บทที่ 132
การปลอบใจของ “น้องชาย”
“พี่สาวงั้นเหรอ?!! เธอมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไรกัน?! ไอ้หมอนี่ดูท่าทางเจตนาไม่ดีเลย อย่าไปหลงเชื่อมันนะ” หลังจากได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกัน ชางกวนโม่ก็เริ่มที่จะรู้สึกแปลกๆ
มู่หรงเสวี่ยพูดตอบกลับมาอย่างเย็นชา “ฉันบอกว่า เรื่องของฉันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณไง รีบกลับไปอยู่ข้างๆไป๋เสวี่ยหลี่ของคุณได้แล้ว…” เมื่อพูดถึงไป๋เสวี่ยหลี่ หัวใจของเธอก็เจ็บปวดขึ้นมาอีก
แม้ว่าเธอจะเข้ามาแทรกแซงการแต่งงานเมื่อชาติก่อน แต่เธอก็ได้รับผลกรรมแล้ว ทำไมยังปล่อยให้เธอต้องแบกรับความเจ็บปวดที่เสียดแทงหัวใจตลอดเวลาแบบนี้ด้วยอีก? เธอเพียงแค่อยากที่จะหนีจากสองคนนี้เพื่อมารักษาตัวเอง หัวใจเธอไม่ได้แข็งแกร่งดั่งก้อนหินและเธอก็ไม่เข้าใจความเจ็บปวดโดยไม่ต้องเจ็บปวด
“เสี่ยวเสวี่ย…ไป๋เสวี่ยหลี่…”
“พอได้แล้ว ฉันไม่อยากที่จะฟังเรื่องของคุณ ช่วยออกไปจากบ้านฉันด้วยค่ะ” หลังจากที่พูดออกไปแล้วมู่หรงเสวี่ยก็พา ฮวงฟูอี้เข้าไปในวิลล่าและรีบปิดประตูอย่างเร็ว
เมื่อชางกวนโม่อยากที่จะตามเธอไป เขาก็ถูกประตูปิดใส่หน้าไปซะแล้ว เขาทุบประตูอย่างสิ้นหวัง
“เสี่ยวเสวี่ย เปิดประตูเถอะ เธอจะอยู่กับผู้ชายคนนั้นไม่ได้นะ…”
“เสี่ยวเสวี่ย เธอได้ยินฉันไหม…”
“มู่หรง เปิดประตู…”
“…”
ด้านนอกประตู ชางกวนโม่ยังคงหอบหายใจ น้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาดังทะลุเข้าไปในกระดูกของเธอแล้ว ถึงอยากที่จะหนีแต่ก็หาวิธีที่เหมาะสมไม่เจอ
มู่หรงเสวี่ยสูญเสียเรี่ยวแรงที่จะยืนจึงทรุดลงไปกับพื้นทันที น้ำตาอดไม่ได้ที่ไหลลงมาอาบแก้ม
มือข้างหนึ่งของฮวงฟูอี้กดอยู่ที่แผลของตัวเอง เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกเจ็บที่หัวใจ เขาดึงมู่หรงเสวี่ยและพูดว่า “พี่สาว ผมรู้สึกเจ็บ…”
ดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาของมู่หรงเสวี่ยดูสับสน เธอเห็นว่าฮวงฟูอี้ใช้มือกดลงไปที่หน้าอกและสีหน้าของเขาก็ซีดเผือดดูทรมานอย่างมาก เธอกลัวว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บเพราะ ชางกวนโม่ซึ่งจะไปซ้ำกับการบาดเจ็บเดิมของเขา เธอเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ พร้อมถามออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “เจ็บตรงไหน ขอฉันดูหน่อย…”
“เจ็บที่หน้าอกครับพี่สาว…เจ็บมากเลย…ผมกำลังจะตาย…” มันเจ็บมากจริงๆ เขารู้สึกว่าแม้แต่การหายใจก็ยังยากเลย
สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไป “อย่าพูดไร้สาระสิ!” เธอค่อยๆเปิดผ้าพันแผลซึ่งชุ่มไปด้วยเลือด แผลเปิดออกและมีเลือดไหลออกมาเยอะมาก ดูไม่ค่อยดีเท่าไร
เมื่อมองไปที่สีหน้าซีดเผือดของฮวงฟูอี้ เธอก็พูดออกมาด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัวนะเสี่ยวอี้ ทุกอย่างจะต้องโอเค พี่สาวจะไปหยิบยานะ อย่าขยับนะรู้ไหม?”
