในทะเลสาบสีครามเหนือเตียงนอนนั้นก็ทำให้สวี่อี้ทอดถอนใจ นางมองเหอจิ่นเซ่อ ถอนใจแล้วเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ แหวนทองบนนิ้วชี้ส่งเสียงเป็นจังหวะ 

 

 

“จะทำอย่างไรกับนางดี จะทูลฝ่าบาทอย่างไร” 

 

 

สวี่อี้ถามเหอจิ่นเซ่อ แล้วยังคงเคาะนิ้วเป็นจังหวะ แหวนวงนี้ไม่ใช่อื่นใด แต่เป็นลูกกุญแจของแม่กุญแจชนิดพิเศษดอกหนึ่งของกองคดี 

 

 

มันมีชื่อว่ากลอนวงแหวน เป็นกุญแจสำหรับไขตู้ใส่เอกสารที่เก็บเอกสารสำคัญต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือบันทึกเรื่องราวที่ทางกองคดีจัดการให้ฮ่องเต้เป็นพิเศษ 

 

 

เป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดในวังตลอดหลายปีที่ผ่านมาและตอนนี้ตกมาอยู่ในมือสวี่อี้ ซึ่งหมายความว่าหรงจิงมีความตั้งใจจะส่งเสริมนาง แสดงออกให้รู้ว่าจะให้นางเป็นผู้สืบทอดกองคดีคนต่อไป 

 

 

เสียงเคาะแต่ละทีๆ เป็นเสียงทุ้มลึก ให้ความรู้สึกคล้ายแม่กุญแจใหญ่โบราณกำลังค่อยๆ ไขออก 

 

 

เหอจิ่นเซ่อได้ยินเสียงนั้นจึงจับมือนางขึ้นมา 

 

 

“ฝ่าบาททรงมอบแหวนใคร่ครวญแก่เจ้าแล้ว สวี่อี้ หน้าที่ของเจ้าจะสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเจ้าควรจะรู้ว่าในวังนี้ คนที่จะช่วยได้นั้นก็มีแต่ตัวเอง” 

 

 

“ข้าได้ทูลขอลางานให้นางจากฝ่าบาทหนึ่งวันแล้ว พรุ่งนี้ก็นำนางไปทิ้งไว้หน้าประตูตำหนักเจิ้งหยาง และถ้าหากนางยังคงอยู่ในสภาพนี้ เช่นนั้นก็ให้บิดากับน้องชายคนเล็กที่ยังเหลืออยู่ของนางถูกฝังไปพร้อมกับนางด้วยเลยก็แล้วกัน” 

 

 

ความร้ายกาจของเหอจิ่นเซ่อ ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่อำมหิต แต่คำพูดเช่นนี้ในเวลาแบบนี้กลับมีประสิทธิภาพที่สุด 

 

 

เพราะเซียงฉือกำลังโทษตนเอง นางไม่รู้ว่าตนเองทำผิดที่ตรงไหน เหตุใดจึงได้ลงเอยเช่นนี้ ท่านปู่ของนางตายแล้ว 

 

 

เรื่องที่ท่านปู่ของนางเสียชีวิตไปแล้ว ความจริงในเรื่องนี้นางจำต้องใช้เวลาเพื่อยอมรับ