บทที่ 131 ความรักครั้งเก่าที่เจ็บปวด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 131
ความรักครั้งเก่าที่เจ็บปวด

ฮวงฟูอี้เดิมตามเธอเข้ามาอย่างฉลาด เขามองเข้าไปในบ้านพร้อมปรบมือทั้งสองข้าง ในดวงตาเขามีประกาย มู่หรงเสวี่ยที่เดินนำหน้าจึงไม่ได้สังเกตเห็น

หลังจากที่เข้ามาในวิลล่าแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็ทำอาหารกลางวันแล้วก็เริ่มสอนเขาถึงวิธีการใช้ช้อนและตะเกียบ ตอนแรกเขาก็ไม่ค่อยจะชินจนอาหารหกกระจายไปทั่ว แต่พอหลังจากที่เริ่มคุ้นเคยมู่หรงเสวี่ยก็เห็นว่าเขากินได้อย่างสง่างามมากๆ จะพูดยังไงดีล่ะ เขาดูสง่างามราวกับว่าได้รับการฝึกอบรมมาเป็นระยะเวลานานจนเรื่องพวกนี้ฝังลึกลงไปในกระดูกเขาแล้ว และทุกการเคลื่อนไหวของเขาก็ดูมีเสน่ห์เหลือเกิน

หลังจากที่กินอาหารเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็บอกให้ฮวงฟูอี้ไปนั่งที่โซฟาและเธอเข้าไปในห้องเพื่อหยิบเข็มทองคำออกมาพร้อมกับน้ำแห่งจิตวิญญาณเพื่อรักษาบาดแผล ถึงแม้ฮวงฟูอี้จะมีอายุสติปัญญาเท่ากับเด็กห้าขวบเท่านั้น แต่มู่หรงเสวี่ยก็ไม่กล้าที่จะหยิบของออกมาจากมิติลับต่อหน้าต่อตาเขาตรงๆ ในความคิดของเธอ ภาวะเลือดหยุดนิ่งของฮวงฟูอี้ไปกดระบบประสาทไว้หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่หัว ทำให้เขาสูญเสียความทรงจำไปชั่วคราวแต่หลังจากเวลาผ่านไปอาการนี้ก็จะหายได้เอง

“เสี่ยวอี้ นั่งเฉยๆนะรู้ไหม ฉันจะเปลี่ยนยาที่แผลให้…” มู่หรงเสวี่ยพูดกับฮวงฟูอี้

นอกจากที่หัวแล้วก็ยังมีแผลจากมีดอีกที่ร่างกายด้านบน มู่หรงเสวี่ยค่อยๆปลดกระดุมเสื้อเขาออก เผยให้เห็นแผงอกที่แข็งแรงซึ่งเห็นเป็นกล้ามที่ชัดเจนสวยงามมาก สีหน้าของ มู่หรงเสวี่ยแดงระเรื่อ จนเธอถึงกับต้องด่าตัวเองว่าอย่าคิดฟุ้งซ่าน หลังจากที่เริ่มกลับมามีสติ เธอก็ค่อยๆแกะผ้าพันแผลของเมื่อวานอย่างเบามือเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาเจ็บ เธอจึงทำอย่างเบามือมากๆ

ฮวงฟูอี้มองสีหน้าที่จริงจังของเธอจากด้านข้าง แสงแดดจากข้างนอกส่องเข้ามากระทบกับหน้าของเธอ ช่างสวยงามเหลือเกินจนเขารู้สึกตาพร่า เขาเอื้อมมือออกไปและลูบเข้าที่ใบหน้าที่เปล่งประกายนี้

มู่หรงเสวี่ยตัวแข็งและเงยหน้าขึ้นมองฮวงฟูอี้ เธอเห็นว่าสายตาของเขาพร่ามัวและไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ “เสี่ยวอี้ เป็นอะไรหรือเปล่า? ฉันทำนายเจ็บหรือเปล่า?” เธอคิดว่าตัวเองทำแรงเกินไปจนเขาเจ็บแผล

