นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 480 การตกหลุมรัก มีความหอมหวานย่อมมีความขื่นขม
เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยคิดว่าตนเองนั้นเป็นคนที่ดีเลิศ แต่นางก็มีความรับผิดชอบสูง การแข่งขันกับซูหว่านคือหน้าที่ของนางในตอนนี้ ตราบใดที่นางยังพอมีแรงอยู่ก็ต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จลุล่วง
เฟิ่งชิงเฉินลืมตาแล้วสำรวจสภาพร่างกายของตนเอง เมื่อแน่ใจว่าไม่เป็นอะไรแล้วก็รีบลงจากเตียง แต่งกายให้เรียบร้อย แล้วเตรียมกลับเข้าไปในเมือง
แต่ทว่า เมื่อนางเปิดประตูก็ต้องพบกับองครักษ์เข้ามาขวาง “แม่นางเฟิ่ง ท่านอ๋องทรงมีรับสั่งว่าไม่ให้ท่านออกไปไหนเด็ดขาด เชิญท่านไปนอนพักก่อนเถิด”
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว ไปทูลท่านอ๋องของท่านนะว่าข้าสามารถกลับเองได้” หลังจากที่นางได้นอนไปสักพักหนึ่งแล้วก็รู้สึกดีขึ้น อาการเจ็บเข่าก็ทุเลาลงไปมาก ดูก็รู้ว่ามีคนมาคอยดูแลนาง
ส่วนเรื่องกลับเข้าเมือง เฟิ่งชิงเฉินเชื่อว่าเสด็จอาเก้าคงเตรียมการเอาไว้แล้ว เพราะหากนางเกิดแพ้ขึ้นมาก็เท่ากับว่าเขาต้องเสียหน้าด้วย
“ขออภัย รับสั่งของท่านอ๋อง พวกเราจำเป็นต้องทำตาม ท่านอ๋องทรงสั่งให้แม่นางเฟิ่งไปพักผ่อนให้เต็มที่ขอรับ” องครักษ์ยังคงยืนขวางหน้าเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ ช่างน่าหงุดหงิดเสียเหลือเกิน
เฟิ่งชิงเฉินชื่นชมเหล่าทหารที่ปฏิบัติตามคำสั่งมาตลอด แต่เมื่อถึงคราวที่นางต้องมาเจอคำสั่งก็ทำให้นางอารมณ์เสียไม่น้อย
เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าหากไม่มีคำสั่งจากเสด็จอาเก้า องครักษ์สองคนนี้ก็คงไม่มีทางปล่อยนางออกไปแน่ จึงไม่เสียเวลาโต้เถียงกับพวกเขา
“รบกวนพวกท่านช่วยไปทูลท่านอ๋องทีว่าข้าต้องการพบ” เสด็จอาเก้าคงจะรู้ดีว่าการแข่งขันในวันพรุ่งนี้นั้นสำคัญเพียงใด แต่ถ้าหากเขาไม่ให้นางกลับเข้าเมือง นางก็คงไม่มีทางเลือกอื่น
องครักษ์ที่ยืนเฝ้าประตูต่างก็มองหน้ากันแล้วจึงพยักหน้า จังหวะที่เขากำลังจะเอ่ยปาก ประตูห้องข้างๆก็เปิดออกในทันที เสด็จอาเก้าเดินออกมา เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินฟื้นแล้วแรกๆก็ดีใจ แต่ไปๆมาๆเขากลับขมวดคิ้วและเอ่ยกับนางว่า “หมอบอกว่าเจ้ายังอ่อนเพลียอยู่ ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ ใครให้เจ้าลุกขึ้นมาแบบนี้”
เมื่อพูดจบก็หันไปจ้ององครักษ์ตาเขม็ง เป็นการตำหนิที่พวกเขาดูแลเฟิ่งชิงเฉินไม่ดีพอ องครักษ์ทั้งสองก็ไม่กล้าปริปาก ได้แต่ถอยหลังไปยืนก้มหน้านิ่ง