ฮวงฟูอี้พยักหน้า พี่สาวอ่อนโยนอย่างมาก หัวใจของเขาที่เจ็บปวดอยู่เมื่อกี้ดูเหมือนจะอาการดีขึ้นมากแล้ว น่าแปลกจริงๆ
มู่หรงเสวี่ยรีบวิ่งกลับไปที่ห้อง หยิบกล่องยาและเข็มทองคำออกมาแล้วรีบวิ่งกลับไปช่วยจัดการแผลให้เขา เธอถามออกมาอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวอี้ เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า?”
ในตอนนี้ฮวงฟูอี้รู้สึกหัวใจอบอุ่นขึ้นมาก ความเจ็บปวดที่เขารู้สึกเมื่อกี้หายไปหมดแล้ว เขาส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “พี่สาว ผมไม่รู้สึกเจ็บแล้ว…”
มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจอย่างโล่งอกและไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องนี้ เธอรู้สึกว่ายาได้ผลดีแล้ว ก็เลยไม่เจ็บแผลอีก เขาถูกขังไว้ในบ้าน ครั้งนี้เขาก็เลยต้องบาดเจ็บก็เพราะเธอ เมื่อเธอคิดถึง ชางกวนโม่ หัวใจของเธอก็เจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง ท่าทางของเธอกลายเป็นหมองลงทันที ที่ประตูเงียบไปแล้ว เขาน่าจะกลับไปแล้วเหมือนกัน ถึงแม้เขาจะไม่เต็มใจแต่สำหรับผู้หญิงมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีลูกโดยที่ไม่มีความรู้สึกอะไร
“พี่สาว เป็นอะไรเหรอครับ? ท่าทางพี่สาวดูเหมือนไม่สบายเลย…” ฮวงฟูอี้มองเธออย่างเป็นกังวล
มู่หรงเสวี่ยยิ้มซีดเผือด “ฉันไม่เป็นไร…”
“จริงเหรอ?” ฮวงฟูอี้กอดมู่หรงเสวี่ยเบาๆ เขาจำได้ว่าเวลาที่พี่สาวกอดเขาแบบนี้ เขาจะรู้สึกอบอุ่นและสบายใจขึ้นมาก พี่สาวเขาก็น่าจะรู้สึกแบบนั้นด้วยเหมือนกัน
มู่หรงเสวี่ยตัวแข็งแล้วจึงผ่อนคลายขึ้นอีกครั้ง ฮวงฟูอี้รู้วิธีที่จะปลอบใจคนจริงๆด้วย เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกโล่งอกที่ลูกน้อยของเธอได้เต็บโตขึ้นแล้ว เธอรู้สึกว่ามันก็ไม่แย่เท่าไรที่มีลูกชายโตขนาดนี้
เวลาผ่านไปนาน ในที่สุดมู่หรงเสวี่ยก็สงบความรู้สึกที่ซับซ้อนเพราะชางกวนโม่ได้แล้ว อันที่จริงเธอโชคดีมาก ในชีวิตนี้ทุกครั้งที่เธอเจ็บปวดก็มักจะมีบางคนเข้ามาอยู่คอยปลอบใจเธอเสมอ ไม่เหมือนในชีวิตที่แล้ว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นยกเว้นพ่อแม่ของเธอที่รู้เรื่องที่เธอต้องทนทุกข์ทรมานจนตาย เธอกลัวว่าจะไม่มีใครหลั่งน้ำตาให้เธอเลยสักหยด
เป็นเพราะความผิดเธอทั้งหมด มันเป็นเพราะความโง่เขลาของเธอที่ทำให้เธอได้ผลลัพธ์แบบนี้ ถ้าเธอระวังตัวและมองคนอื่นให้ออกมากกว่านี้ แน่นอนว่าเธอจะต้องมองคนได้ดีกว่านี้แทนที่จะหลงตาบอดไปเพราะความงามจอมปลอม
มู่หรงเสวี่ยค่อยๆดึงตัวออกจากอ้อมแขนของฮวงฟูอี้และพูดอย่างขอบคุณ “ขอบคุณนะเสี่ยวอี้ พี่สาวจะรีบรักษานายให้เร็วที่สุดนะ…” ตอนนี้รอยยิ้มเผยออกมาให้เห็นบ้างแล้ว และอีกนานความทรงจำของเขาจะต้องกลับมา ฮวงฟูอี้อาจจะยังไม่อยากคิดถึงเรื่องทุกอย่างตอนนี้ ยังไงซะ ก็คงไม่มีผู้ชายคนไหนอยากที่จะให้คนอื่นเห็นตัวเองทำตัวราวกับเป็นเด็กแบบนี้
