ตอนที่ 342 คำตอบ / ตอนที่ 343 ไว้ทุกข์

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 342 คำตอบ 

 

 

เซียงฉือรู้สึกว่าตนเองในขณะนี้เป็นเพื่อนของเหอจิ่นเซ่อและสวี่อี้ เป็นเสมือนแขนของฮ่องเต้ เป็นต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่งที่งอกเงยอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางภายในพระราชวังนี้ 

 

 

เมื่อหยั่งรากลงในที่นี้แล้วก็จะดูดซับความมืดมิด เล่ห์เพทุบาย ความปลิ้นปล้อนของสถานที่นี้ให้เสมือนดั่งปุ๋ย เพื่อให้เจริญเติบโตสืบเนื่องต่อไป 

 

 

นางไม่ได้เป็นนางที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาคนนั้นอีกแล้ว แต่เป็นเหมือนอาหารที่กลายสภาพ กระทั่งนางเองยังคลื่นไส้ 

 

 

เพราะว่านางในอดีตไม่เคยเจ็บแค้นผู้ใดมาก่อน ทั้งยังไม่เคยคิดจะสับใครให้เป็นหมื่นชิ้น ไม่เคยคิดว่าจะนำเอาวิธีการทรมานคนพวกนั้นจากหนังสือมาอยู่บนตัวนางได้ 

 

 

นางเกลียด นางแค้นใจยิ่งนัก! 

 

 

จิตใจเซียงฉือเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง เป็นความปรารถนาที่ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงหลังจากการตำหนิตนเอง 

 

 

แม้ตอนนี้นางจะอิงร่างเหอจิ่นเซ่ออยู่อย่างว่าง่าย แต่ภายในอกนั้นกำลังเต้นระรัวอย่างรุนแรง ราวกับมีกองไฟที่กำลังเผาไหม้กองหนึ่งสุมอยู่ 

 

 

เซียงฉือกำลังกดอัดมันไว้ แล้วถามเสียงเบาว่าเหอเจี่ยนสุยยังพูดอะไรอีก…เหอจิ่นเซ่อมองสวี่อี้ แต่ก็ตอบออกไปโดยไม่ต้องคิด 

 

 

“เขาบอกว่าไม่ว่าเวลาใดเจ้าก็ยังคงมีเขาอยู่ หวังว่าเจ้าจะรักษาตัวเองให้ดี” 

 

 

เหอจิ่นเซ่อกระแอมเบาๆ นางยังไม่เคยส่งคำพูดอ่อนโยนอาลัยอาวรณ์เช่นนี้แทนใครมาก่อน ทั้งยังต้องมาบอกกับหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของนางเสียอีก 

 

 

สวี่อี้ได้ยินเข้าก็ขวยเขิน ในห้องนี้ส่วนมากจะเป็นหญิงสาวที่ยังไม่เจนโลก ยิ่งกับเรื่องความรัก ใบหน้าจะบางเยี่ยงกระดาษ แดงเรื่อขึ้นได้ทันที 

 

 

แต่เซียงฉือกลับหนักใจขึ้นมา หากเป็นยามปกติ เมื่อนางได้ยินคำพูดอ่อนโยนอาลัยอาวรณ์เช่นนี้ จะต้องอายม้วนต้วนหน้าแดงราวดอกท้อต้องตะวัน 

 

 

ทว่าบัดนี้มิได้เป็นเช่นนั้น นางรู้สึกว่ามันเป็นภาระหนักหน่วงที่กดทับนางจนอึดอัด นางไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นความหวานชื่นอีกแล้ว แต่เป็นเครื่องพันธนาการที่รัดนางไว้ในอดีตกับความเป็นจริง 

 

 

นางเหนื่อย เหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง 

 

 

เซียงฉืออิงอยู่ในอ้อมอกเหอจิ่นเซ่อ สูดกลิ่นหมึกจางๆ บนร่างนางเบาๆ กลิ่นหอมที่คุ้นเคยนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยปาก 

 

 

“พี่จิ่นเซ่อ วานท่านบอกเจี่ยนสุยด้วยว่าอย่าได้รอข้าอีกเลย อวิ๋นเซียงฉือในตอนนี้ไม่ใช่อวิ๋นเซียงฉือที่เขาเคยรู้จักในอดีตอีก หญิงสาวที่เขาเคยรู้จักนั้นได้ตายไปแล้วด้วยความซาบซึ้งใจในตัวเขาในคุกที่กรมราชทัณฑ์” 

 

 

เซียงฉือไม่อยากพูดอะไรประเภทที่ขอให้เขาหาหญิงสาวที่ดีงามเพื่อร่วมชีวิต ให้มีวันเวลาที่มีความสุขซึ่งนางไม่อาจสมปรารถนาในชาติที่แล้ว 

 

 

