ตอนที่ 638 เรื่องบันเทิงเปิดฉาก โดย ProjectZyphon
“เรื่องบันเทิงกำลังจะเปิดฉากแล้ว”
ในห้องโดยสาร ดวงตาสุกปลั่งของอาหูว่ายเวียนด้วยแสงวาวสุดพรรณนา ดูคล้ายค่อนข้างฮึกเหิม
พยับหมอกสีเทาคละคลุ้ง พื้นที่ทะเลแห่งนี้เงียบสงัดหาใดเปรียบ น่ากลัววังเวง แม้จะอยู่ในยานขนส่งอวกาศ ก็ยังทำให้หลินสวินรู้สึกถึงบรรยากาศที่แปลกพิลึกได้อย่างหนึ่ง
เสมือนว่าที่แห่งนี้อาจบังเกิดเรื่องราวอวมงคลได้ทุกเมื่อ
เจ้าคางคกมีอาการหมองมัวไม่อาจสงบ นับตั้งแต่กลับมายังอาณาเขตแห่งสุสานสมุทรฝังมรรค เขาก็เปลี่ยนเป็นผิดวิสัย ลุกลี้ลุกลน สงบปากสงบคำ
ในไม่ช้าหลินสวินก็ตระหนักได้ว่ามีเงาร่างของราชันระดับสังสารวัฏห้าหกคนทะยานเข้ามาราวกับสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์
พวกเขาทรงพลังล้นหลาม ทั่วสรรพางค์กายไหลเวียนด้วยท่วงทำนองแห่งมหามรรค ส่องแสงไกลหมื่นจั้ง ดุจดังทวยเทพศักดิ์สิทธิ์
ทว่าหลังจากมาถึงพื้นที่บริเวณนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะแกร่งกล้าปานใด กลับถึงขั้นไม่สามารถปัดเป่าพยับหมอกสีเทาที่ครอบคลุมกลางฟ้าดินบนผิวทะเลที่ลอยเอื่อยได้เลย!
สิ่งนี้ทำให้ท่าทางของพวกเขาต่างเคร่งขรึม
นี่ก็คือสุสานสมุทรฝังมรรค ตามตำนาน ที่นี่ยังเป็นสนามรบแห่งหนึ่งในยุคบรรพาล ราชันอริยะที่แท้จริงเคยมอดม้วยที่นี่!
ราชันอริยะ!
นี่เป็นถึงอัครบุคคลที่เหยียบย่างสู่ปลายยอดแห่งอริยมรรค สมญานามว่าราชันในบรรดาอริยะ ผู้ฝึกปราณที่แทบจะอายุยืนนานเทียมฟ้า สว่างไสวดุจสุริยันจันทรา
ทว่าท้ายที่สุดก็ต้องขมขื่นมอดม้วย ณ ที่แห่งนี้ แค่คิดก็รู้ได้ว่าการต่อสู้ที่ปะทุขึ้นในสมรภูมิแห่งนี้จะน่าสะพรึงและไร้เทียมทานมากเพียงใด
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้จะเป็นราชันระดับสังสารวัฏเหล่านี้ ต่างเปลี่ยนเป็นหวาดระแวงและรอบคอบ ประหนึ่งเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ไม่กล้าบุกเข้าไปโดยพลการ
“นี่ก็คือเรื่องบันเทิงที่เจ้าว่า?”
ในใจของหลินสวินหนักอึ้ง ดวงตาดำสนิทหรี่ลง ระยะห่างใกล้เกินไปแล้ว ถ้าหากยังไม่จากไปอีก ชั่วพริบตาเดียวราชันระดับสังสารวัฏเหล่านั้นจะต้องพบตัวพวกเขาเป็นแน่
“อย่ากังวลไป เจ้าแค่คอยชมฉากบันเทิงเงียบๆ ก็พอ” นัยน์ตาของอาหูฉายแววลึกลับ
โครงหน้าของนางดั่งภาพวาด งามวิไลแช่มช้อย เวลานี้ยามได้เห็นราชันระดับสังสารวัฏพวกนั้นมาถึง นางไม่เพียงไม่หวาดกลัวกริ่งเกรง ตรงข้ามกลับดูคล้ายค่อนข้างผิดหวัง
“ไฉนถึงมาแค่ไม่กี่คนเอง สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ ไม่ได้มากันหรือ…” นางพึมพำเสียงกระซิบ “แต่ว่าเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว”
ภายในใจของหลินสวินพลันไหววูบ อดเหลือบมองอาหูปราดหนึ่งไม่ได้ นาง…ดูคล้ายจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น?
