บทที่ 182 โกลาหล

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 182

โกลาหล

ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ยังไร้วี่แววของซูเหลียนหยู ความอดทนของฮงเหยียนก็เริ่มมาถึงขีดจำกัด เมื่อเขารู้ว่าซ้อมซูจุ้นไปก็ป่วยการ ก็สั่งการให้ลูกน้องของเขาจับภรรยาและลูกๆของซูจุ้นเอาไว้

“ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง ซูเหลียนหยูอยู่ที่ไหน?” ฮงเหยียนถามขึ้นอย่างเลือดเย็น

ภรรยาของซูจุ้น ซินหลานกอดลูกวัย 9 ขวบซูเจี่ยไว้ด้วยร่างกายที่สั่นเทา และน้ำตาที่รินไหลออกมาด้วยความหวาดกลัว

“ไอ้บ้า ปล่อยพวกเขาเดี๋ยวนี้นะ พวกเขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย อยากทำนักก็มาลงที่ข้าเซ่ ไอ้ขี้ขลาด!”

ซูจุ้นที่นอนจมกองเลือดเมื่อเห็นลูกและภรรยาตกอยู่ในอันตราย สัญชาตญาณก็กระตุ้นให้เขาลุกขึ้นมาอีกครั้ง

“แกคิดว่าแกเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า หา!?” ลิ่วฉานยันอกของเขา และใช้เท้ายีใบหน้าของเขาจนสภาพดูไม่ได้

“จุ้น! พอเถอะ อย่าฝืนตัวเองอีกเลยนะ”

“ท่านพ่อ!”

ซินหลาน และลูกของนางทนเห็นสภาพอันน่าอดสูของ ซูจุ้นไม่ได้ จึงตะโกนออกมา พลางจะวิ่งเข้าไปสวมกอดร่างของชายที่จมกองเลือด แต่ก็ถูกพวกคนถ่อยขวางเอาไว้

“บอกมา! ไม่อย่างนั้นข้าจะฉีกร่างของครอบครัวเจ้าเป็นชิ้นๆต่อหน้าเจ้า” ลิ่วฉานเหยียบยอดอกของซูจุ้น พร้อมกับพูดข่มขู่เขาอย่างโหดเหี้ยม

“ได้โปรดเถอะ ถ้าข้ารู้ ข้าบอกท่านไปแล้ว ท่าน ท่านอยากได้อะไรเพียงเอ่ยปาก ข้ายินดีทำให้ได้ทั้งหมด แต่ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเขาด้วยเถอะ!” ดวงตาของซูจุ้นว่างเปล่า เขาได้แต่อ้อนวอนขอชีวิตแทนลูกเมียของเขา

ฮงเหยียนได้ยินดังนั้น ก็ขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจ “ในเมื่อเจ้าไม่รู้จริงๆ ก็จงตายซะเถอะ! อย่าได้กังวลเลยข้าจะส่งลูกเมียและชาวบ้านพวกนี้ตามเจ้าไปปรโลกในไม่ช้านักหรอก”

สิ้นเสียงของฮงเหยียน เขาก็ดีดนิ้วขึ้น ส่งคลื่นมนตราเข้าไปในร่างของซูจุ้น ก่อนที่มันจะดับชีพจรของเขาในวินาทีต่อมา

“อาจุ้นนนนน!” แม่นางซินกรีดร้องเสียงหลงจนแทบขาดใจ

หลังจากนั้นเหล่าจอมยุทธ์ผู้ติดตามก็ชักกระบี่ประจำกายออกมาฟาดฟันชาวบ้านอย่างไร้ความปรานี เสียงกรีดร้องและกลื่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว จนไปถึงตีนเขาแสงจันทร์

“ช่วยด้วย อ๊ากกกกกก”

“อย่าฆ่าข้าเลย ข้าไม่-”

ชาวบ้าน รวมไปถึงคนงานเหมืองที่เคยทำงานให้กับสำนักกระบี่อย่างขยันขันแข็งต่างถูกนายจ้างเข่นฆ่าจนล้มตายลงเป็นจำนวนมาก

ซินหลานที่เห็นผู้เป็นสามีสิ้นใจต่อหน้า ก็จูงลูกหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต

ปึก!

