บทที่ 181 การจลาจลในหมู่บ้านที่ห่างไกล

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 181

การจลาจลในหมู่บ้านที่ห่างไกล

แรงระเบิดจากการพลีชีพของเหยี่ยนลี่หยางนั้น ทำให้แม้แต่กงเจิ้นผู้ที่พิชิตวรยุทธ์ขั้นก้าวสวรรค์ก็ไม่อาจทานทนอานุภาพที่ร้ายแรงของมันได้ในระยะเผาขน

โชคยังดีที่เย่เย่นั้นอยู่ห่างจากรัศมีระเบิด ถึงกระนั้นจากไอเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วทำให้เกล็ดน้ำแข็งปกคลุมทั้งร่างของเขาในชั่วพริบตา แต่โถงกลางของหอการค้าหยูเย่นั้นเกิดรูขนาดใหญ่แจกแรงระเบิด

เมื่อเหตุการณ์สงบลง เสวี่ยหยูและสมาชิกหอการค้าก็วิ่งตรงกลับมาที่หอการค้าที่เหลือเพียงซาก ด้วยความลนลาน และพบเย่เย่ที่นอนไม่ได้สติอยู่ใต้ซากปรักหักพัง ก่อนที่พวกเขาจะช่วยผู้เป็นประธานขึ้นมา

ซูฉีเจี่ยหิ้วปีกของเย่เย่ขึ้นมาจากซากที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง พลางเหลือบไปเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของเสวี่ยหยู จึงออกคำสั่งให้ลูกน้องและพูดพลางขยิบตาให้กับแม่นางเสวี่ย

“ปิดข่าวให้หมด อย่าให้เรื่องนี้เล็ดลอดไปนอกเมืองเด็ดขาด…แม่นางเสวี่ยข้าฝากดูแลท่านเย่ด้วย เรื่องทางนี้ข้าจัดการเอง”

เสวี่ยหยูพยักหน้าขานรับ และช่วยกันกับลี่อิงพยุงปีกของชายหนุ่มที่หายใจโรยรินไปนอนพักบริเวณสวนใกล้ๆ

ในระหว่างที่หอการค้าหยูเย่อยู่ระหว่างการซ่อมแซม เสวี่ยหยูจึงตัดสินใจให้เหล่าสมาชิกบางส่วนที่เดินทางมาจากเมืองอื่น ใช้ทำเลสวนนี้พักอาศัยชั่วคราวไปก่อน

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่สมาชิกหอการค้าจะเข้าใจได้ ความเคลือบแคลงสงสัยในเบื้องลึกของจิตใจทำให้ช่องว่างระหว่างพวกเขาและเย่เย่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆอย่างช้าๆ แม้แต่เสวี่ยหยูและซูฉีเจี่ยที่รู้จักกับเย่เย่มานานก็ไม่ต่างกัน ทั้งสองรู้สึกว่าเย่เย่นั้นปิดบังอะไรบางอย่างมาโดยตลอด

ก่อนที่เย่เย่จะฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็เร่งเก็บกวาดเศษซากอาคาร และซ่อมแซมหอการค้าให้กลับมายิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้

สามวันต่อมา เย่เย่ก็ลืมตาตื่นขึ้น ใต้ตักอันนุ่มนวลของเสวี่ยหยู

“อ๊ะ ท่านเย่ฟื้นแล้ว ท่านซู!”

“อะไรนะ ท่านประธานฟื้นแล้วงั้นเรอะ!” ซูฉีเจี่ยรีบวิ่งมายังศาลาสีขาวที่ตั้งอยู่กลางสวน เพื่อหวังจะรีดข้อมูลจากปากของเย่เย่ที่ยังไม่ได้สติดี

“นี่แม่นางเสวี่ย ก่อนหน้านี้เขาได้พูดอะไรรึเปล่า” ซูฉีเจี่ยกระซิบถามแม่นางเสวี่ยอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เย่เย่รู้ตัว

“ซะ..ซูฉีเจี่ยมาได้เวลาพอดีเลย หอการค้าของข้าเป็นไงบ้าง”

“ท่านเย่ คือว่ามันเกิดอะไรขึ้-”

“หอการค้าของข้าเป็นยังไงบ้าง?” แทนที่จะอธิบายให้คนอื่นๆได้รับรู้ เย่เย่กลับเอาแต่เป็นห่วงหอการค้าของตนเอง

“….ก็ตามที่ท่านเห็นน่ะขอรับ” ซูฉีเจี่ย เสวี่ยหยูและสมาชิกคนอื่นๆที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เริ่มแสดงสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ไม่มีใครแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาตรงๆเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เย่