“หม่อมฉันลุกขึ้นมาเองเพคะ เสด็จอาเก้าอย่าทรงโทษพวกเขาเลย ชิงเฉินเป็นหมอ ชิงเฉินรู้ว่าตัวเองไม่เป็นไรแล้วเพคะ” เฟิ่งชิงเฉินโน้มตัวคารวะ เป็นการแสดงให้เขาเห็นว่าตนเองอาการดีขึ้นมากแล้วและสามารถเดินทางกลับเข้าเมืองได้
หากกลับเมืองในตอนนี้ ก็ยังพอมีเวลาให้นางได้นอนพัก
เสด็จอาเก้ารีบก้าวเท้ามาประคองเฟิ่งชิงเฉินที่กำลังโน้มตัว “เด็กโง่ ไม่สบายอยู่แล้วจะฝืนไปทำไม เป็นหมอแล้วอย่างไร เป็นหมอก็ล้มป่วยได้เหมือนกัน”
เขาพูดนั่นพูดนี่โดยไม่สนใจว่าเฟิ่งชิงเฉินจะฟังหรือไม่ฟัง แล้วประคองนางเดินเข้าไปในห้อง
“เสด็จอาเก้า” นางพยายามดิ้น แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากอ้อมกอดของเขาได้
เสด็จอาเก้าไม่ฟังเฟิ่งชิงเฉิน เขาพานางไปนอนลงบนเตียง “หมอบอกว่าเจ้าต้องนอนพักผ่อน”
จังหวะที่เขาจับเฟิ่งชิงเฉินวางลงบนเตียงนั้น หัวใจของเขาก็เต้นอย่างรุนแรง เขารู้สึกคอแห้งและร้อนรุ่มไปทั่วท้อง
เสด็จอาเก้าหูแดง อาการเช่นนี้หมายความว่าอะไรเขาเข้าใจเป็นอย่างดี เสด็จอาเก้าไม่กล้าขยับตัว ได้แต่ประคองร่างเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ แล้วจ้องหน้านางอยู่แบบนั้น……
เขาต้องการเวลาในการระงับความร้อนรุ่มในจิตใจ
เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้เสด็จอาเก้าตื่นตกใจ โชคดีที่ใบหน้าของเขาเย็นชา นอกจากตัวเขาเองแล้ว คนอื่นๆก็ไม่มีใครมองเห็นความผิดปกติ
คนทั้งสองแนบชิดติดกันมาก เฟิ่งชิงเฉินเบิกตาโต ตอนนี้นางได้เห็นความหล่อเหลาของเสด็จอาเก้าอย่างใกล้ชิด ร่างกายของนางก็ติดอยู่ในอ้อมกอดของเขา ราวกับว่านี่เป็นโลกอีกใบหนึ่ง เสด็จอาเก้าเหมือนท้องฟ้าของนาง ในสายตาเฟิ่งชิงเฉินตอนนี้ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้ว นอกจากภาพเสด็จอาเก้า
ระยะห่างที่เหลือเพียงน้อยนิด ทำให้ลมหายใจไปสัมผัสกับอีกฝ่าย เสด็จอาเก้าที่อยู่ตรงหน้านางทำให้นางรู้สึกกดดันเป็นพิเศษ ใบหน้าหล่อเหลาชวนหลงใหล ผสานกับกลิ่นหอมจากตัวเขา ทำให้นางตกอยู่ในภวังค์
ตุบๆๆ……หัวใจเต้นเร็วกว่าที่เคย อุณหภูมิภายในห้องก็สูงขึ้น เฟิ่งชิงเฉินอยากผลักเขาไปให้พ้น แต่นางก็มิอาจทำได้ ทันทีที่นางลืมตา ก็มีดวงตาพราวเสน่ห์สีดำขลับของเสด็จอาเก้าจ้องมองอยู่ตรงหน้า ดวงตาคู่นั้นปราศจากอารมณ์ เฟิ่งชิงเฉินเห็นแล้วก็รู้สึกราวกับว่านางไม่สามารถขยับตัวได้เลย