หน้าของซินหลานชนเข้ากับแผ่นอกของชายผู้หนึ่งอย่างจัง

“เห? เจ้าแม้จะลูกหนึ่งแล้วแต่ก็สะสวยไม่เบา น่าเสียดายจริงๆ หากไม่ใช่คำสั่งของท่านฮงเหยียนผู้นั้นล่ะก็ ข้าก็กะจะเล่นกับเจ้าสักหนึ่งกระบวนท่า” ลิ่วฉานเชยคางแม่นางซินด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ก่อนจะใช้หลังมือฟาดเข้าที่แก้มของนางอย่างเต็มแรง

ทันใดนั้นเอง เงาตะคุ่มก็พุ่งใส่ลิ่วฉานอย่างรุนแรง จนทำให้เขากระเด็นออกไปไกล

“อั่กกกกกกก!” ลิ่วฉานกระอักเลือดกลางอากาศ และสิ้นใจในทันที

“น้องสะใภ้ เจ้าไม่เป็นไรนะ?” ซูเหลียนหยูถามขึ้นอย่างเป็นกังวล ก่อนหน้านี้นางซ่อนตัวและรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในโรงนาเล็กๆที่ตีนเขาแสงจันทร์ ทันทีที่นางได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากหมู่บ้านก็รีบบึ่งมายังที่เกิดเหตุทันที

แม้ว่าซูเหลียนหยูจะเพิ่งช่วยชีวิตสองแม่ลูกเอาไว้ได้ แต่สีหน้าของนางก็ไม่ได้คลายความกังวลแต่อย่างใด “น้องสะใภ้ เกิดอะไรขึ้น? พวกนั้นมันทำอะไรพวกเจ้า? น้องชายข้าล่ะ ซูจุ้นอยู่ที่ไหน?”

ซินหลานที่เห็นท่าทีที่กระวนกระวายของซูเหลียนหยู และสภาพร่างกายของนางยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ นางก็รีบดึงมือของพี่สามีและพานางหนีไปตามกัน

“ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว พวกนั้นมันกำลังตามตัวท่านพี่อยู่ รีบหนีก่อนเถอะ!”

ซูเหลียนหยูอ่านสีหน้าของซินหลานได้ นางก็กำมือแน่นและกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้นที่มีต่อสำนักกระบี่ประหารเทพ

“บอกข้ามาสิว่ามันไม่จริง” นางยังคงไม่อยากเชื่อในสัญชาตญาณของตน และเค้นถามน้องสะใภ้ด้วยสีหน้าที่ยากจะทำใจยอมรับได้

“น้องของท่าน น้องของท่าน เขา ฮืออออ” เมื่อถูกถามมากเข้า ซินหลานก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ซูเจี่ยที่เห็นผู้เป็นแม่ร้องไห้ออกมายกใหญ่ เขาก็ร้องไห้ตาม

เมื่อได้รู้ว่าสิ่งที่นางคิดเป็นความจริง สีหน้าของ ซูเหลียนหยูก็ซีดเผือดลง ร่างของนางสั่นเทิ้ม ขาทั้งสองข้างก็ทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

“ท่านพี่ซู รีบไปเถอะ รีบไปก่อนที่พวกมันจะหาตัวท่านพบ” ซินหลานปาดน้ำตาของนาง ก่อนช่วยพยุงร่างพี่สามีขึ้น แต่ทว่านางก็สะบัดมือของซินหลานออกและดิ่งตรงเข้าไปในหมู่บ้านด้วยไฟแค้นที่สุมอก

ในระหว่างที่นางโคจรลมปราณ สายลมก็ก่อตัวขึ้นรอบๆตัว

“เพลงกระบี่สายลมคลั่ง!” เมื่อนางร่ายคำปลดปล่อยกระบวนท่า สายลมก่อตัวขึ้นเป็นกระบี่หลายเล่ม ร่ายรำอย่างอิสระ ก่อนที่มันจะพุ่งกระหน่ำแทงพวกโจรถ่อยในคราบสำนักวิชายุทธ์อย่างไร้ความปรานี

ฟิ้ว ฟิ้วว ฟิ้วววว

“อ๊ากกกกกกกกกกก” เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดดังระงมขึ้นจากทุกทิศทาง

“ใครกัน!?”

“นั่นไงนาง! ล้อมมันเอาไว้!”

