ตอนที่ 639 บุญสัมพันธ์ โดย ProjectZyphon

“ถอยด่วน!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งคำราม

ไม่ต้องพูดมากความ สัตว์ประหลาดเฒ่าทุกคนต่างรู้สึกถึงความน่ากลัวของ ‘สตรีหมอก’ ผู้นั้น ทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นรัว หนังศีรษะชาวาบ

แต่ว่า สายไปแล้ว

หลังจากสตรีหมอกปรากฏกาย ไม่เคยเปล่งเสียงสักคำ ลึกลับและทำให้ผู้คนสะพรึงกลัว

นางโบกมือเบาๆ

มองเห็นพลังไร้รูปสายหนึ่งแผ่กระจาย ทำให้พื้นที่บริเวณนี้พลิกตลบ ห้วงอากาศพังครืนและจมดิ่ง

ฝั่งตรงข้ามชายชราชุดคลุมดำรับแรงกระแทกเป็นคนแรก ยังไม่ทันแม้แต่จะขัดขืนก็ถูกพลังสายนั้นครอบงำ

จากนั้นภาพชวนตะลึงก็ปรากฏขึ้น ร่างของชายชราชุดคลุมดำส่งเสียงดังปึงปัง กลายร่างเป็นปักษาเทพวิหคเพลิงคะนองตัวหนึ่ง

จากนั้นร่างนั้นของเขาหดเล็กลงหลายเท่า กลายเป็นมดขนาดเล็กร่วงลงบนมือของสตรีหมอกผู้นั้นอย่างแผ่วเบา

และเวลานี้เอง สัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งกลุ่มถึงได้สังเกตเห็น ในมือของสตรีหมอกคนนั้นถือบาตรสีม่วงที่แหว่งมุมใบหนึ่ง ภายในนั้นมีไอคลุมเครือปั่นป่วน ทำให้ผู้คนหวาดผวา

วิหคเพลิงคะนองที่แปลงร่างมาจากชายชราชุดคลุมดำก็ถูกกำราบไว้ในบาตรสีม่วงใบนั้น และไม่ได้ส่งเสียงดังออกมาอีกเลย

“นี่…”

สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ต่างสูดหายใจเย็นเยียบ แต่ละคนสีหน้าขาวซีด เพิ่งจะประจันหน้ากัน หนึ่งในราชันระดับสังสารวัฏของพวกเขาก็ถูกกำราบเสียแล้ว!

ไม่สิ ถูกดูดกลืนต่างหาก ถูกดูดซับเข้าไปในสมบัติของอีกฝ่ายราวกับเป็นอสูรวิญญาณยอมจำนนตัวหนึ่งไม่ผิดเพี้ยน และถูกสยบเอาไว้ได้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสำหรับราชันระดับสังสารวัฏคนใดก็ตาม ถูกจับกุมด้วยวิธีเยี่ยงนี้ นั่นมันทรมานเสียยิ่งกว่าฆ่าพวกเขาให้ตายชัดๆ!

อย่างไรเสียพวกเขาก็เกือบจะยืนหยัดอยู่บนตำแหน่งปลายยอดของผู้ฝึกปราณในโลก อำนาจไพศาล สั่นสะเทือนทั่วเขตแดน ตกเป็นเป้าสายตาทุกผู้คน

ทว่าตอนนี้กลับถูกคนบังคับให้ยอมจำนนและดูดกลืนเหมือนอสูรวิญญาณ เป็นเรื่องน่าอดสูอย่างยิ่ง

แต่ในขณะเดียวกัน วิธีการชั้นยอดที่คาดเดาไม่ได้และสูงล้ำของสตรีหมอกนั้น ก็ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นสั่นสะท้านด้วยความกลัว หวาดหวั่นสุดขีด

แม้แต่ราชันระดับสังสารวัฏยังเป็นประหนึ่งหมด ถูกสยบด้วยการโจมตีเดียว สตรีหมอกลึกลับผู้นี้จะน่าสะพรึงถึงขั้นไหนกันเล่า

นางเป็นใครกันแน่

ในเวลาเดียวกันหลินสวินและเจ้าคางคกก็ตกใจเช่นกัน นัยน์ตาหดรัด ภายในใจบังเกิดความตกใจที่อธิบายออก

วิธีการที่คาดเดาไม่ได้ของธิดาหมอกทำให้พวกเขานึกถึงวานรเฒ่าตัวนั้น น่าหวาดกลัวและแข็งแกร่งแบบนี้เช่นเดียวกัน เห็นราชันระดับสังสารวัฏเป็นดั่งมด มีกลิ่นอายทรงพลังสะเทือนจักรวาลอย่างหนึ่งแผ่คลุมฟ้าดิน

นางก็เป็นอริยะผู้หนึ่งเช่นกันหรือ

บนผิวทะเลพยับหมอกสีเทาขุ่น สตรีหมอกลึกลับผู้นั้นหาได้ออมมือไม่ พลังไร้รูปสายหนึ่งแผ่กระจายออกจากตัวนางอีกครั้ง

“หนี!”

สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นหวาดกลัวจนใจเสาะโดยสิ้นเชิง ตาแทบถลนเบ้า แต่ละคนเข้าแทบจะบ้าคลั่ง เผ่นหนีสุดแรงเกิด

ทว่าเพียงชั่ววูบเท่านั้น พวกเขาก็พบว่าห้วงอากาศรอบบริเวณราวกับถูกปิดผนึก กลายเป็นกรงแห่งฟ้าดิน ทำเอาพวกเขาไม่สามารถทะลุผ่านไปได้!

“ไม่…!”

พวกเขาขวัญแทบบินด้วยความหวาดกลัว สีหน้าแปรเปลี่ยน หวาดหวั่นเป็นล้นพ้น นี่ก็เป็นบริเวณที่อันตรายของสุสานสมุทรฝังมรรคหรือ

ปึง!

ผู้อาวุโสคนหนึ่งประสบพิบัติ เงาร่างกลายเป็นจระเข้นอเขียวตัวหนึ่ง จากนั้นพลันหดเล็กลงมีขนาดเท่ามด ถูกเก็บเข้าไปในบาตรสีม่วงในมือสตรีหมอกคนนั้น

ภาพนี้พิศวงและน่าตกใจ สตรีหมอกลึกลับสุดหยั่งถึงผู้หนึ่ง ตั้งแต่ปรากฏกายยังไม่ได้เอ่ยเลยสักคำ แต่นางลงมือสองครั้ง กลับสยบราชันระดับสังสารวัฏสองคนได้อย่างง่ายดาย!

ท่าทางที่เป็นเอกเทศและน่าหวาดกลัวนั้น ราวกับเทพที่สามารถทำได้ทุกสิ่งในตำนาน สามารถกวาดล้างโลกได้

“ไม่…!”

สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ ร้องคำราม เผ่นหนีอย่างบ้าคลั่ง งัดพลังสุดแรงเกิดเรียกสมบัติในก้นกรุต่างๆ นานาออกมา คล้ายกับมดในหม้อร้อนก็มิปาน

หากมีทางเลือก พวกเขาจะไม่ยอมย่างกรายเข้าสู่สุสานสมุทรฝังมรรคที่อัปมงคลและลี้ลับนี้เด็ดขาด

น่าเสียดาย มานึกเสียใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้ว

……

ด้านนอก

ยังมีสัตว์ประหลาดเฒ่าหกเจ็ดคนคอยสอดส่องอยู่ พวกเขาไม่เต็มใจออกไปจากที่แห่งนี้ ในใจต่างไตร่ตรอง คิดเสาะหาโอกาสแบ่งสันปันส่วนกัน

สำหรับพวกเขาแล้ว หลินสวินก็เป็นเหมือนมหาศุภโชคที่มีชีวิตอยู่ บนตัวซุกซ่อนสิ่งของมากมายที่ทำให้พวกเขาตาลุกวาวน้ำลายหก

อย่างคัมภีร์อริยมรรคที่ตกทอดมาจากเกาะอริยะปัญจธาตุ

หรืออย่างตำราทองสาส์นหยกจากภูเขาเทพหมอกม่วง

ไม่ว่าจะเป็นชิ้นไหน ล้วนเชื่อมโยงถึงความลับแห่งมรดกอริยมรรคทั้งสิ้น เพียงพอจะทำให้ราชันระดับสังสารวัฏคนใดก็ตามเข่นฆ่ากันอย่างบ้าคลั่งได้

ยิ่งกว่านั้นบนตัวหลินสวินยังมีสมบัติที่ชิงมาจากบุตรเทพแต่ละเผ่าที่เขาสังหารมากมาย สิ่งนี้ก็แสนยั่วยวนหาใดเปรียบเช่นกัน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้ใดยังจะเต็มใจยอมแพ้และจากไปทั้งอย่างนี้อีกเล่า

“ทุกท่าน ไม่สู้พวกเราร่วมมือกันเป็นอย่างไร ไม่ว่าใครได้รับศุภโชคนี้ไปในท้ายที่สุด ตอนที่เขากลับมาจากสุสานสมุทรฝังมรรค พวกเราก็ลงมือฆ่ามันทันที หากเป็นเช่นนี้ศุภโชคก็จะเป็นของพวกเราแล้ว”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งเสนอความเห็น ทำให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างสะท้านใจเป็นอย่างยิ่ง

“อ๊าก…!”