เสด็จอาเก้าที่กำลังพยายามทำจิตใจให้สงบไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเฟิ่งชิงเฉิน จนเมื่อเขาปรับสภาพจิตใจให้สงบลงได้แล้วก็รีบหลบสายตาในทันที หลังจากนั้นก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้กับเฟิ่งชิงเฉิน “เอาล่ะ เจ้านอนพักเถอะนะ เรื่องอื่นปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
เมื่อคลุมผ้าห่มเสร็จแล้วก็จัดแจงปลายผ้าห่มให้คลุมตัวนางอย่างมิดชิด เมื่อพอใจแล้วเขาจึงถอยออกจากเตียงนอน แล้วไปลากเก้าอี้มาตัวหนึ่งเพื่อนั่งลงที่ข้างๆเตียงนาง
ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินเริ่มได้สติแล้ว ดวงตาคู่งามของนางมองไปยังเสด็จอาเก้าด้วยแววตาสงสัย
นี่เสด็จอาเก้าจะมาเฝ้านางนอนหรืออย่างไร?
“มีอะไรหรือเปล่า? ไม่สบาย? หิวน้ำ? หิวข้าว? ทรมาน? หรือว่าเจ้าอยากใช้ห้องน้ำ?” เสด็จอาเก้าเห็นเฟิ่งชิงเฉินนิ่งเงียบอยู่นานจึงได้เอ่ยถามขึ้น แม้แต่เรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัว เสด็จอาเก้าก็ถามอย่างสุภาพ
เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้า คนตรงหน้าใช่เสด็จอาเก้าจริงๆหรือ?
ความเลือดเย็นของเสด็จอาเก้าหายไปไหนเสียแล้ว? จากท่าทีที่เขาใส่ใจนาง ทำให้นางรู้สึกว่าเขาเหมือนมามาสูงอายุในวังหลวงที่ดูแลจัดแจงทุกอย่างเป็นอย่างดี
เฟิ่งชิงเฉินยื่นมือออกมาจากผ้าห่ม แล้วเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเสด็จอาเก้า ในตอนแรกเสด็จอาเก้าก็ตกใจ แต่สักพักก็ปล่อยนางตามสบาย เขารู้สึกอุ่นใจมาก แต่เพราะเหตุใดจึงอุ่นใจเช่นนี้ เสด็จอาเก้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
แต่การที่เฟิ่งชิงเฉินเป็นฝ่ายใกล้ชิดกับเขาก่อน มันทำให้เขาหัวใจพองโตและรู้สึกชื่นชอบอย่างบอกไม่ถูก
คำพูดที่เฟิ่งชิงเฉินเคยพูดก่อนเป็นลมทำเอาเขาตกใจจนขวัญเสีย เขากลัวว่านางจะกล่าวโทษเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะคิดมากไปเอง เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ใส่ใจเลย
“ก็ไม่เห็นตัวร้อนเลยนี่นา” เฟิ่งชิงเฉินตรวจซ้ำแล้วซ้ำอีก เสด็จอาเก้าปกติดีทุกอย่าง
“ข้าสบายดี คนที่ไม่สบายก็คือเจ้า” เฟิ่งชิงเฉินป่วยอยู่แต่ก็ยังเป็นห่วงเป็นใยเขา แสดงว่าท่าทีแปลกๆของนางก่อนหน้านี้จะต้องเป็นเพราะนางป่วยอยู่แน่ๆ
เสด็จอาเก้าที่ใบหน้าไร้อารมณ์มาเนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็ยิ้มได้แล้ว แม้จะเป็นเพียงยิ้มเล็กๆที่มุมปาก แต่บุคลิกที่เย็นชาก็ค่อยๆดูอบอุ่นขึ้นทันที
“อืม……” เฟิ่งชิงเฉินหันมาแตะหน้าผากตัวเองบ้าง “ข้าก็ไม่ได้ตัวร้อนนี่” นางดูไม่ผิดแน่ อย่างนั้นก็แสดงว่าค่ำคืนนี้เสด็จอาเก้าดูแปลกไปน่ะสินะ?