เป็นครั้งแรกที่ประธานหอการค้าหยูเย่ทำให้พวกเขาผิดหวัง ความขัดแย้งเล็กๆเริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจของพวกเขา

“…ข้าจะเร่งสร้างให้มันเสร็จโดยเร็วที่สุดขอรับ” แม้เย่เย่ไม่ต้องเอ่ยปาก แต่ซูฉีเจี่ยก็รู้ตัวดีว่าต้องทำอะไร เขาผสานมือน้อมรับคำสั่งก่อนจะถอยตัวออกห่างผู้เป็นประธานอย่างช้าๆ

“เฮ้ยพวกแก เร่งมือเข้าอย่ามัวแต่อู้” ซูฉีเจี่ยตะโกนสั่งคนงานด้วยเสียงขึงขัง พวกคนงานก็พยักหน้ารับและเร่งมือซ่อมแซมอย่างต่อเนื่องเพื่อสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป

ในขณะเดียวกันที่ยอดเขาแห่งหนึ่งไม่ห่างจากหลิงเฉิงมากนัก

“หวุดหวิดจริงๆแฮะรอบนี้…ข้าหวังว่าประสบการณ์ในครั้งนี้จะทำให้เจ้าได้เติบโตขึ้นบ้างนะ ถ้าเจ้าทำให้อาคมสลับเงาของข้าต้องสูญเปล่าล่ะก็ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่” ชายกลางคนพูดอย่างติดตลก แต่น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเจ็บใจ

อาคมสลับเงานั้นคือไพ่ตายก้นหีบของเหยียนลี่หยาง มันทำให้เขาสามารถเคลื่อนย้ายร่างไปได้ทุกที่ที่เขาเคยแบ่งร่างเงาเอาไว้ แม้ว่ามันจะทำให้ระดับวรยุทธ์ในร่างต้นอ่อนแอลงตามจำนวนร่างเงาที่ทิ้งเอาไว้ แต่มันก็ทำให้เขารอดพ้นจากเงื้อมมือของทัณฑ์สวรรค์มาได้อย่างยาวนาน

‘ที่เหลือคงต้องหวังพึ่งเจ้าแล้วล่ะนะ อย่าทำให้ข้าผิดหวังซะล่ะ’ เหยียนลี่หยางพึมพำในใจ ก่อนหันหน้าไปยังทิศตรงกันข้ามกับหลิงเฉิง และหายตัวไปพร้อมกับสายลม

ในระหว่างที่เย่เย่นอนพักอยู่นั้น เขาก็นึกย้อนถึงความผิดพลาดของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลางนึกเอะใจกับประโยคทิ้งท้ายของเหยียนลี่หยาง

‘สละชีพเพื่อปกป้องข้า ประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์มีค่าถึงขนาดนั้นเชียวรึ ก็แค่ยัดเยียดให้วิญญาณกลับชาติมาเกิดที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่มาทำภารกิจกู้โลกไม่ใช่รึไง หรือว่ามีอะไรซุกซ่อนอยู่อีก?’

“ท่านเย่! ท่านเย่!” เสียงเรียกดังก้องขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีคนเคาะประตูหน้าบ้านในยามเช้าตรู่

‘ใครกัน? หนวกหูจริง’ เย่เย่รำพันในใจ ก่อนจะงีบต่อ

“ท่านเย่!!” ครั้งนี้เสียงเรียกของสาวงามดังขึ้นแทรกโสตประสาทของเย่เย่ ทำให้เขาตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา

“เสวี่ยหยู? เรียกข้าทำไม ไม่เห็นรึไงว่าข้ากำลังนอนอยู่ กลับไปซะ ข้าจะนอนต่อแล้ว” เย่เย่ปฏิเสธนางในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น แต่เมื่อเขาได้ยินชื่อของเสี่ยวหยูดวงตาที่อ่อนล้าของเขาก็เปล่งประกายอีกครั้ง

“เมื่อครู่ เจ้าพูดถึงเสี่ยวหยูใช่ไหม เกิดอะไรขึ้นกับนาง!?” เย่เย่จับไหล่ทั้งสองของเสวี่ยหยูและพยายามเค้นข้อมูลจากนาง

“สายสืบของเรารายงานว่าที่เกิดจลาจลขึ้นที่หมู่บ้านบุปผาสวรรค์เจ้าค่ะ ส่วนชะตากรรมของนางข้าก็ไม่อาจทราบได้…”

