บทที่ 130 งานพิธีเปิด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 130
งานพิธีเปิด

เด็กหนุ่มประหลาดใจแล้วก็หัวเราะออกมา “นี่เธอมาสายงั้นเหรอ?” ถ้าไม่ใช่ งั้นเธอก็ต้องรู้สิว่าชั้นเรียนของตัวเองอยู่ที่ไหน

มู่หรงเสวี่ยยักไหล่อย่างปฏิเสธไม่ได้!

เด็กหนุ่มอยากที่จะพูดบางอย่าง แต่ทันใดนั้นก็ต้องเงียบลง งานพิธีเปิดกำลังจะเริ่มแล้ว เด็กหนุ่มชี้นิ้วไปที่บอร์ดอย่างขอโทษ แล้วก็ทำท่าให้เงียบเสียงลง มู่หรงเสวี่ยบอกว่าเธอเข้าใจแล้ว

หลังจากสุนทรพจน์ราบเรียบอันยาวนานมู่หรงเสวี่ยรู้สึกง่วงอย่างมาก เมื่อคืนเธอไม่ได้นอนเท่าไร เธอช่วยรักษาแผลให้ ฮวงฟูอี้จนถึงเที่ยงคืน เมื่อเช้านี้เธอก็ต้องตื่นแต่เช้า เวลาที่มีคนอื่นอยู่ในบ้านด้วยเธอจะรู้สึกไม่ไว้ใจที่จะเข้าไปพักในมิติลับ ไม่ว่าจะเวลาไหนเธอก็ต้องระวังเอาไว้ นี่เป็นบทเรียนที่เธอได้เรียนรู้มาจากชีวิตที่แล้วที่แสนแพง
อาจารย์บนเวทียังคงแนะนำตัวเองอยู่แล้วก็เปลี่ยนเป็นศาสตราจารย์ไป๋ “ผมจะพูดเพียงไม่กี่คำ มีนักเรียนปีหนึ่งคนหนึ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก…”

เมื่อได้ยินดังนี้ มู่หรงเสวี่ยก็ขมวดคิ้วและทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีแวบขึ้นมาในหัวใจ

“…เชิญขึ้นมาบนเวทีด้วย”
นั่นไง! นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย! ตาแก่นั่นอยากจะทำบ้าอะไรของเขาเนี่ย?! เธออยากที่จะวิ่งหนีไปซะตอนนี้เลยจริงๆ

จนกระทั่งประกาศเป็นครั้งที่สาม มู่หรงเสวี่ยเดินออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจท่ามกลางสายตาที่ตกใจของเด็กหนุ่ม ศาสตราจารย์ไป๋ยืนยิ้มอยู่บนเวที อย่างน้อยมู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกได้

หลังจากที่เธอขึ้นไปบนเวที เธอก็กล่าวแนะนำตัวเล็กน้อย “สวัสดีค่ะทุกคน ฉันมู่หรงเสวี่ย ฉันดีใจมากที่ได้มาเรียนที่มหาวิทยาลัยการแพทย์แห่งนี้!”

มู่หรงเสวี่ยสวยมากและหลายคนก็จำเธอได้จากรายงานข่าวก่อนหน้านี้ซึ่งก่อให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที โดยเฉพาะเมื่อศาสตราจารย์ไป๋แนะนำตัวเธอ มู่หรงเสวี่ยเป็นลูกศิษย์คนเดียวของเขาและเขาจะเป็นคนสอนเธอเอง การกระทำของศาสตราจารย์ไป๋ยังทำให้หลายคนไม่พอใจ ศาสตราจารย์ไป๋ไม่ได้สอนเลยและเชี่ยวชาญด้านการแพทย์เท่านั้น เนื่องจากเขาเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ โรงพยาบาลหลายแห่งจึงเชิญให้เขาไปเป็นที่ปรึกษา บางครั้งเมื่อในโรงพยาบาลของเมืองหลวงมีโรคยากๆ ทักษะทางการแพทย์ของศาสตราจารย์ไป๋ถือเป็นเสาหลักและเป็นต้นแบบของมหาวิทยาลัยการแพทย์ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีนักเรียนหลายคนที่คิดว่าทักษะทางการแพทย์ของพวกเขาเหนือกว่าศาสตราจารย์ไป๋ แต่พวกเขาทั้งหมดก็ถูกปฏิเสธ แต่ตอนนี้กลับรับนักศึกษาใหม่ที่ไม่มีทักษอะไรเลย แบบนี้จะไม่ให้ผู้คนรู้สึกอิจฉาได้ยังไง