ไม่ว่ายังไง ตอนนี้เขาก็เรียกเธอว่าพี่สาว และเธอก็รับเขาราวกับเป็นน้องชายเธอจริงๆ นอกจากนี้หลังจากสองวันที่อยู่ด้วยกันมาเธอรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นสมาชิกครอบครัวมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่เธออยู่ที่บ้าน ฮวงฟูอี้ก็แทบที่จะไม่ห่างจากเธอเลย ไม่ว่าเธอจะเดินไปไหน เขาก็จะเดินตามเธอไปด้วยทุกที่ ราวกับว่าเป็นเงาของเธอเองซึ่งทำให้รู้สึกเอ็นดูจริงๆ
“พี่สาว ทำไมพี่ต้องขอบคุณด้วย…” ฮวงฟูอี้ปล่อยมือจากพี่สาวและถามออกมา
มู่หรงเสวี่ยส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวต่อไปนายก็รู้เองแหละ…” เธอรู้สึกอิจฉาเขาอยู่นิดหน่อย ฮวงฟูอี้ตอนนี้มีความทรงจำของเด็กอายุห้าขวบเท่านั้น เขาทั้งมีความสุขและเป็นอิสระ ยังไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร ก่อนที่เธอจะอายุ 15 เธอก็เคยเป็นแบบนี้ เธอไม่เคยรู้เลยว่าในโลกนี้มีอันตรายด้วย พ่อกับแม่ใช้ทั้งชีวิตเพื่อปกป้องเธออย่างดีมาโดยตลอดแต่เธอกลับไม่เคยนำความสุขอะไรกลับไปให้พวกท่านบ้างเลย ในชีวิตที่แล้วเธอมันลูกไม่รักดีจริงๆ แต่ในชีวิตนี้แม้ว่าเธอจะต้องสูญเสียทุกอย่างเธอก็จะปกป้องพ่อกับแม่ ใช่ เธอไม่มีเวลามากมามัวเสียใจกับเรื่องความรักหรอก เขาก็แค่คนที่ไม่คู่ควรกับเธอ นอกจากนี้มันก็ไม่ใช่รักแท้ด้วย
“พี่สาว พี่จะทำอะไรอย่างที่พี่อยากทำก็ได้นะ…” หลังจากที่อารมณ์ดีขึ้นมู่หรงเสวี่ยก็มาเตรียมอาหารค่ำ โดยไม่รู้ตัวเลยว่านี่เริ่มจะมืดแล้วและในบ้านยังมีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคนที่เธอต้องคอยดูแลและรับผิดชอบ
“พี่สาว ผมอยากที่จะอยู่กับพี่…” ฮวงฟูอี้เดิมตาม มู่หรงเสวี่ยมาติดๆ มู่หรงเสวี่ยไม่มีทางเลือกนอกจากยิ้มและนึกถึงฮวงฟูอี้ที่นั่งร้องไห้อยู่ริมถนน ในเวลาแบบนี้เธอจะพูดอะไรได้? ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นพระเจ้าจริงๆ ดวงตาของเขาไม่ได้แสดงถึงความเฉยเมยตลอด เขาไม่คิดว่าตัวเองจะสูญเสียความทรงจำและกลายเป็นเด็กหลังจากที่ถูกทำร้ายแบบนี้ นอกจากนี้เธอก็เลยเข้าใจได้ว่านี่ก็เหมือนกับว่าเธอเป็นแม่นกอย่างไงอย่างงั้นเลย…
เขาตามมู่หรงเสวี่ยตลอด เธอหยิบผักและเนื้อออกมาจากตู้เย็นซึ่งเธอเอามาใส่ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งถูกเตรียมไว้เพื่อกันการที่ต้องเอาอาหารออกมาจากมิติลับในกรณีที่มีแขกแวะมากะทันหัน แม้แต่น้ำแห่งจิตวิญญาณก็ถูกเตรียมไว้เต็มห้องครัวด้วย