และในขณะนั้นเอง ราชันระดับสังสารวัฏเหล่านั้นพบยานขนส่งอวกาศแล้ว แววตาต่างพราวระยับตามๆ กัน ปราดประชิดเข้ามาทางนี้พร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
พวกเขาทั้งหมดหกคนล้อมเข้ามา เพียงแต่ยามนี้กลับไม่ได้ลงมือในทันที ตรงข้ามต่างตื่นตัว มีสัญญาณแห่งการประจันหน้าอยู่รางๆ
เหตุผลนั้นแสนเรียบง่าย หนึ่งเพราะสถานที่แห่งนี้คือสุสานสมุทรฝังมรรค อันตรายและเป็นอัปมงคลมากเกินไป ทำให้พวกเขาต่างรอบคอบและระแวดระมัง ไม่กล้ากระทำการผลีผลาม
อีกด้านหนึ่งก็เพราะว่า พวกเขาคุมเชิงและระแวงกันเอง!
บนตัวหลินสวินมีมหาศุภโชค นี่คือสิ่งที่พวกเขามั่นใจตั้งแต่ต้น แต่ไม่ว่าราชันระดับสังสารวัฏคนใด กลัวแต่ว่าคงไม่อาจปล่อยให้มหาศุภโชคฉากนี้ถูกคนอื่นแย่งเอาไปได้ทั้งนั้น
พวกเขาต่างรู้ดี หลินสวินไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริงคือ ยามที่ต่อสู้แย่งชิงมหาศุภโชคนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าพวกเขาอาจจะเกิดความขัดแย้งและเปิดศึกนองเลือดกันเอง!
คนพวกนี้ล้วนเป็นของเฒ่าโบราณที่มีชีวิตอยู่ไม่รู้กี่กาลเวลา ย่อมรู้ถึงจุดนี้ดี ฉะนั้นแล้วจึงไม่ได้ลงมือผลีผลาม
“ไอ้หนู ทำไมไม่หนีแล้ว? ควบคุมไม่ไหวแล้วใช่หรือไม่?”
ชายชราชุดคลุมดำ ผู้อาวุโสเผ่าวิหคเพลิงคะนองผู้นั้นแค่นเสียงเย็น ไร้ซึ่งความหวาดกลัว กลางนัยน์ตาเปี่ยมด้วยลำแสงเย็นเยียบ เสมือนมองทะลุยานขนส่งอวกาศและมองเห็นหลินสวินที่อยู่ในนั้น
หลินสวินไม่ได้เอ่ยวาจา นิ่งเงียบสงบคำ
“ดูท่าเจ้าคงรู้ว่าที่นี่คือสุสานสมุทรฝังมรรค ทั้งยังเป็นสถานที่แห่งมหัตภัยนับแต่บรรพกาลเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จึงไม่กล้าบุกทะลวงเข้าไปอย่างผลีผลาม”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยปากเนิบช้าอย่างไม่แยแส “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจจะถูกจับโดยละม่อมแล้ว ไม่สู้ตามพวกเราออกไปจากสถานที่นี้ก่อนว่าอย่างไร บางที เห็นแก่ที่เจ้าให้ความร่วมมือ เผลอๆ พวกข้าอาจจะมอบหนทางรอดชีวิตให้แก่เจ้าก็ได้”
ครั้นประโยคนี้เอ่ยออกมา ทำให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆ หัวใจกระตุกไปทันที
อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นสุสานสมุทรฝังมรรค ในกาลเวลาที่ล่วงเลยมา ผู้แข็งแกร่งที่ยิ่งแกร่งกล้าก็ยิ่งไม่เต็มใจจะเสี่ยงอันตรายเข้ามา
เพราะว่าที่นี่เป็นดินแดนแห่งมหันตภัยโดยไร้ข้อกังขา สิ่งมีชีวิตที่ทั้งน่ากลัวและแปลกประหลาดอาศัยอยู่จำนวนมาก ครั้นสัมผัสได้ว่ามีผู้แข็งแกร่งบุกเข้าไป ก็จะประสบกับการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของพวกมัน
กระทั่งในกาลเวลาที่ล่วงเลยมา มีราชันระดับสังสารวัฏที่เหมือนกับสัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนี้ดาหน้าเข้ามาไม่น้อย แต่ล้วนมอดม้วย ณ ที่แห่งนี้โดยไม่มีข้อยกเว้น!