นี่เป็นครั้งแรกที่มู่หรงเสวี่ยมองศาสตราจารย์อย่างไม่สุภาพ ศาสตราจารย์ไป๋สงสัยอยู่สักพัก เอ่ แม่หนูคนนี้ไม่พอใจอะไรงั้นเหรอ?! เป็นเรื่องยากมากที่เขาจะเจอลูกศิษย์ที่ถูกใจ แน่นอน เขาต้องบอกคนอื่นว่ามีบางคนในจังหวัดที่เป็นคนแนะนำเธอมา
แต่เมื่อมองท่าทางแปลกๆของมู่หรงเสวี่ยเขาก็เริ่มจะรู้สึกว่าตัวเองคงจะพูดอะไรผิดไป…แต่ทำไมล่ะ? คนปกติจะต้องรู้สึกมีความสุขมากที่ได้รับความสนใจจากคนอื่นสิและมีคนตั้งมากมายที่อยากจะมาเป็นลูกศิษย์ของเขา

มู่หรงเสวี่ย: เอาชีวิตมหาลัยที่เงียบสงบของเธอคืนมา โอ๊ยๆๆๆ!!!!!

เมื่อเห็นว่ามู่หรงเสวี่ยพูดไปเพียงไม่กี่คำ แล้วเธอก็เงียบไปไม่พูดอะไรออกมาอีก อาจารย์ที่อยู่บนเวทีจึงเข้ามารับไมค์ต่อและกล่าวชมมู่หรงเสวี่ยชุดใหญ่ จนเธอเกือบจะกลายเป็นอัจฉริยะแล้ว

หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงสายตาทุกคู่ที่จ้องมาที่เธอ

เธอไม่ได้รู้สึกเขินอายเพราะในฐานะลูกสาวของตระกูล มู่หรง ตอนที่เธอเรียนที่จังหวัดก็มีสายตาไม่น้อยเลยที่คอยจับจ้องมาที่เธอแต่เธอกลับรู้สึกโดดเดี่ยวเล็กน้อย เธอเองอยากที่จะมีเพื่อนดีๆ การที่เธอได้รู้จักกับโม่อ้ายลี่และเพื่อนคนอื่นๆที่เธอไม่เคยมีในชีวิตที่แล้ว ในชีวิตนี้พวกเพื่อนๆคือสมบัติล้ำค่าของเธอ

จนกระทั่งจบพิธีเปิดการศึกษา มู่หรงเสวี่ยพยายามที่ตามหาศาสตราจารย์ไป๋ตอนที่อยู่ดีๆเธอก็รู้สึกได้ถึงการแตะเบาๆที่ไหล่ของเธอ “เสี่ยวเสวี่ย!”

มู่หรงเสวี่ยหันกลับไปแล้วเจอว่าเป็นหลิวฮัวลี่ “ท่านอาจารย์!” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม

“มิน่าล่ะฉันถึงว่าเธอดูคุ้นๆ เธอคืออัจฉริยะของจังหวัด A นี่เอง! ตอนที่ฉันเห็นเธอขึ้นไปบนเวที ฉันประหลาดใจมากเลย…” หลิวฮัวลี่พูดพร้อมรอยยิ้ม นี่เป็นเรื่องจริง ตอนที่เขาเห็นเธอเขารู้สึกกลัวอย่างมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่คิดว่าเธอจะเป็นลูกศิษย์ของศาสตราจารย์ไป๋ แต่จากวันนั้นที่เขากับเสี่ยวเสวี่ยได้แลกเปลี่ยนทักษะทางการแพทย์กัน เขาก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร

ในตอนนี้ เพื่อนเขาหลายคนที่ยืนอยู่ข้างหลังต่างก็เข้ามาทักทายและสะกิดเขา และคนที่อยู่อีกฝั่งของเขาก็กระซิบขึ้นมา “ฉันไม่คิดว่าแฟนนายจะดังขนาดนี้…”

เขาไออยู่หลายครั้งและรีบอธิบายออกไปอย่างเร็ว “เราไม่ใช่แฟนกัน นายเข้าใจผิดแล้ว…”

ไปหลิวฮัวลี่ก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้แต่หัวใจเขาก็เต้นรัวขึ้นมาเล็กน้อย…เต้นผิดจังหวะไปเล็กน้อย