มู่หรงเสวี่ยกำลังยุ่งอยู่ในครัว ผู้คนมักจะบอกว่าผู้หญิงจะสวยที่สุดเวลาที่ทำอาหาร ในสายตาของฮวงฟูอี้ ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าความสวยแบบนี้หมายถึงอะไรแต่เขาเพียงรู้สึกว่าเวลาที่เขามองไปที่พี่สาว เขาละสายตาไปที่ไหนไม่ได้เลยทำให้เกิดความประทับใจพิเศษขึ้นในหัวใจ
หลังจากที่กินข้าวเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็หยิบหนังสือเรียนและรายงานเคสต่างๆของมหาลัยออกมา และค่อยๆนั่งอ่าน ฮวงฟูอี้เห็นเธอทำแบบนี้เป็นปกติดังนั้นเขาจึงมองไปที่มู่หรงเสวี่ยเงียบๆ
ถึงแม้มู่หรงเสวี่ยจะนิ่งแต่เธอก็รู้สึกถึงสายตาที่อบอุ่นของฮวงฟูอี้ ถึงแม้เธอจะรู้ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาอะไรแต่ไม่ว่าใครที่ถูกมองแบบนี้ก็จะต้องรู้สึกเขินทั้งนั้น
เธอวางหนังสือลง ถอนหายใจและถามออกไปว่า “เสี่ยวอี้ เบื่อหรือเปล่า?! จะเปิดทีวีดูก็ได้นะ” ในตอนนี้เธอมองว่าตัวเองเป็นพี่สาวของเขาและเธอก็ชินกับความรู้สึกและบทบาทการเป็นพี่สาวของเขาจริงๆ อันที่จริงเธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่ต้องการ ในชีวิตที่แล้วการที่จะโตมาแล้วเป็นที่พึ่งให้ใครเป็นสิ่งที่เธอทำได้ล้มเหลวอย่างมาก
ฮวงฟูอี้ส่ายหัว เขาไม่ได้รู้สึกเบื่อ ตราบใดที่เขาได้อยู่กับพี่สาว ก็จะดูเหมือนว่าเขาผ่อนคลายอย่างมาก ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ทำอะไรแต่เขาก็ไม่รู้สึกเบื่อเลย “ไม่ครับพี่สาว ผมไม่ได้เบื่อ…”
มู่หรงเสวี่ยหยิบรีโมทขึ้นมาและกดเปิดทีวี แล้วเธอก็นั่งลงข้างๆฮวงฟูอี้และเริ่มสอนถึงวิธีการใช้รีโมททีวี “เสี่ยวอี้ ดูนะ กดตรงปุ่มนี้…”
ฮวงฟูอี้มีความสุขมาก เขาชอบท่าทางของพี่สาวที่ดูสบายๆ ตัวอย่างเช่นในตอนนี้ที่พี่สาวอธิบายการใช้รีโมททีวีให้เขาฟังอย่างใจเย็น น้ำเสียงที่อ่อนโยนดังเข้าไปในหูของเขา ราวกับเป็นโน้ตไพเราะที่ก่อตัวขึ้นเป็นบทเพลงแสนหวาน
“เข้าใจหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถาม ตั้งใจรอฟังคำตอบของฮวงฟูอี้อย่างระวัง
เขาส่ายหัวอย่างไม่รู้ตัว อันที่จริงเขาเข้าใจตั้งแต่ครั้งแรกแล้วแต่เขาก็ยังอยากที่จะฟังพี่สาวสอนอีก เขาเหมือนเด็กที่อยากจะอยู่กับพ่อแม่อีกนานๆก็เลยโกหกว่าตัวเองไม่สบายอะไรแบบนั้นแหละ
หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยอธิบายอย่างใจเย็นอีกสองรอบ ฮวงฟูอี้ก็ต้องเข้าใจซะที เพราะเขาเห็นสายตาที่เริ่มจะสงสัยของพี่สาวแล้ว
เธอตบเบาๆที่หัวเขาและพูดพร้อมรอยยิ้ม “นายดูทีวีไปก่อนนะ พี่สาวต้องอ่านหนังสือ อย่าเพิ่งเข้ามารบกวนพี่สาวนะ…”
ฮวงฟูอี้พยักหน้า อันที่จริงเขาไม่ได้อยากที่จะดูทีวีเลย ทีวีจะมีอะไรน่าสนใจ? เขาแค่อยากที่จะอยู่กับพี่สาวแต่พี่สาวบอกว่าอย่าเพิ่งเข้าไปกวนดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าไป