หากไม่จำเป็น พวกเขาคงไม่เลือกสถานที่แห่งนี้มาต่อสู้เข่นฆ่ากันเองเพื่อศุภโชคบนตัวของหลินสวิน
หลินสวินยังคงนิ่งเงียบ เขากำลังรอคอย รอคอยสิ่งที่เรียกว่า ‘เรื่องบันเทิง’ ที่อาหูพูดถึงอยู่
ส่วนเจ้าคางคกนั้นมีสีหน้าปั้นยากสุดขีด กล่าวด้วยน้ำเสียงกดต่ำ “นางอสูรมาร เจ้ากำลังเล่นสนุกอะไรอยู่กันแน่ ถ้าล้มเหลวขึ้นมา พวกเราต้องพลอยดวงซวยไปกับเจ้าด้วยนะ!”
อาหูเม้มเรียวปากเรื่อแดง คลี่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร ส่งสัญญาณให้เจ้าคางคกสงบสติอารมณ์
“ไอ้หนู ยังไม่รีบออกมาอีก! อย่าบังคับให้พวกข้าลงมือจับตายเจ้าที่นี่เลย” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเริ่มหัวเสียแล้ว น้ำเสียงเปี่ยมด้วยไอสังหาร เห็นหลินสวินเป็นก้อนเนื้อบนเขียง สามารถสังหารอย่างไรก็ได้
“ในนั้นจะมีกลลวงอยู่หรือไม่”
ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งเอ่ยเตือน คิดว่าพวกหลินสวินโดยสารยานขนส่งอวกาศมา แต่อยู่ดีๆ กลับจอดชะงักอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน เห็นได้ชัดว่าออกจะผิดปกติ
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ที่นี่เพิ่งจะเป็นเพียงเส้นขอบของสุสานสมุทรฝังมรรคเท่านั้น ต่อให้มีอันตรายพวกเราก็หนีออกไปตั้งแต่แวบแรกได้เช่นกัน”
ชายชราชุดคลุมดำแห่งเผ่าวิหคเพลิงคะนองไม่เห็นด้วย “ยิ่งกว่านั้น ภายใต้การปิดล้อมของพวกเรา อาศัยแค่เจ้าเด็กนั่นยังมีโอกาสขัดขืนได้หรือ”
ได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็โล่งใจ ผุดรอยยิ้มออกมา
“ไอ้หนู ความอดทนของพวกข้ามีขีดจำกัด ขอเตือนเจ้าว่าควรให้ความร่วมมืออย่างว่าง่าย ออกมาเสียแต่ตอนนี้ มิเช่นนั้นรอยามที่พวกเราลงมือ ชะตากรรมของเจ้าก็จะมีจุดจบที่เลวร้ายยิ่งกว่าตาย!” ผู้อาวุโสผมสีเขียวทั่วศีรษะแผ่นหลังมีปีกสีน้ำเงินคู่หนึ่งเอ่ยปากอย่างเย็นเยียบ
หลินสวินสามารถรักษาความนิ่งเงียบเอาไว้ได้ ทว่าเจ้าคางคกกลับกลั้นไม่ไหวแล้ว สาปแช่งพลางเต้นโหยงๆ “คำพูดระยำไร้สาระของพวกเจ้านี่ช่างเยอะเสียจริง ถ้ากล้าก็ลงมือเลย ไม่กล้าก็รีบไสหัวออกไป!”
“เจ้าว่าอะไรนะ!”