ทันใดนั้นฮวงฟูอี้ก็ได้สติขึ้นมา แล้วก็เผยรอยยิ้มกว้าง “เปล่าครับ ผมแค่คิดว่าพี่สาวสวยมากเลย…เลยอยากที่จะสัมผัส…”

มู่หรงเสวี่ยพูดอะไรไม่ออก สมกับที่เป็นคำพูดของเด็กสติปัญญาห้าขวบจริงๆ พูดตรงมากแล้วจึงพูดกับเขาอย่างจริงจัง “อย่าสัมผัสพี่สาวแบบไม่ตั้งใจแบบนี้อีกรู้ไหม?” ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นเพียงเด็กอายุห้าขวบแต่ยังไงซะจริงๆแล้วเขาก็เป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบอยู่ดี อีกอย่างเดี๋ยวเขาก็จะหายแล้วและก็จะได้ความทรงจำคืนด้วย
มู่หรงเสวี่ยคิดอยู่สักพักและทันใดนั้นเธอก็อยากที่จะหัวเราะออกมา ถ้าเขาจำได้ว่าตัวเองแทบจะกินไม่เป็น คิดไม่ออกเลยว่าท่าทางของเขาจะเป็นยังไง

“พี่สาว แบบไม่ตั้งใจคืออะไรเหรอครับ?” ฮวงฟูอี้ถามอย่างสงสัย

“แบบไม่ตั้งใจก็คือไม่ตั้งใจ…” เอ่อ เธอจะอธิบายยังไงดีล่ะ

“มันไม่ดีเหรอครับ?”
มู่หรงเสวี่ย “….”
หลังจากนั้นสักพัก มู่หรงเสวี่ยก็ช่วยใส่ยาและสวมเสื้อกลับให้เขา ที่เหลือก็คือแผลที่หัว เธอต้องฝังเข็ม “เสี่ยวอี้ พี่สาวจะช่วยรักษาแผลที่หัวให้นายนะ นายต้องไม่ขยับ โอเคไหม?” เธอย้ำกับเขาซ้ำไปซ้ำมา ถ้าตอนนี้ฮวงฟูอี้เป็นผู้ใหญ่เธอก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ปัญหาคือเขาเป็นเพียงเด็กห้าขวบเท่านั้นเอง เธอกลัวว่าเขาจะอดไม่ได้ที่จะต้องขยับตัว ถ้าเธอฝังเข็มผิดจุดจะต้องกลายเป็นปัญหาแน่ๆ

“ผมสัญญาว่าจะไม่ขยับหัวครับ”
แต่มู่หรงเสวี่ยก็ยังกังวลอยู่นิดหน่อย “เสี่ยวอี้หรือจะให้พี่สาวทำให้นายสลบก่อนแล้วพี่จะได้รักษานายดีไหม?”

“ทำให้สลบคืออะไรฮะ?”
“คือการทำให้นายหลับก่อน…”
“ไม่ ผมไม่เอา…” ฮวงฟูอี้ส่ายหัวอย่างแรงพร้อมร่องรอยความกลัวในแววตา

มู่หรงเสวี่ยไม่คิดว่าเขาจะมีปฏิกิริยามากขนาดนี้ เธอจึงตบไปที่ไหล่เขาเบาๆ “งั้นถ้านายไม่อยากนอนก็ไม่ต้องนอนนะ แต่ต้องไม่ขยับนะ…”

“ครับ…”
ผลที่ได้คือฮวงฟูอี้นั่งหลังตรงและไม่ขยับเลยจริงๆ การฝังเข็มผ่านไปได้ด้วยความราบรื่น ส่วนใหญ่มู่หรงเสวี่ยช่วยคลายลิ่มเลือดในหัวของเขา, กระตุ้นระบบประสาทและปล่อยให้เขาฟื้นความทรงจำเร็วเท่าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ให้เขาดื่มน้ำแห่งจิตวิญญาณเข้าไปหนึ่งแก้ว ซึ่งน้ำจะช่วยเยียวยาร่างกายของเขาด้วยความรวดเร็ว

