ตอนที่ 340 เหมือนดั่งความฝัน / ตอนที่ 341 รู้สึกตัว

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 340 เหมือนดั่งความฝัน 

 

 

เซียงฉือไม่ได้แค่จ้องมองอย่างเซื่องซึมเท่านั้น ใจของนางเจ็บปวดอย่างยิ่ง คนอื่นไม่เข้าใจ ตอนนางเกิดมายังไม่ครบสามเดือน อวิ๋นเฉิงผู้เป็นบิดาก็ถูกย้ายไปรับตำแหน่งซือหม่าขุนนางขั้นเจ็ดที่ชิงโจวซึ่งชิงโจวอยู่ห่างจากหลานโจวเป็นพันลี้ 

 

 

บิดาเมื่อได้รับราชโองการก็ไม่กล้ารีรอ แต่เพราะเซียงฉือร่างกายอ่อนแอจึงต้องทิ้งไว้ให้อยู่ข้างกายท่านปู่ โดยมีแม่นมนางสวี่ซื่อเป็นผู้ดูแล บิดาหลังจากไปรับตำแหน่งแล้วก็ราบรื่นเสมอมากระทั่งได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้ว่าการชิงโจว เป็นขุนนางขั้นที่ห้าของราชสำนัก มารดาก็ให้กำเนิดน้องชาย ส่วนนางใช้ชีวิตอยู่ข้างกายท่านปู่มาโดยตลอด 

 

 

ตรุษจีนของทุกปีนางจะได้พบกับบิดาแต่ทว่าไม่สนิทนสมนักไม่เหมือนกับท่านปู่ เป็นเวลานานในบ้านเก่าหลังนั้นที่มีเพียงเซียงฉือกับท่านปู่และเซียงฉือกับเหอเจี่ยนสุย 

 

 

เซียงฉืออยู่เป็นเพื่อนท่านปู่ และท่านปู่ก็ดูแลเซียงฉือ พวกนางเป็นเหมือนดั่งคนคู่ที่พึ่งพาอาศัยกันดุจดั่งต้นไม้ใหญ่กับนกน้อย 

 

 

เซียงฉือค่อยๆ เติบใหญ่ภายใต้การดูแลของท่านปู่ ท่านปู่ตั้งความหวังกับนางไว้สูงมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรจะต้องทำให้ดีที่สุด และนางก็ไม่เคยทำให้ท่านปู่ผิดหวัง 

 

 

บ่อยครั้งคนที่นางห่วงใยที่สุดคือท่านปู่ ถึงแม้จะเป็นความสัมพันธ์ข้ามรุ่น แต่คนที่เซียงฉือใส่ใจที่สุดก็ยังเป็นท่านปู่ของนาง 

 

 

แต่ตอนนี้ได้รับข่าวการเสียชีวิตของท่านปู่ ทั้งเซียงซือยังพูดออกมาทุกคำว่านางเป็นคนทำให้ท่านปู่ต้องตาย นางเสียใจและเจ็บปวดใจ ตำหนิตนเอง กลายเป็นความโศกเศร้าที่จะไม่อาจแบกรับไหว 

 

 

กดทับอกนางจนปวดร้าวแทบหายใจไม่ออก 

 

 

เป็นครั้งแรกที่เซียงฉือหวาดกลัววังลึกล้ำแห่งนี้ นางค่อนข้างตามใจตัวเองเสมอมา ตอนอยู่ในตำหนักอวี้หยวน การอยู่กับกุ้ยเฟยก็เหมือนกับการได้พบกับครูผู้สอน เสแสร้งทำท่าทางหัวอ่อนเชื่อฟัง ทำให้คนสงสาร 

 

 

ส่วนอยู่กับฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่กับท่านปู่ ซึ่งถึงแม้จะเข้มงวดต่อนางแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เอ็นดูนาง และทั้งยังเริ่มรู้จักกันตั้งแต่ก่อนหน้านั้นในฐานะของทหารองครักษ์อีกด้วย 

 

 

แต่เซียงฉือมักเข้าใจผิด ถึงเขาจะเป็นแบบท่านปู่ แต่ว่าการจัดการงานต่างกัน ถึงจะปฏิบัติต่อนางไม่แตกต่างก็ตาม 

 

 

นางลืมไป เพราะความเข้าใจผิดนี้ทำให้นางลืมไปว่าคนพวกนี้ สถานที่แห่งนี้ เป็นศูนย์กลางของอำนาจในโลกนี้ 

 

 

คำพูดเพียงคำเดียว การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวของพวกเขา สามารถทำให้ชีวิตคนนับพันนับหมื่นเปลี่ยนแปลงตลอดไป 

 

 

นางลืม กุ้ยเฟยไม่ใช่ครูสอนที่เข้มงวด แต่เป็นหญิงในวังนี้ที่สามารถปิดฟ้าได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ใจคอโหดเ**้ยมน้ำมืออำมหิต 