ฉับพลันสีหน้าสัตว์ประหลาดเฒ่าขรึมลง แววตาลุกโชน จนถึงป่านนี้แล้ว อีกฝ่ายถึงกับยังกล้าปลุกปั่น นี่เป็นการลบหลู่ความน่าเกรงขามของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
“ท่านทั้งหลาย โปรดเห็นแก่หน้าข้า ข้าอยากเด็ดหัวมันผู้นี้เอากลับไปหลอมสังเวยเป็นจอกสุรา ผู้ใดก็อย่าช่วงชิงกับข้า”
เสียงผู้อาวุโสผมเขียวผู้นั้นเต็มไปด้วยไอสังหารแน่นขนัด
“แค่หัวเดียวเท่านั้น ยกให้เจ้าจะเป็นไร สิ่งที่พวกข้าสนใจยิ่งกว่า กลับเป็นศุภโชคบนตัวเจ้าเด็กนั่นต่างหาก!”
ผู้อาวุโสทั้งกลุ่มส่งเสียงราบเรียบ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและเหยียดหยาม
“ช่างพูดเหลวไหลไม่สิ้น มาๆๆ ข้าจะดูว่าพวกเจ้าคนไหนกล้าลงมือก่อน!?”
เจ้าคางคกพูดโพล่งออกมาเต็มที่อย่างเยาะเย้ยเหยียดหยัน
“รนหาที่ตาย! ทุกท่าน พวกเราต่างมาเพื่อวาสนา ไม่สู้ปล่อยให้ข้าจับมันมาสังหาร จากนั้นพวกเราค่อยหารือถึงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของวาสนากันภายหลัง ว่าอย่างไร”
สีหน้าชายชราชุดคลุมดำแสนอึมครึม เขาถูกยั่วโมโหอย่างสิ้นเชิง ในฐานะราชันระดับสังสารวัฏ กลับถูกผู้อ่อนอาวุโสคนหนึ่งปลุกปั่นซ้ำแล้วซ้ำอีก นี่มันเป็นความอัปยศชัดๆ
“ก็ดี”
สายตาของผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างลุกโชนระลอกหนึ่ง ท้ายที่สุดก็พยักหน้าตอบตกลง
พวกเขามากวัยวุฒิทรงพลัง ย่อมไม่อาจถูกคำพูดเพียงไม่กี่คำของเจ้าคางคกรบกวนจิตใจได้ สิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดหวั่นอย่างแท้จริง ก็มีแต่ปัญหาในการช่วงชิงวาสนาเพียงเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในสายตาของพวกเขา พวกหลินสวินไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากคนที่ตายไปแล้วเลย
สิ่งที่ควรค่าให้ความสำคัญสำหรับพวกเขา ก็มีเพียงแค่อันตรายของสุสานสมุทรฝังมรรคและความขัดแย้งที่อาจปะทุขึ้นในยามที่แย่งชิงวาสนากันเองเท่านั้น
ตูม!
ชายชราชุดคลุมดำลงมือทันที ไม่มีความลังเลใดๆ มือใหญ่ข้างหนึ่งซึ่งราวกับการรวมตัวของเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์แหวกอากาศคว้าไปทางยานขนส่งอวกาศเต็มแรง
“มาแล้ว!” นัยน์ตาเจ้าคางคกหดรัด หัวใจกระดอนมาถึงลำคอ ช่องปากแห้งผาก เผชิญหน้ากับการสังหารของราชันระดับสังสารวัฏ เขาเองก็ไม่อาจไม่ประหม่า
นัยน์ตาดำของหลินสวินไหวเคลื่อน ทั่วสรรพางค์กายก็พลอยตึงเครียดขึ้นมา
มีอาหูเพียงคนเดียวที่กลางนัยน์ตาสุกปลั่งเจิดจ้าเปล่งประกาย สีสันแปลกประหลาดประหนึ่งระลอกคลื่น เอื้อนเอ่ยเสียงแผ่ว “เรื่องบันเทิงเปิดฉากแล้ว…”
มือใหญ่ปกคลุมท้องฟ้า ราวกับเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์รวมตัว ทั้งเจิดจรัสและสว่างไสว แผดเผาห้วงอากาศ พลังอำนาจน่าสะพรึงกลัว
นี่คือพลังที่ของราชันระดับสังสารวัฏ ฟ้าดินตะลึงภูตผีร่ำไห้อย่างแท้จริง!