ฮวงฟูอี้ค่อยๆสำลักสารสีเทาและดำออกมาจำนวนมาก มู่หรงเสวี่ยรู้ว่านี่เป็นเพราะการทำงานของน้ำพุวิญญาณ เธอจึงพูดกับฮวงฟูอี้ว่า “เสี่ยวอี้ นายควรจะไปอาบน้ำก่อนนะ สกปรกไปหมดแล้ว…”

ฮวงฟูอี้รู้สึกไม่ค่อยสบายและกลิ่นก็เหม็นมากจนเขารู้สึกอยากที่จะอ้วก “พี่สาว กลิ่นเหม็นมากเลย…”

“ใช่ เพราะงั้นฉันถึงบอกให้นายไปอาบน้ำก่อนไง เร็วสิ เดี๋ยวพี่สาวจะพาไปนะ…” มู่หรงเสวี่ยเลือกห้องที่ชั้นสองและพาเขาเข้าไปในห้องอาบน้ำที่อยู่ในห้อง ห้องต่างๆในวิลล่าเป็นห้องสวีท ทันทีที่เธอซื้อบ้านมา มู่หรงเสวี่ยก็ตกแต่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

“เสี่ยวอี้ จำไว้ว่าตอนที่อาบน้ำอย่าทำแผลเปียกน้ำนะ โอเคไหม?” หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยพูดจบ เธอก็เดินออกมาและปิดประตูห้องน้ำตามหลังด้วย

ชั่วโมงต่อมา มู่หรงเสวี่ยมองเวลาและขมวดคิ้ว เธอสงสัยว่าทำไมฮวงฟูอี้ยังไม่ออกมาอีก เกิดอะไรขึ้นในห้องน้ำหรือเปล่าเนี่ย? เมื่อคิดว่าเขาเพิ่งจะห้าขวบเท่านั้น มู่หรงเสวี่ยก็กังวลและรีบวิ่งไปหน้าประตูห้องน้ำของฮวงฟูอี้และเคาะที่ประตู “เสี่ยวอี้ อาบน้ำเสร็จหรือยัง?”

“พี่สาว…” น้ำเสียงฟังดูเศร้าๆเล็กน้อย
มู่หรงเสวี่ยตกใจและเปิดประตูโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องของผู้หญิงและผู้ชายอะไรเลย อย่างไรก็ตาม เธอก็พบว่าฮวงฟูอี้ยังอยู่ในสภาพเดิมกับตอนที่เธอเดินออกไปเลย

“เป็นอะไรเหรอเสี่ยวอี้? ทำไมถึงไม่อาบน้ำ…” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างสงสัย

ฮวงฟูอี้พูดอย่างรู้สึกผิด “พี่สาว ผมทำไม่เป็น…”
ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยเบิกกว้างด้วยความแปลกใจ นี่เขาหมายความว่ายังไง?!!! นี่อยากให้เธอช่วยอาบน้ำให้เขางั้นเหรอ?!! ยังไงซะเธอก็เป็นเด็กสาวที่โตสะพรั่งแล้วนะ

พวกเขาจ้องหน้ากันอยู่นานและสุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็ยอมแพ้ แต่ก็ยังใจก็ยังรู้สึกอะไรบางอย่าง แต่จะให้เธอทำยังไงได้? อีกอย่างเธอก็เป็นหมอนะ งั้นทำเหมือนเขาเป็นคนไข้แล้วกัน ยังไงซะเธอเองก็ตัดสินใจแล้วที่จะเข้ามาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดูแลผู้คนด้วย ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่เห็นร่างกายของคนไข้ เมื่อคิดแบบนี้เธอก็ดูเหมือนจะรู้สึกดีขึ้น