นางติดค้างความรักของเหอเจี่ยนสุย จะขอทดแทนคืนเขาในชาติหน้า 

 

 

เซียงฉือเข้าใจดีว่า ถึงแม้นางจะสามารถออกนอกประตูวังไปได้ แต่อย่างไรก็ไม่ใช่หญิงสาวน่ารักไร้เดียงสาที่เหอเจี่ยนสุยถนอมราวอัญมณีคนนั้นอีกแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจะคอยเหนี่ยวรั้งถ่วงชีวิตของเขาไปเพื่ออะไร 

 

 

มีแต่จะทำให้เขาต้องจมลงสู่นรกอเวจี ถูกจิตใจที่มีมโนธรรมประณามเช่นเดียวกับตน 

 

 

เสียงของเซียงฉือไม่ดังแต่คนทั้งสองก็ได้ยินชัดเจน เหอจิ่นเซ่อทอดถอนใจ เพราะนางเข้าใจดีว่าเซียงฉือทำเช่นนี้ก็เพื่อเหอเจี่ยนสุย 

 

 

แต่ผู้น้องที่ลุ่มหลงงมงายของนางคนนั้น อีกทั้งความแข็งกร้าวดื้อรั้นของคนบ้านสกุลเหอของนาง ที่เชื่อว่า ความเพียรพยายามคือหนทางที่จะไต่ขึ้นเทือกเขาแห่งความรู้ฉันใด ความยากลำบากก็คือเรือที่จะใช้ถ่อพายในทะเลแห่งรักจนสู่ฝั่งฉันนั้น 

 

 

เมื่อเหอเจี่ยนสุยตระหนักว่าเซียงฉือต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางน้ำลึกไฟสุม เขายิ่งจะไม่ยอมทอดทิ้งนางเป็นอันขาด เขาเป็นสุภาพบุรุษแท้จริงที่คอยช่วยเหลือคนจากความลำบากและไม่เป็นธรรม แล้วจะให้นิ่งดูดายต่อคนรักของตนได้อย่างไร 

 

 

ทว่าเรื่องบางเรื่องนั้นเป็นดั่งมีบุญพานพบแต่ไร้วาสนาคู่เคียง ซึ่งพวกเขาก็เป็นดั่งนี้ ทั้งที่หมั้นหมายกันแล้วทั้งคู่ แต่ก็ถูกโชคชะตากลั่นแกล้งเช่นนี้ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 343 ไว้ทุกข์ 

 

 

เซียงฉิงพิงไหล่เหอจิ่นเซ่อ หลังพูดคำพูดนั้นแล้วก็หลับตาลงไม่มองอะไร ไม่คิดอื่นใดอีก นางเหมือนสัตว์ตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ ดิ้นรนกลับถึงถ้ำของตนและกำลังเลียแผลปลอบโยนตนเองอยู่ 

 

 

เซียงฉือหลับตาเตรียมตัวนอนหลับ นี่ก็ดึกมากแล้ว นางจะรบกวนพี่สาวทั้งสองให้ต้องลำบากเพื่อนางต่อไปได้อย่างไร ดังนั้นจึงปิดตาแล้วนอนหลับ 

 

 

สวี่อี้มองดูนางแล้วได้แต่เพียงส่ายหน้า ส่วนเหอจิ่นเซ่อรู้สึกว่าบนตัวนางมีจุดหนึ่งที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตา นางต้องหวาดกลัวและเจ็บปวดขนาดไหนกันนะ 

 

 

เหอจิ่นเซ่อออกไปพร้อมกับสวี่อี้ เมื่อส่งสวี่อี้กลับไปแล้วจึงกลับเข้ามาใหม่ นางผลักประตูเดินเข้าไปแล้วปิดประตูอย่างระมัดระวัง จากนั้นพูดกับเซียงฉือบนเตียงว่า 

 

 

“รู้ว่าเจ้ายังไม่หลับก็เลยจะถามเจ้าว่าจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อส่งวิญญาณท่านปู่ไหม” 

 

 

ราชสำนักแตกต่างจากภายนอก เซียงฉือไม่สามารถสวมชุดปอไว้ทุกข์ได้ เหอจิ่นเซ่อจึงจัดกระโปรงสีขาวทั้งชุดให้นางซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ดีที่สุดแล้ว 

 

 

นางนำธูปดีออกมาสามดอก เปิดหน้าต่างด้านที่หันไปหลานโจว แล้วไหว้ออกไปด้านนอกหน้าต่างสามครั้ง จากนั้นปักธูปลงในกระถางธูป 

 

 

เมื่อหันกลับมาก็เห็นเซียงฉือเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว 

 

 

“ขอบคุณท่านพี่อย่างยิ่งที่ช่วยจัดการให้ข้า บุญคุณครั้งนี้ข้าจะจดจำไว้ตลอดไป” 

 

 