“ท่านอาจารย์เหรอ แม้แต่นายก็ล้อเลียนฉันเหรอเนี่ย!” มู่หรงเสวี่ยถึงกับพูดไม่ออก

“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แค่แปลกใจนิดหน่อย ว่าแต่ตอนนี้เธอกำลังจะไปไหนเหรอ?” หลิวฮัวลี่ถาม

“ฉันกำลังหาศาสตราจารย์ไป๋อยู่” ตอบพร้อมกัดฟันเล็กน้อย
“งั้นครั้งหน้าเรากินข้าวกันนะ” เดิมทีเขาอยากที่จะชวนเธอไปกินข้าวด้วยแล้วคุยกันเรื่องทักษะทางการแพทย์ เขารู้สึกผิดหวังนิดหน่อย

“ได้ ครั้งหน้านะ นั่นโทรศัพท์นายหรือเปล่า?! โทรมานะ” มู่หรงเสวี่ยหยิบโทรศัพท์จากมือเขามา

หลิวฮัวลี่ยิ้มพร้อมโบกมือลา มู่หรงเสวี่ยเดินออกไปยังไม่ทันไร รอบข้างเขาก็เต็มไปด้วยเด็กหนุ่มทันที พร้อมเอ่ยปากแซวทั้งๆที่มู่หรงเสวี่ยเดินออกไปไม่ไกลและก็ยังได้ยินอยู่ด้วย เธออดที่จะถอนหายใจไม่ได้: เฮ้อ เด็กกันจริงๆ เฮ้อ!

ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยจ้องตรงไปและเธอหัวเราะออกมาเล็กน้อย พร้อมถามศาสตราจารย์ไป๋ออกมาเสียงเบา “ศาสตราจารย์ไป๋คะ ทำไมในพิธีเปิดการศึกษาถึงแนะนำฉันออกไปแบบนั้น?”

การแลกเปลี่ยนทางการแพทย์หลายครั้งก่อนหน้านี้ทำให้มู่หรงเสวี่ยรู้จักศาสตราจารย์ไป๋มากขึ้น เขาเป็นตาแก่ พวกเขาเป็นทั้งอาจารย์และเพื่อน ระหว่างพวกเขาไม่มีช่องว่างทางอายุ
“ฉันคิดว่าเธอจะมีความสุขซะอีก…อีกอย่างมันถึงเวลาที่เธอจะมาเป็นนักเรียนของฉันแล้ว…” ศาสตราจารย์ไป๋มองอย่างปลื้มในมาก

ทำยังไงดี เธออยากที่จะเตะเขาจริงๆ!? เธอจะถูกด่าว่าเป็นคนที่ไม่เคารพอาจารย์หรือเปล่า

“มันก็แค่เรื่องเล็ก มีเรื่องอะไรจำเป็นจะต้องกังวลล่ะ?! มาเถอะมาดูนี่หน่อย นี่เป็นเคสที่ค่อนข้างจะแปลก…”

“แปลกยังไงคะ…” บางครั้งเธอก็จะช่วยดูเคสของคนอื่นด้วย ช่วยกันคิด พวกเขาทั้งสองมีความคล้ายกันอยู่ไม่มากก็น้อย ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องการสอบถามและอธิบายหลักการของเธอให้ดีแต่เธอถูกจูงจมูกและให้พูดถึงเรื่องทักษะทางการแพทย์แทน เธอจำไม่ได้ว่ากำลังจะทำอะไรจนกระทั่งเดินออกจากประตูไป อย่างไรก็ตามมันไม่ง่ายที่จะหวนกลับไป อีกอย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ส่วนใหญ่เธออยู่นอกโรงเรียนเป็นครั้งคราว

อีกอย่างเธอได้เรียนรู้เยอะมาก ทักษะทางการแพทย์ที่มากประสบการณ์ของศาสตราจารย์ไป๋ได้เติมเต็มข้อบกพร่องหลายอย่างของมู่หรงเสวี่ยในเรื่องการแพทย์แผนปัจจุบัน สิ่งที่ดีอีกอย่างคือเธอไม่ต้องเข้าเรียนตรงเวลาเหมือนนักเรียนคนอื่น ๆ เนื่องจากในฐานะศิษย์ของศาสตราจารย์ไป๋ เธอสามารถตามการสอนของศาสตราจารย์ไป๋ได้ แน่นอนว่าถ้าเธอสนใจ เธอก็ยังสามารถเข้าห้องเรียนได้แต่ไม่มีใครคิดว่าเธอจำเป็นจะต้องเข้าเรียน รวมทั้งศาสตราจารย์ไป๋ก็คิดแบบนี้ด้วยเหมือนกัน