หลังจากยืนกัดฟันอยู่นานเธอก็รับฝักบัวจากมือเขามาแล้ววางไว้ข้างๆ แล้วเธอก็กดปุ่มเปิดน้ำที่อ่างและปรับให้เป็นอุณหภูมิที่เหมาะสม แล้วเธอก็เดินไปหาฮวงฟูอี้และพูดออกมาว่า “เสี่ยวอี้มาเร็ว ฉันจะอาบน้ำให้นายเองนะ นายอยากลองเรียนรู้ดูไหม? ครั้งหน้านายต้องอาบน้ำเองนะ…” เธอพูดด้วยน้ำเสียงของหญิงแก่ เธอแกล้งทำตัวเป็นพี่เลี้ยง พระเจ้า หวังว่าผู้ชายที่เธอช่วยไว้จะเป็นคนดีนะแต่ด้วยสายตาที่ใสซื่อแบบนี้ เขาไม่น่าที่จะเป็นคนไม่ดีได้หรอก
มู่หรงเสวี่ยถอดเสื้อผ้าให้เขาแม้กระทั่งกางเกงก็ด้วย เธอพยายามที่จะควบคุมสายตาของตัวเองเพื่อไม่ให้มองต่ำลงไป น่าจะพูดได้ว่าเธอพยายามเลี่ยงที่จะมองลงไปเพื่อที่จะได้ไม่เห็นสิ่งที่ไม่ควรมองและแม้แต่หัวของเธอก็เงยขึ้นเล็กน้อยด้วย

มู่หรงเสวี่ยเทน้ำร้อนพร้อมกับผ้าขนหนูและค่อยๆเช็ดไปที่ตัวของร่างกายฮวงฟูอี้ พยายามที่จะเลี่ยงแผล แต่เมื่อนิ้วของเธอแตะไปที่ผิวของเขาทีไรเธอก็มักจะหน้าแดงและหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

ฮวงฟูอี้เองก็รู้สึกแปลกๆด้วยเหมือนกัน เขาไม่รู้ว่าทำไม ผิวที่ถูกพี่สาวสัมผัสถึงได้ทำให้เขารู้สึกสั่น เขาถึงขนาดรู้สึกสบายด้วยซ้ำ เขาหวังว่ามือของพี่สาวจะสัมผัสเขาให้มากขึ้นไปอีก เขารู้สึกพอใจไปกับความสบายแต่ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไง เพราะความเขินอายของเขา มู่หรงเสวี่ยทำเป็นไม่สนใจและช่วยเขาอาบน้ำจนเสร็จ แน่นอนว่ามันก็มีบาง อย่างน้อยเธอก็ล้างคราบสารสีเทาดำบนตัวเขาจนหมดแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อเธอกำลังที่จะสวมเสื้อผ้าให้กับฮวงฟูอี้ เธอก็พบว่าเขาไม่มีชุดเลย

มู่หรงเสวี่ยทำได้เพียงห่มเขาด้วยผ้าคลุมไหล่แต่ร่างกายท่อนบนที่ยังเปลือยเปล่าของเขาก็ยังทำให้เธอรู้สึกเขินได้อยู่ดี

มู่หรงเสวี่ยหันหน้ามาและพูดว่า “เสี่ยวอี้ นายควรจะอยู่ในห้องก่อนนะ ถ้าหนาวก็เอาผ้าห่มมาห่มนะ เดี๋ยวพี่สาวจะออกไปซื้อเสื้อผ้ามาให้นะ…” มู่หรงเสวี่ยเริ่มที่จะคุ้นเคยกับความเป็นพี่สาวของตัวเองแล้ว ใช่ การที่ฮวงฟูอี้ต้องพึ่งพาทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าเป็นพี่สาวคนโต

“เดี๋ยวพี่สาวจะรีบกลับมานะ…” พี่สาวออกไปอีกแล้ว เขาหวังว่าจะได้อยู่กับเธอตลอดเวลา เขาไอออกมาหลายครั้งแต่เธอไม่อยากให้เขาตามไป…ฮวงฟูอี้ดึงแขนเสื้อของมู่หรงเสวี่ยและพูดออกมา