 

 

ฝ่าบาทนั้นเป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เซียงฉือคิดเสมอมาว่าขอเพียงได้รับความรักและเชื่อถือจากพระองค์ พระองค์ก็จะเป็นดั่งร่มใหญ่ที่สุดที่จะปกป้องนางได้ เป็นเสมือนอ่าวอันอบอุ่นสำหรับให้นางใช้หลบลมได้ตลอดเวลาไม่เหมือนท่านปู่ 

 

 

บางครั้งนางทำผิด และยังเป็นความผิดที่ใหญ่มหันต์ 

 

 

ฝ่าบาทมีความยิ่งใหญ่ เพียงคำพูดของเขาประโยคเดียว พระราชโองการฉบับเดียวก็สามารถตัดสินคนคนหนึ่ง วงศ์ตระกูลหนึ่ง เมืองเมืองหนึ่งให้ดำรงคงอยู่หรือสลายไปได้ 

 

 

เขาสูงส่งสุดประมาณขนาดนั้น หาใช่ที่นางจะสามารถสนิทสนมเคารพนับถือได้ นางไม่รู้ว่าตนเองหุนหันเพียงใด แต่ความหุนหัน ความเข้าใจผิดของนาง ทำให้ท่านปู่ต้องตาย 

 

 

นางเป็นคนบาป เป็นคนบาปตราบนิรันดร์ นางควรไปขอขมาต่อเบื้องหน้าท่านปู่และท่านอา นางควรต้องคุกเข่ากระทั่งหัวเข่าติดไปกับพื้น คุกเข่าอยู่อย่างยาวนานโดยไม่ลุกขึ้น แต่ถึงจะทำเช่นนั้นนางก็ไม่สามารถยกโทษให้กับความโง่เขลาและหุนหันของตนเองได้ 

 

 

เซียงฉือตำหนิตนเองอย่างรุนแรง 

 

 

แต่สมองนางตื่นขึ้นแจ่มชัดทันทีที่ได้ยินเสียงนิ้วเคาะโต๊ะของสวี่อี้ เสียงติงตังนั้นเหมือนกับเสียงท่านปู่ใช้ไม้เคาะโต๊ะขณะที่นางฝึกหัดคัดหนังสือเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

นางตื่นขึ้นมาขณะหนึ่ง ราวกับวิญญาณจากแดนไกลกลับเข้าสู่ร่าง สิ่งที่ผ่านมาเมื่อครู่เหมือนดั่งความฝัน 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 341 รู้สึกตัว 

 

 

เซียงฉือลุกขึ้นนั่งทันใด ทำให้เหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้ที่อยู่ในห้องถึงกับตกตะลึงหันไปมองนาง จากนั้นวิ่งเข้าไปหาอย่างดีใจ 

 

 

คำพูดของเหอจิ่นเซ่อเข้าถึงหูของเซียงฉือ 

 

 

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม เรื่องของทางบ้านก็ระงับความโศกเศร้าแล้วยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นเถิดนะ ในเมื่อเรื่องก็เกิดขึ้นมาแล้ว มีเพียงเผชิญหน้ารับความจริง ที่เจ้าควรทำในตอนนี้คือลุกขึ้นแล้วไปจุดธูปไหว้ท่านปู่กับท่านอาเจ้า โขกศีรษะคำนับสามครั้ง” 

 

 

เหอจิ่นเซ่อกอดไหล่เซียงฉือไว้ สัมผัสร่างกายที่เย็นราวน้ำแข็งของนาง ดุจร่างที่จมอยู่ในส่วนลึกสุดในทะเลสาบที่เหน็บหนาวเข้ากระดูก 

 

 

เหอจิ่นเซ่ออดไม่ได้ต้องกอดนางแนบแน่น เมื่อเห็นดวงตานางค่อยๆ แจ่มใสขึ้นจึงพูดต่อ 

 

 

“ในวังมีข้อห้ามเผากระดาษเงินกระดาษทอง ไม่อนุญาตให้สวมชุดปอไว้ทุกข์ แต่นอกเหนือจากนี้หากเจ้าต้องการทำให้เต็มพิธีก็สามารถทำได้ จะไว้ทุกข์สามปีก็ได้ แต่ขอให้เจ้ามุ่งมั่นขึ้นมา เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดเจ้า ไม่ใช่เลย” 

 

 

ตอนนั้นที่เหอจิ่นเซ่อไปถึง เซียงซือกำลังกล่าวโทษโยนความผิดให้เซียงฉืออย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งเป็นเรื่องแปลก นางเข้าใจเซียงฉือและรู้ว่าสิ่งที่นางเจ็บปวดที่สุดนั้นคือนางคิดว่าตนเองเป็นคนทำให้ท่านปู่ต้องตาย 

 

 