ทว่าขณะนั้นเอง เสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่งดังลอยออกมาจากส่วนลึกของสุสานสมุทรฝังมรรคสีเทาหม่น เจือความหวาดหวั่นไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ด้วย

สัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งหมด ณ ที่นั้นต่างสั่นเทิ้มทั่วร่าง สีหน้าเปลี่ยนไปในบัดดล เป็นผู้อาวุโสของเผ่าวิหคเพลิงคะนอง! เขาประสบกับสิ่งที่ไม่คาดคิดอะไรในนั้นงั้นหรือ

สิ่งนี้ทำให้ในใจของพวกเขาเย็นเยียบ คลางแคลงไม่สงบนิ่ง ในใจแอบรู้สึกโชคดีที่ตอนนั้นไม่ได้เลือกรุดหน้าเข้าสู่สุสานสมุทรฝังมรรค

สถานที่บัดซบนั่นสยองเกินไปแล้ว พิศวงถึงขีดสุด ในกาลเวลาที่ล่วงเลยมา ไม่รู้ว่ามีบุคคลเก่งกาจตั้งเท่าใดที่มอดม้วยอยู่ในนั้น

“ไม่…!”

ไม่นานนักก็มีเสียงร้องสนั่นบ้าคลั่งระคนตกใจดังออกมา เหมือนกับเสียงตะโกนของสัตว์ที่จมสู่ความสิ้นหวัง ในน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความหวาดกลัว

บัดนั้นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่อยู่ภายนอกต่างมองหน้าสบตากัน แต่ละคนเสียวสันหลังวาบ ในสุสานสมุทรฝังมรรคจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างที่น่าหวาดกลัวสุดขีดแน่นอน!

ทำอย่างไรดี?

ไปหรืออยู่?

ขณะที่ในใจพวกเขาต่างสงสัยอยู่นั้น บริเวณส่วนลึกของสุสานสมุทรฝังมรรคสีเทาหม่นกลับแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวลอยออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว

ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ในใจผู้คนเริ่มหวาดกลัว

ภายในนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าพวกที่รุดหน้ามาพร้อมกับพวกเขาเหล่านั้น ประสบภัยพิบัติจนมอดม้วยแล้วใช่หรือไม่

“ศุภโชคคราวนี้ยกให้ทุกท่านแล้ว ข้ายังมีธุระสำคัญ ขอตัวก่อน”

ผู้อาวุโสบางคนรั้งอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว รู้สึกถึงความกดดันและหวั่นหวาดที่อธิบายไม่ถูก เบือนหน้าแล้วจากไปทันที

สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ เห็นดังนี้ท่าทีก็เปลี่ยนแปลงไป เห็นชัดว่าลังเลยิ่งนัก ทว่าเพียงชั่วครู่เท่านั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ ว่าบริเวณส่วนลึกหมอกหนาคล้ายจะปรากฏเงาแช่มช้อยสายหนึ่งขึ้นรางๆ

นั่นคือ?

พวกเขาตัวแข็งทื่อ หนังศีรษะชา เพียงพริบตาเดียวก็ทำให้พวกเขารู้สึกถึงอันตรายที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ท่วมท้นทั่วสรรพางค์กาย

“ไป!”

พวกเขาไหนเลยจะยังกล้าลังเลอยู่อีก พริบตาเดียวก็แตกกระเจิง หนีไวกว่าใครทั้งนั้น

และในเวลานี้เอง สัตว์ประหลาดเฒ่าที่คอยสังเกตการณ์อยู่ภายนอกพวกนี้ก็ตระหนักได้ในที่สุด ว่าสหายที่เข้าไปในสุสานสมุทรฝังมรรคเหล่านั้น น่ากลัวว่าจะออกมาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว…

และเมื่อนึกถึงเงาแช่มช้อยที่เทียวผลุบเทียวโผล่สายนั้น พวกเขาต่างก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ราวกับตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง น่ากลัวเหลือเกิน นั่นก็คือ ‘มหาอสูร’ ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในสุสานสมุทรฝังมรรคหรือ

……

ภายในยานขนส่งอวกาศเงียบเชียบไปทั้งแถบ

หลินสวินและเจ้าคางคกต่างตกตะลึงอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อยู่เป็นนาน

พวกเขามองเห็นราชันระดับสังสารวัฏคนแล้วคนเล่าดุจดั่งมด ถูกสตรีหมอกลึกลับผู้นั้นทำให้สวามิภักดิ์ทีละคน กำราบเข้าไปในบาตรสีม่วง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เห็นการต่อต้านใดๆ เลยสักเสี้ยว เห็นได้ชัดว่าง่ายดายถึงขีดสุด

ทว่าก็เพราะเป็นเช่นนี้ถึงทำให้พวกหลินสวินตกตะลึง ปากคอแห้งผาก แข็งแกร่งเกินไปแล้ว กำราบราชันระดับสังสารวัฏดุจดั่งเชือดไก่ง ต้องบำเพ็ญากลัวระดับไหนกันแน่กว่าจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้

ไม่อาจจินตนาการได้!