มู่หรงเสวี่ยเขย่งเท้าและแตะที่หัวของเขา “ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวพี่สาวจะรีบกลับมา…”

ที่อีกฝั่ง ชางกวนโม่ที่ได้ฟังรายงานจากลูกน้องก็ต้องโยนโทรศัพท์ทิ้งด้วยความโมโห มู่หรงเสวี่ยพาผู้ชายกลับมาด้วยจริงๆ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็พูดไม่ออกและรีบขับรถไปที่วิลล่าของมู่หรงเสวี่ยด้วยความเร็ว

เมื่อได้ยินเสียงกริ่งประตู ฮวงฟูอี้ก็รีบวิ่งออกไปด้วยความตื่นเต้นว่าพี่สาวของเขากลับมาแล้ว พี่สาวสอนเขาถึงวิธีกดเปิดประตู เขากดปุ่มโดยไม่ลังเล เมื่อเขาเปิดประตูและกำลังที่จะวิ่งออกไปรับพี่สาว แต่เขากลับเห็นผู้ชายที่เขาไม่รู้จักเดินเข้ามาแทน เขาสับสนมากและไม่เข้าใจว่าพี่สาวกลายเป็นผู้ชายที่เขาไม่รู้จักได้ยังไง

ชางกวนโม่มองเข้าไปในวิลล่าและเห็นผู้ชายเดินออกมาซึ่งมีเพียงผ้าขนหนูเท่านั้นที่คลุมตัวอยู่ ความโกรธพุ่งขึ้นมาทันที “นายเป็นใคร?! ทำไมถึงเข้ามาอยู่ในบ้านของเสี่ยวเสวี่ยได้?” ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความอาฆาต เขาอยากที่จะฆ่าชายที่อยู่ตรงหน้าเดี๋ยวนี้เลย เขาไม่เคยคิดว่าเขากับเสี่ยวเสวี่ยเลิกกันเลย ในหัวใจเขา เสี่ยวเสวี่ยเป็นที่หนึ่งเสมอ

ฮวงฟูอี้เองก็ไม่ชอบชายที่อยู่ตรงหน้าเช่นกันอย่างอธิบายไม่ได้ “…” สีหน้าเขาเย็นชาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาไม่มีวันลดตัวลงไปคุยกับคนที่เขาไม่ชอบ ถึงแม้เขาจะลืมทุกอย่างแต่เขาก็ยังทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณ

ชางกวนโม่เห็นชายตรงหน้ากล้าที่จะไม่สนใจเขา เขาไม่สนใจว่าชายตรงหน้าจะบาดเจ็บอยู่ ชายคนนี้กล้าที่จะเข้ามาในบ้านของเสี่ยวเสวี่ยด้วยท่าทางแบบนี้ก็ต้องเป็นศัตรูของเขา

ฮวงฟูอี้ถูกชกเข้าที่หน้าอกและแผลก็ปริออกทันที เผยให้เห็นเลือดแดงที่ผ้าพันแผล ฮวงฟูอี้โกรธขึ้นมาทันที เขาจำที่พี่สาวบอกได้ดีว่าต้องระวังไม่ให้แผลเปิด แต่ชายที่น่ารำคาญคนนี้ทำให้แผลเขาเปิดซึ่งให้อภัยไม่ได้ ดูเหมือนว่าการกระทำนี้จะฝังลึกลงไปในจิตใจของเขา นอกจากจะอึดอัดเล็กน้อยในช่วงแรกแต่ ฮวงฟูอี้ก็เริ่มที่จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ตรงกันข้ามเขากลับสู้ชางกวนโม่

เมื่อมู่หรงเสวี่ยกลับมาจากไปซื้อเสื้อผ้า เธอเห็นชายทั้งสองกำลังสู้กันอยู่ ฮวงฟูอี้เต็มไปด้วยเลือด เธอตกใจมากและรีบวิ่งมาหาฮวงฟูอี้ “หยุดนะ อย่านะ…” เธอกันร่างของฮวงฟูอี้ไว้เพื่อที่กันไม่ให้ชางกวนโม่ทำร้ายเขาได้อีก
หมัดเขาหยุดห่างจากหน้ามู่หรงเสวี่ยไปเพียงไม่กี่เซ็นต์ ชางกวนโม่มองคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำและร้องออกมาอย่างโกรธๆ “สุดท้ายแล้วใครกันแน่ที่มีชู้?!!”