เสด็จอาเก้าเป็นอะไรกันแน่? คงไม่ใช่เพราะนางป่วยจนทำให้เขารู้สึกผิดหรอกกระมัง? อืม จะต้องใช่แน่ๆ เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าหงึกๆ
“ไม่มีไข้หรอก หมอบอกว่าเจ้ากดดันมากเกินไป เจ้าวิตกกังวล นอนพักแล้วเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง” เสด็จอาเก้าจัดขอบผ้าห่มให้เฟิ่งชิงเฉินแล้วลูบหน้าผากนางเบาๆ เขาดูทะนุถนอมนางเป็นพิเศษ น่าเสียดายที่คนทั้งสองลืมนึกไปว่าการกระทำเช่นนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรทั้งนั้น โดยเฉพาะเรื่องการแข่งขันกับซูหว่านในวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ไม่มีผลกระทบต่อเจ้า เจ้าไม่ต้องกังวลนะ” เสด็จอาเก้าเคยเข้าใจมาตลอดว่าเฟิ่งชิงเฉินก้าวผ่านทุกอย่างมาได้อย่างง่ายดาย นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเบื้องหลังนางต้องแบกรับความกดดันไว้มากมาย
“เพคะ……” เฟิ่งชิงเฉินรับคำโดยที่ยังคงหลับตาอย่างไร้ความกังวล ในขณะที่นางกำลังหลับตาพริ้มอยู่นั้น จู่ๆนางก็เบิกตาโพลง “จริงด้วย การแข่งขัน พรุ่งนี้หม่อมฉันจะต้องไปแข่งกับซูหว่านนี่นา เสด็จอาเก้าเพคะ การแข่งขันในวันพรุ่งนี้……”
เฟิ่งชิงเฉินที่รู้สึกตัวช้าไปหน่อยเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้ตนเองกำลังเตรียมตัวกลับเข้าเมือง
เสด็จอาเก้าถอนหายใจ เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลย เขาจึงบอกนางด้วยความเหนื่อยใจว่า “ไม่ต้องแล้ว การแข่งขันวันพรุ่งนี้ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่ต้องไปแข่ง”
“ทรงยกเลิกการแข่งขันหรือเพคะ?” เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้วด้วยท่าทางเหมือนไม่ค่อยจะดีใจ
“เปล่าหรอก เจ้าวางใจเถอะ ข้าจัดการได้ คืนนี้เจ้านอนพักที่นี่ไปก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ช่วงบ่ายข้าจะให้คนไปส่งเจ้ากลับเมืองเอง” เสด็จอาเก้าแววตาเป็นประกาย เขาคิดในใจว่าการตัดสินใจของเขานั้น เฟิ่งชิงเฉินจะพอใจหรือไม่
เฟิ่งชิงเฉินรู้สภาพร่างกายตัวเองดี แม้การกลับเข้าเมืองจะทำได้สบายมาก แต่ในเมื่อเสด็จอาเก้าบอกแล้วว่าไม่มีปัญหา เช่นนั้นก็คงไม่มีอะไร เพราะถึงอย่างไรเรื่องการแข่งมารยาท นางเองก็ยังคิดวิธีรับมือไม่ได้อยู่ดี
ไม่ใช่ว่านางขาดความรับผิดชอบแต่นี่เป็นโอกาสให้นางได้พักก่อน จึงเห็นด้วยกับสิ่งที่เสด็จอาเก้าพูดมาแล้วเตรียมตัวจะนอนพัก “ขอบพระทัยเสด็จอาเก้า ชิงเฉินจะค้างคืนที่หุบเขา 1 คืนเพคะ”
เฟิ่งชิงเฉินแสดงออกทางแววตาว่านางยอมอยู่ที่นี่ 1 คืนแล้ว ให้เสด็จอาเก้ากลับออกไปได้แล้ว