หากเป็นเช่นนั้นย่อมเป็นไปได้มากว่านางจะทรุดลงจนลุกไม่ขึ้นอีก ซึ่งนางจะต้องทำให้นางเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ความผิดของนาง ให้นางหลุดออกมาจากเงามืดแห่งการตำหนิติโทษตนเอง 

 

 

เมื่อครู่สวี่อี้ได้ยินทั้งหมดและเข้าใจเจตนาของเหอจิ่นเซ่อจึงรีบพูดเสริมขึ้นมา 

 

 

“เซียงฉือ เจ้าอย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ นะ แล้วก็คิดให้ตกด้วย เจ้าหมดอาลัยท้อแท้ ตำหนิโทษตัวเองแบบนี้ มีแต่จะทำให้พวกที่ทำร้ายท่านปู่เจ้าสุขสบายไปเท่านั้นเอง” 

 

 

“เจ้าจะต้องกระตือรือร้นขึ้นมา จะต้องแก้แค้นให้ท่านปู่ของเจ้านะ” 

 

 

เมื่อเซียงฉือได้ยินประโยคนี้ดวงตาก็ตะลึงงัน นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงพูดเช่นนั้น แก้แค้น คำนี้มาจากไหน นางควรไปแก้แค้นใครและทำอย่างไร ก็นางไม่ใช่หรือที่เป็นเพชฌฆาต 

 

 

น้ำตาของเซียงฉือยิ่งไหลนอง นางปิดหน้าร่ำไห้เสียงดังออกมาเป็นครั้งแรก 

 

 

เหอจิ่นเซ่อห้ามสวี่อี้ไม่ให้พูดต่อแล้วหันไปกอดเซียงฉือไว้ 

 

 

“สาวน้อย เจี่ยนสุยฝากข้ามาบอกเจ้าว่าท่านปู่ชอบรอยยิ้มราวบุปผาของเจ้าที่สุด อย่าได้ร้องไห้จนหน้าตาเลอะเทอะทำให้ท่านปู่หลับไม่สนิทและคอยกังวลว่าเจ้าถูกใครกลั่นแกล้ง ท่านก็ล่วงลับไปแล้ว การให้ท่านได้วางใจอย่างสงบจึงเป็นความกตัญญูนะ” 

 

 

เหอเจี่ยนสุยที่อยู่นอกวังก็ได้รับข่าวนี้เช่นกัน เข้าร้อนใจอย่างมากจึงได้ฝากจดหมายกับหรงเฉิงเยี่ยที่เข้าวังในวันนี้ให้ส่งให้เหอจิ่นเซ่อ 

 

 

เพราะเขารู้สถานะพิเศษของเซียงฉือจึงส่งเป็นจดหมายจากทางบ้านไปถึงสำนักราชเลขาเพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัย 

 

 

สุดท้ายยังคงเป็นเหอเจี่ยนสุยที่เข้าใจเซียงฉือที่สุด คำพูดนั้นยังไม่ทันสิ้นเสียงเซียงฉือก็หยุดร้องไห้แล้วจริงๆ นางอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดเหอจิ่นเซ่อราวเด็กน้อย 

 

 

“เขายังพูดอะไรอีก” 

 

 

เซียงฉือคิดถึงเขา คนที่นางสนิทชิดเชื้อที่สุดคนนั้น เพียงเพราะประตูวังกางกั้น ปิดกั้นเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมามากมาย นางกลับไปไม่ได้อีกแล้ว นับวันนางก็ยิ่งเข้าใจความจริงในข้อนี้ 

 

 

นางเป็นข้าราชสำนักสตรีแล้ว ทั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่งานอักษรของฝ่าบาทซึ่งนับวันฝ่าบาทก็ยิ่งเห็นความสำคัญของนาง และความผูกพันของนางกับวังหลวงนี้นับวันยิ่งใกล้ชิดเข้าไปทุกที 

 

 

หากเป็นตอนที่นางเพิ่งเข้าวัง นางยังคงบริสุทธิ์ดุจเดียวกับกำไลที่เหอเจี่ยนสุยมอบให้ ใสซื่อและสะอาด ถึงจะไม่ถึงกับไร้เดียงสาไม่ประสาในเรื่องราวใดๆ แต่ในใจนางนั้นยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง 

 

 

ส่วนความสัมพันธ์ของนางกับพระราชวังอันตระการนี้นั้น เป็นเสมือนดั่งคนไร้ความสำคัญที่ไปอาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น จะอยู่หรือไปก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันใด 

 

 

ทว่าตอนนี้แตกต่างไปแล้ว เกิดความยุ่งยากซับซ้อนที่ยากจะแก้ไข เรื่องราวที่พัวพันโยงใย นางเคยหวังที่จะหยั่งรากลงในที่นี้ดูเหมือนจะเป็นความจริงขึ้นแล้ว