ซูเหลียนหยูวาดมือร่ายรำ ควบคุมกระบี่แห่งสายลมอันคมกริบ เข้าใส่ศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาหานางจนล้มตายลงทีละคนๆต่อหน้าฮงเหยียนผู้จองหอง

“ร้ายกาจนักนะ! ข้าก็ไม่อยากทำร้ายสตรีหรอกนะ แต่เจ้าบังคับให้ข้าต้องทำเช่นนี้!” ฮงเหยียนเหยียบอากาศเข้าประชิดเสี่ยวหยูในพริบตาด้วยความเร็วระดับเทพอสูร

ซูเหลียนหยูที่หน้ามืดตามัว ในหัวของนางมีแต่การแก้แค้นให้น้องชายจึงไม่ได้สนใจระดับพลังของคู่ต่อสู้ และเค้นพลังที่มีทั้งหมดออกมาประมือกับฮงเหยียน

ตู้มมมมมมมมม!

“อั่กกกกก”

อย่างไรก็ตามเทพยุทธ์ก็ไม่อาจต่อกรกับเทพอสูรได้ ซูเหลียนหยูจึงถูกฮงเหยียนประทับมือเข้าที่แผ่นหลัง จนกระอักเลือดออกมาและถอยหลังออกไปหลายก้าว

“น้องชายข้าต้องตายเพราะพวกแก! พวกแกต้องตาย” แม้จะถูกโจมตีเข้าอย่างจัง แต่สติสัมปชัญญะของนางก็ยังไม่กลับมา นางได้ละทิ้งทุกอย่างเพื่อการแก้แค้นและกระโจนใส่

ฮงเหยียนอีกครั้งอย่างไร้สติ

“ใจกล้าไม่เบา ถูกใจข้ายิ่งนัก! มาดูสิว่าเทพยุทธ์อย่างเจ้าจะทนได้อีกสักกี่น้ำกัน!” ฮงเหยียนแปลกใจเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก ก่อนจะตวัดมือใส่ซูเหลียนอยู่อีกครั้ง

กระบวนท่าของฮงเหยียนรุนแรงราว และกล้าแกร่งดุจหินผา สอดประสานกับกระบี่ลมหวนของซูเหลียนหยู เสียงโลหะกระทบกันดังกึกก้องไปทั่วหมู่บ้านที่อ้างว้าง

ไม่นานนักซูเหลียนหยูที่บอบช้ำจากการต่อสู้ ก็พลาดท่าเสียทีให้กับฮงเหยียน

“ตายซะเถอะ!” ฮงเหยียนไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ เขารุกไล่แม่นางซูอย่างไม่ปรานี ซินหลานที่แอบดูอยู่ห่างๆก็ยกมือขึ้นปิดตาตัวเอง นางไม่ต้องการเห็นคนที่เปรียบเสมือนครอบครัวของนางจากไปอีกคน

ในชั่วพริบตานั้นเอง ชายผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นโอบอุ้มร่างกายบอบบางเอาไว้ ก่อนใช้มืออีกข้างซัดใส่ฮงเหยียนที่ไม่ทันได้ระวังตัว

“ตาย!” น้ำเสียงของชายผู้นั้นเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด และความอาฆาตแค้น กำปั้นของเขาทะลวงการป้องกันดาดๆของฮงเหยียน จนทะลุถึงอกได้อย่างง่ายดาย

เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!

กระดูกของฮงเหยียนแหลกละเอียดจนไม่เหลือชิ้นดี เขาสิ้นใจภายในกระบวนท่าเดียว ก่อนที่ร่างไร้วิญญาณของเขาจะตกลงสู่พื้น

“ไม่เป็นไรแล้ว ข้าอยู่นี่แล้ว เสี่ยว- ไม่สิซูเหลียนหยูของข้า” เย่เย่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น พลางใช้มือปัดเผ้าผมที่ยุ่งเหยิงของนางออก แม้ว่านางจะยังไม่สิ้นใจ แต่ก็หมดสติและมีลมหายใจที่โรยริน

สภาพของนางทำให้เย่เย่รู้สึกราวกับโดนเข็มพันเล่มทิ่มแทงที่หัวใจ เขากัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดซิบออกมาด้วยความเจ็บใจและเอาแต่โทษในความไร้พลังของตนเอง…