หลังจากที่แลกเปลี่ยนกับมู่หรงเสวี่ยหลายครั้ง เขาก็ได้กำหนดระดับการแพทย์แผนจีนของมู่หรงเสวี่ยแล้วและมองว่าสามารถเป็นแพทย์ที่ยอดเยี่ยมได้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามเขาคิดว่าเป็นเรื่องแปลกที่มู่หรงเสวี่ยมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านการแพทย์แผนจีนแต่กับเรื่องการแพทย์ตะวันตกกลับไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ถึงแม้จะเป็นคนที่ชอบแพทย์แผนจีนแต่ก็ต้องรู้เรื่องพื้นฐานของการแพทย์ตะวันตกด้วย แต่มู่หรงเสวี่ยเรียนแพทย์แผนจีนสำเร็จแล้ว เขาก็คิดว่าเธอสามารถเรียนเพิ่มเติมได้อีก การผสมผสานระหว่างการแพทย์แผนจีนและการแพทย์แผนตะวันตกอาจช่วยแสดงความสามารถของเธอออกมาได้

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เวลา นี่ก็บ่ายโมงแล้ว โชคไม่ดีที่เธอนึกถึงฮวงฟูอี้ที่ยังอยู่ที่บ้านคนเดียว เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง มู่หรงเสวี่ยรีบเก็บของและตรงกลับไปที่วิลล่าทันที

จากที่ไกลๆเธอเห็นฮวงฟูอี้นั่งยองๆอยู่ที่ประตูของวิลล่า สายตาเป็นกังวลมองไปทิศทางที่เธอออกมา

ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกของตัวเองยังไง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าเป็นที่ต้องการและถูกเป็นห่วงที่เธอยังไม่กลับมาบ้าน ดวงตาของเธอเริ่มเปียกเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรีบเก็บของอย่างเร็วและวิ่งกลับไปหาชายหนุ่มที่เธอดูแลราวกับเป็นลูก

ฮวงฟูอี้มีความสุขมากตอนที่เขาเห็นมู่หรงเสวี่ยแต่เขาก็ยังอยู่ในประตู เขารอมู่หรงเสวี่ยอยู่ที่บันไดด้านในของวิลล่า เขาจำได้ที่มู่หรงเสวี่ยบอกว่าเขาไม่ควรจะออกมาข้างนอก เขาจึงรออยู่ที่ประตูอย่างเชื่อฟัง

มู่หรงเสวี่ยกดรีโมทเปิดประตูวิลล่าและเดินเข้าไป “เสี่ยวอี้ ทำไมนายไม่เข้าไปในบ้านล่ะ?” แสงแดดแรงมากจนหน้าเขาแดงไปหมดแล้ว

ฮวงฟูอี้จับไปที่แขนเสียงอย่างสับสน ร่างสูงขยับไปมาดูตลกเล็กน้อยแต่มู่หรงเสวี่ยก็ขำไม่ออก เพียงแค่รู้สึกหดหู่อยู่นิดๆ

“ผม…ผมอยากที่จะเห็นพี่สาวเร็วๆ…” แล้วด้วยความกลัวว่ามู่หรงเสวี่ยจะดุ เขาจึงก้มหัวต่ำเล็กน้อย

เธออยากที่จะบอกเขาว่าครั้งหน้าอย่าทำแบบนี้อีกแต่เมื่อคิดว่าเขามีสติปัญญาแค่เด็ก 5 ขวบ และคนแรกที่เขาเจอก็คือเธอ ซึ่งเดาว่าเขาก็คงเหมือนลูกสัตว์ที่เพิ่งเกิดใหม่จึงต้องการที่จะพึ่งพาคนแรกที่เขาเจออย่างมาก

มู่หรงเสวี่ยมองแสงแดดที่ร้อนแรง ยื่นมือออกไปและดึงแขนเขา “ไปกันเถอะ เข้าไปข้างในก่อน…” แต่สิ่งที่เธออยากจะทำคือรักษาเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่เคยเจอ แต่เธอก็เศร้าที่จะต้องทนไม่ได้เจอเขาอีก บางทีเขาอาจจะถูกพี่สาวทำร้ายก็ได้ เธอรู้สึกจริงๆว่าเขาเหมือนกับน้องชายของเธอเอง