ผู้อาวุโสท่านอื่นเห็นดังนี้ต่างลอบพยักหน้า รู้ว่าภายใต้การครอบคลุมของการโจมตีระดับนี้ แม้อีกฝ่ายจะบังคับยานขนส่งอวกาศลำนั้นอยู่ ก็ไม่มีโอกาสให้เผ่นหนีแม้แต่เสี้ยวเดียวอีก!
พวกเขาเริ่มครุ่นคิดปัญหาเรื่องจะแบ่งศุภโชคนี้อย่างไร หลังจากจับตัวเจ้าเด็กนั่นได้แล้ว…
เพียงแต่ในขณะเดียวกันนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสชุดคลุมดำที่ลงมือ หรือผู้อาวุโสคนอื่นๆ ทั้งหมดล้วนแข็งทื่อไปทั่วร่าง รู้สึกขนลุกขนชัน
ปึง!
ท่ามกลางพยับหมอกสีเทาหม่น ไม่รู้ว่ามีเงาแช่มช้อยเทียวผลุบเทียวโผล่สายหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไร กลิ่นอายน่าหวาดกลัวทำให้สรรพสิ่งต่างสั่นเทิ้มคละคลุ้งออกมา
เปรี้ยง!
มือใหญ่ปกคลุมฟ้าที่ราวกับเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ข้างนั้นยังไม่ทันปิดคลุมยานขนส่งอวกาศก็ระเบิดกระจุยกระจาย ถูกทำลายอยู่กลางอากาศราวกับกระดาษว่าวก็มิปาน
“คะ…คนผู้นั้นคือ…” มีผู้อาวุโสอดร้องลั่นไม่ได้ รู้สึกเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง หนังศีรษะชาวาบ
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็ทั้งตกใจทั้งโกรธ สีหน้าขาวซีดไม่น่ามอง ตั้งแต่แวบแรกพวกเขาก็สัมผัสถึงอันตรายสุดขีด ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนอยู่กลางขุมนรกมืดมิดในพริบตา
และสิ่งที่ทำให้เกิดทุกสิ่งนี้ ก็คือเงาแช่มช้อยสายนั้นที่ปรากฏอยู่ท่ามกลางพยับหมอกเทาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
เห็นได้ชัดว่านางเป็นสตรีนางหนึ่ง เรือนร่างอรชร เทียวผลุบเทียวโผล่ ทั่วสรรพางค์กายถูกห้อมล้อมด้วยพยับหมกสีเทาไพศาล พลุ่งพล่านด้วยพลังอันคลุมเครือและไร้รูป ทำให้ผู้คนไม่สามารถสอดส่องถึงรูปลักษณ์ของนางได้
และในสายตาของสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้น ‘สตรีหมอก’ ผู้นี้คล้ายกับนายเหนือหัวที่หยัดยืนกลางฟ้าดิน มีกลิ่นอายที่ดูหมิ่นโลกมนุษย์และสามารถทำลายล้างสรรพสิ่งได้อย่างหนึ่ง น่าสะพรึงกลัวและพิศวงล้นเหลือ
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาต่างอกสั่นขวัญแขวน ประดุจมดเผชิญหน้ากับเทพไท้ที่แท้จริง ไม่สามารถควบคุมความกลัวและหวาดเกรงได้เลยสักนิด มันแผ่ซานไปทั่งร่างกาย
นะ…นางเป็นใคร?
หรือว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ลึกลับบางอย่างในสุสานสมุทรฝังมรรค
“เป็นนาง!”
ชั่วขณะนี้หลินสวินเองก็สั่นไปทั้งร่างเช่นกัน จดจำเงาแช่มช้อยสายนั้นได้ เป็นบุคคลน่าสะพรึงผู้นั้นที่เคยปรากฏตัวอยู่ในส่วนลึกของกองทัพวิญญาณอาฆาตนั่นเอง
ตอนนั้นนางปรากฏกายขึ้นมาพร้อมกับเงาร่างภิกษุที่ลึกลับผู้หนึ่ง ทิ้งความประทับใจลึกซึ้งที่ยากจะลบเลือนไว้ให้แก่หลินสวิน
เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย ในเวลาแบบนี้นางถึงกับปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง!
หรือสิ่งที่เรียกว่า ‘ที่พึ่ง’ ของอาหู ก็คือบุคคลสำคัญผู้นี้?
——