ฮวงฟูอี้กอดมู่หรงเสวี่ยแน่นและพูดออกมา “พี่สาว เขาแย่มากเลย…” แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนี้ เขาเพียงแค่รู้สึกว่าพี่สาวจะต้องปกป้องเขาและพี่สาวจะต้องเกลียดชายคนนั้น…อันที่จริง เขาไม่กลัวชายที่อยู่ตรงหน้าเลย

มู่หรงเสวี่ยมองร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของฮวงฟูอี้พร้อมด้วยรอยเขียวช้ำและตัวที่สั่นเทิ้ม เธอรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที “ชางกวนโม่ คุณเข้ามาในที่ของฉัน เข้ามาอาละวาด…และเรื่องของฉันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย กรุณากลับไปเดี๋ยวนี้เลย…” ไม่ ทันทีที่เธอเห็นเขา หัวใจเธอเจ็บปวดและรู้สึกว่าเหมือนตัวเองจะตาย…กรุณาช่วยออกไปให้เร็วก่อนที่เธอจะทนต่ออีกไม่ไหว

“มู่หรงเสวี่ย ฉันไม่คิดเลยนะว่าเธอจะเป็นผู้หญิงชั้นต่ำขนาดนี้ เพียงแค่ไม่กี่วันเธอก็เหงาซะจนแทบรอไม่ไหวที่จะออกไปหาผู้ชายคนอื่นแล้ว…” ไม่รู้ว่าทำไมแต่คำพูดรุนแรงก็พรั่งพรูออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ จริงๆแล้วเขาเพียงแค่อยากที่จะถามเรื่องสถานการณ์ให้ชัดเจนเท่านั้นเอง เขาไม่ได้อยากที่จะด่าเธอเลย จากที่เห็นชายตรงหน้าอาจจะดูไม่ค่อยปกติเท่าไร เขารู้ว่าบางทีมันอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดแต่เขาก็ควบคุมความหึงในหัวใจไว้ไม่ได้ ท่าทางของคนทั้งสองที่กำลังโอบกอดกันมันกระตุ้นหัวใจเขาจริงๆ

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนเป็นขาวซีด ถึงแม้เธอตัดสินใจที่จะปล่อยแล้วแต่สิ่งที่เขาพูดมันก็ยังสามารถที่จะทำร้ายหัวใจที่แตกสลายของเธอได้ เธอเจ็บปวดไปแล้วจึงไม่สนใจที่จะพูดอะไรออกมาอีก เธอพยายามที่จะเก็บซ่อนสายตาที่เจ็บปวด “ฉันจะเป็นคนแบบไหนก็ไม่ต้องสนใจหรอก เชิญคุณออกจากบ้านฉันไปได้แล้ว…”

อันที่จริงเขารู้สึกเสียใจทันทีที่พูดออกไป เขาไม่เชื่อว่า มู่หรงเสวี่ยจะเป็นคนแบบนั้น โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นสีหน้าที่ซีดเผือดของเธอ เขาพยายามที่จะดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน แต่ ฮวงฟูอี้รีบดึงมู่หรงเสวี่ยออกเสียก่อน “พี่สาว รีบให้เขากลับไปสิ ผมกลัว…”

“ไม่ต้องกลัวนะเสี่ยวอี้ พี่สาวจะปกป้องนายเอง…” มู่หรงเสวี่ยยิ้มซีดและตบที่มือของฮวงฟูอี้เพื่อปลอบใจเขา