“…งั้นรึ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ทางนี้ข้าก็ฝากเจ้าด้วยก็แล้วกัน” เย่เย่คลายมือที่กุมไหล่ของนางลง สบัดแขนเสื้อ ก่อนเดินสวนนางออกไปปล่อยให้เสวี่ยหยูกัดริมฝีปากของตัวเองแน่นด้วยความขมขื่น นางรู้ดีว่าในใจของท่านเย่ไม่มีใครมาแทนที่เสี่ยวหยูได้

อีกด้านหนึ่งที่หมู่บ้านบุปผาสวรรค์ บ้านเกิดของเสี่ยวหยู หรือซูเหลียนหยู บรรยากาศที่เงียบสงบท่ามกลางพฤกษานานาพรรณได้ถูกแทนที่ด้วยเพลิงโหมที่ลุกไหม้ไปทั่วทุกหย่อมหญ้า

ลิ่วฉานเจ้าเก่าได้นำกำลังแห่งสำนักกระบี่ประหารเทพปิดล้อมทางเข้าออกของหมู่บ้านไว้อีกครั้ง

“บอกข้ามา เอาผู้หญิงโสโครกนั่นไปซ่อนไว้ที่ไหน” ลิ่วหยานอี้กระชากคอเสื้อของซูจุ้น และเหวี่ยงเขาลงกับพื้นอย่างรุนแรง

ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ก็พากันหวาดกลัว และพาลูกหลานกลับเข้าไปในบ้านเพื่อหลบเลี่ยงอันตราย

“ข้าไม่รู้ ต่อให้ข้ารู้ ข้าก็ไม่มีวันบอกเจ้า!” แม้ว่าซูจุ้นจะถูกจับโยนลงกับพื้น แต่ดวงตาของเขาก็ไม่แสดงความหวาดกลัวออกมา อย่างไรก็ตามแม้แต่ตัวเขาที่เป็นน้องชายเองก็ไม่รู้ว่าพี่สาวของตนหายไปไหน

ย้อนไป 2 วันก่อนวันที่เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มต้นขึ้น จากความแค้นที่ถูกซูเหลียนหยูไล่ตะเพิดกลับไปอย่างไม่เป็นท่า ลิ่วฉานได้กลับมาพร้อมกับเหล่าศิษย์สำนักกระบี่ประหารเทพเพื่อกำจัด

ซูเหลียนหยูที่ทำให้เขาเสียหน้า

แต่ทว่าด้วยวรยุทธ์ขั้นเทพยุทธ์ของนาง ประกอบกับกระบี่อาคมที่เย่เย่มอบไว้เป็นของดูต่างหน้า ทำให้พวกลิ่วฉานเสียท่าอีกครั้ง แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

ในขณะที่ซูเหลียนหยูกำลังลงมือปลิดชีพลิ่วฉานนั้น พลังปราณก็เกิดปั่นป่วนขึ้นกะทันหัน ทำให้นางเสียจังหวะและต้องหลบหนีไป จนผ่านมาได้ 2 วันก็ยังไม่มีใครพบนาง ด้วยเหตุนี้หมู่บ้านของนางจึงถูกปิดล้อม

“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ ลิ่วฉาน! สำแดงให้พวกมันได้รู้ถึงอำนาจของสำนักเรา!” ชายวัยกลางคนที่ไม่คุ้นหน้าออกคำสั่งกับลิ่วฉาน

“ขอรับท่านฮงเหยียน” ลิ่วฉานประสานมือโค้งให้ชายผู้นั้น และใช้เท้ายันหน้าซูจุ้นต่อหน้าเหล่าจีนมุง

ผั๊วะ ผั๊วะ!

การถีบเพียงสองครั้งของจ้าววรยุทธ์ สำหรับคนธรรมดาก็เพียงพอที่จะทำให้บาดเจ็บเจียนตายได้

“อั่ก อั่ก อุ่กกก” ซูจุ้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ฮงเหยียนก้มหน้ามองดูผู้ถูกกระทำอย่างเลือดเย็น

เดิมทีสำนักกระบี่ประหารเทพไม่ได้บุกมาโดยมีจุดประสงค์เพื่อล้างอายให้กับลิ่วฉานเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อปิดปากชาวบ้านไม่ให้ข่าวการลักลอบทำเหมืองอย่างผิดกฎหมายของพวกเขาแพร่กระจายออกไป การฆ่าซูเหลียนหยูนั้นเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แผนของพวกเขาดำเนินได้ง่ายขึ้นเท่านั้น…