วันนี้เหอจิ่นเซ่อช่วยเหลือนางหลายอย่าง ที่ผ่านมาก็ช่วยเหลือนางหลายครั้ง นางเป็นญาติผู้พี่ของเหอเจี่ยนสุย ถ้าหากเซียงฉือแต่งงานกับเหอเจี่ยนสุยก็จะกลายเป็นน้องสาวนางเช่นกัน 

 

 

ทั้งสองคนจะกลายเป็นคนบ้านเดียวกัน แต่เวลานี้เซียงฉือเกิดความคิดที่จะถอนหมั้น นางกับเหอเจี่ยนสุยหมั้นหมายกันไว้แล้วและมีหนังสือเป็นหลักฐาน แต่ว่าหนังสือฉบับนั้นไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้วตั้งแต่วันที่บ้านถูกกวาดล้าง 

 

 

ตลอดมาจึงเหลือเพียงกำไลหยกขาวเท่านั้นที่เป็นสื่อรัก แต่ก่อนหน้านี้ก็ได้ส่งคืนกำไลไปแล้วจึงไม่ห่วงพะวงอีก 

 

 

เซียงฉือเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็เลียนแบบเหอจิ่นเซ่อ หันหน้าไปในทิศทางหลานโจว คุกเข่าลงยกธูปขึ้นเหนือศีรษะ คารวะสามครั้งแล้วจึงลุกขึ้นนำธูปไปปักในกระถางที่วางอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่าง 

 

 

นางคุกเข่าต่ออยู่ที่ใต้ระเบียงมองดูพระจันทร์ดวงหนึ่งด้านนอก คิดถึงคนที่คุ้นเคย 

 

 

เซียงฉือคุกเข่าอยู่เช่นนั้น เหอจิ่นเซ่อวางเบาะลงใบหนึ่งแล้วนั่งทับเข่าอยู่ข้างนาง ในเวลานั้นทำให้นางได้รู้ว่าเวลาไม่เคยปรานีใคร นางไม่ใช่สาวน้อยวัยสิบกว่าปีในตอนนั้นอีกแล้ว การคุกเข่าเช่นนี้เพียงครู่เดียวก็ทำให้ปวดเมื่อยไปทั้งตัว 

 

 

นางมีงานต้องทำอยู่ทุกวัน ไม่สามารถมาทรมานตนเองแบบเซียงฉือเช่นนี้ได้ 

 

 

มองดูเซียงฉือแล้วจึงพูดคุยกับนาง 

 

 

“เซียงฉือ เรื่องของท่านปู่เจ้าต้องระงับความเสียใจและยอมรับการเปลี่ยนแปลง เจ้ารับใช้อยู่ข้างกายฝ่าบาทจะต้องระวังรอบคอบให้ดี เรื่องที่บ้านสำคัญ เรื่องในราชสำนักก็สำคัญเช่นกัน ฝ่าบาทของพวกเราเป็นฮ่องเต้ที่ขยันมัธยัสถ์และกตัญญู ถึงพระองค์จะโปรดเจ้า แต่ไม่ทรงยอมถูกเจ้าจับเล่นอยู่ในอุ้งมือหรอกนะ” 

 

 

“พี่อายุมากกว่าเจ้าหลายปีและเข้ามาในวังยาวนานมากกว่า มีเรื่องมากมายใช่ว่าเพียงแค่อดทนก็จะผ่านไปได้ แต่เรื่องราวต่างๆ ก็ไม่สามารถใจร้อนด่วนได้ แล้วเจ้าก็ไม่ใช่ตัวคนเดียว” 

 

 

“ต้องคิดถึงคนที่อยู่ข้างหลังของเจ้าด้วย น้องชายวัยเพียงเจ็ดขวบกับบิดาที่ชราภาพลงเรื่อยๆ ของเจ้า จะต้องเยือกเย็นสุขุมไว้” 

 

 

เหอจิ่นเซ่อสมเป็นผู้อาวุโสในวังจริงๆ นางรู้เท่าทันความคิดอ่านของเซียงฉือ หากสวี่อี้พูดว่าจะต้องหาตัวฆาตกรคนนั้น ต้องใช้เลือดล้างหนี้เลือด นอกจากนางจะเป็นข้าราชสำนักสตรีแห่งกองคดีแล้ว เพราะนางยังเป็นคนสาวเลือดร้อน มีคนให้การสนับสนุนตลอดมาจนมีฐานะในวันนี้ 

 

 

ส่วนเหอจิ่นเซ่อนั้นแตกต่างกัน นางฉลาดปราดเปรื่องและมากประสบการณ์จึงได้เป็นหัวหน้ากอง ตำแหน่งราชเลขาสตรีขั้นที่สาม ส่วนสวี่อี้ที่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้และได้รับความไว้วางใจนั้น ยังเป็นขุนนางขั้นที่หกในระดับเฟิ่งเอิน