แต่เสด็จอาเก้าเหมือนว่าจะไม่เห็น เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แน่นิ่ง “พักผ่อนเถอะ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่นี่”
หา……เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึง “เอ่อ ไม่ต้องก็ได้นะเพคะ……”
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนนางตั้งตัวไม่ติด เฟิ่งชิงเฉินหัวใจสั่นรัว นางจะกล้าให้เสด็จอาเก้านั่งเฝ้านางในขณะที่นางนอนหลับได้อย่างไร
“ไม่เป็นไรหรอก ก็เจ้าไม่สบาย จะว่าไปแล้วก็มีข้าเป็นต้นเหตุ” เสด็จอาเก้าพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าเสียงนั้นช่างอ่อนโยนปานขนนกที่ล่องลอย แต่ก็ทำให้นางรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
ก่อนหน้านี้นางอาเจียนหนักมาก จึงเหมารวมว่าเป็นความผิดของเสด็จอาเก้า ตอนแรกนางก็นึกว่าเสด็จอาเก้าจะโกรธนาง แต่ที่ไหนได้……
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ด้วยความรู้สึกผิด เฟิ่งชิงเฉินจึงนอนตะแคงข้าง โดยหันหลังให้เสด็จอาเก้า “ก็แล้วแต่นะเพคะ”
เสด็จอาเก้าอมยิ้มโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก……
เฟิ่งชิงเฉิน นางคงจะยกโทษให้เขาแล้วสินะ
ภายในบ้านไม้หลังเล็ก มีแสงสลัวจากตะเกียงดวงหนึ่ง บางทีก็สว่างแต่บางทีก็สลัว แสงจากตะเกียงส่องกระทบไปยังร่างคนทั้งสอง เฟิ่งชิงเฉินนอนหลับตา เมื่อนางรู้ว่ามีเสด็จอาเก้านั่งอยู่ข้างหลังนางก็รู้สึกสุขใจ
หรือว่าผู้ชายคนนี้อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นางเคยคิด นางไม่ควรยอมแพ้แต่เนิ่นๆ นางควรสู้ต่อไปต่างหากล่ะ
แต่ว่า……ผู้ชายคนนี้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอันดับหนึ่งของที่นี่ หากวันใดวันหนึ่งนางกลายเป็นอุปสรรคชีวิตเขาขึ้นมา เมื่อถึงวันนั้นแล้วนางจะถูกเขากำจัดอย่างโหดเหี้ยมหรือเปล่านะ?
เมื่อคิดถึงจุดนี้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ชักจะลังเล นางมีความถนัดอยู่ 2 ด้าน แต่ความถนัดของนางเมื่อมาอยู่ในภพชาตินี้แล้วมันไม่ได้ช่วยอะไรนางได้มากนัก อย่าว่าแต่ทหารสักกองเลย แค่คนธรรมดาเพียงแค่ไม่กี่คนก็ทำลายชีวิตนางได้แล้ว
มีความหอมหวานย่อมมีความขื่นขม เฟิ่งชิงเฉินนอนกระสับกระส่ายอยู่สักพักแล้วจึงเคลิ้มหลับไป โดยหารู้ไม่ว่าด้านหลังของนางนั้น เสด็จอาเก้าได้เป่าตะเกียงจนดับ ก่อนจะขึ้นไปนอนบนเตียง……
อืม ยาคลายกังวลนี่มันใช้ดีจริงๆ!
ส่วนวันพรุ่งนี้ เมื่อเฟิ่งชิงเฉินทราบเรื่องการแข่งขันแล้วจะเป็นอย่างไรนั้น เรื่องนี้……เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคิดก็แล้วกัน!
เสด็จอาเก้าครุ่นคิดอยู่ในใจ……