ท้ายที่สุดสัตว์ประหลาดเฒ่าหกคนที่เข้าสู่เขตแดนสุสานสมุทรฝังมรรคครั้งนี้ ล้วนถูกล้างบางจนเกลี้ยง ไม่มีสักคนที่สามารถหนีออกไปได้

และสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘เรื่องบันเทิง’ ของอาหูหรือ

หรือนางรู้ว่าจะเกิดเรื่องทั้งหมดนี้ตั้งแต่ต้นแล้ว ดังนั้นจึงบังคับยานขนส่งอวกาศมาทางอาณาเขตของสุสานสมุทรฝังมรรคแห่งนี้

ทันใดนั้นสายตาของพวกหลินสวินที่มองไปทางอาหูก็เปลี่ยนไป สาวน้อยลึกลับผู้นี้ ไม่เพียงแต่งดงามดุจเทพเซียนผู้โดดเด่น ยังมีที่มายิ่งใหญ่ ทำให้ผู้คนไม่อาจคาดเดาได้อย่างเห็นได้ชัด

แม้กระทั่งเจ้าคางคกยังนิ่งเงียบ นับตั้งแต่เขาฟื้นตื่นคืนสติก็ใช้ชีวิตอยู่ในสุสานสมุทรฝังมรรคมาตลอด เคยเห็นราชันในกองทัพวิญญาณอาฆาต และเคยเห็นเรื่องราวอัปมงคลและแปลกพิสดารมากมาย

ทว่าเขากลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าในพื้นที่ลึกลับแห่งนี้ ยังมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวหาใดเปรียบเฉกเช่นสตรีหมอกอยู่ด้วย!

แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้น อาหูกลับดูเหมือนจะเข้าใจสุสานสมุทรฝังมรรคมากกว่าเขา เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

“เรื่องบันเทิงจบแล้ว พวกท่านพอใจหรือไม่” กลับเห็นอาหูหัวเราะชอบใจ ดวงหน้าขาวกระจ่างงดงามเปี่ยมด้วยความผ่อนคลาย

“เจ้าเป็นใครกันแน่” เจ้าคางคกอดถามไม่ได้ สีหน้าเคร่งขรึม

สายตาหลินสวินเองก็ทอดมองไป เวลานี้ไออันตรายมลายไปแล้ว อีกทั้งสตรีหมอกลึกลับผู้นั้นก็อันตรธานหายลับไปแล้วเช่นกัน

ก็ถึงเวลาพูดคุยกับสาวน้อยยิ้มพรายอรชร นัยน์เนตรงามเป็นประกายผู้นี้แล้ว

“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ ที่สำคัญคือครั้งนี้ข้าเพียงแต่ฉุกคิดขึ้นได้ปุบปับ อยากผูกบุญสัมพันธ์กับพวกท่านก็เท่านั้นเอง”

ดวงตาของอาหูพราวระยับ มุมปากคลี่ยิ้ม มีเสน่ห์ในแบบสาวน้อย และพิสุทธิ์ใสสง่างามเหนือปกติ เห็นได้ชัดว่าขัดแย้งกันมาก แต่กลับผสานอยู่บนตัวนางได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“บุญสัมพันธ์?”

“ใช่ บุญสัมพันธ์”

อาหูพยักหน้าอย่างจริงจัง วิธีการพูดเช่นนี้ดูคลุมเครือล่องลอยยิ่งนัก ทว่านางดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก หว่างคิ้วเจือกลิ่นอายแห่งความเคร่งขรึมที่พบได้ยาก

“ฮ่าๆๆ เจ้าช่วยพวกข้า ก็เพียงเพราะบุญสัมพันธ์อย่างเดียว?” เจ้าคางคกรู้สึกว่าเหลวไหลยิ่งนัก จึงอดระเบิดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้

“นี่ไม่น่าขันเลย” อาหูกล่าวราบเรียบ

มองดูอาการจริงจังถึงเพียงนี้ของนาง หลินสวินกลับเชื่อถืออยู่บ้าง กล่าวคล้ายขบคิด “บุญสัมพันธ์ครั้งนี้ออกจะใหญ่ไปหน่อยแล้ว กลัวแต่ว่าภายภาคหน้าข้าคงชดใช้ไม่ไหว”

อาหูหัวเราะน้อยๆ ริมฝีปากเอิบอิ่มแดงสด เนื้อฟันขาวกระจ่าง กล่าวว่า “คืนไม่ไหวก็ช่างเถิด สิ่งที่เรียกว่าบุญสัมพันธ์ เมื่อปลูกลงไปก็เพียงพอแล้ว หากมีดอกไม้เบ่งบานนั่นก็เป็นเรื่องน่ายินดี ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องนึกเสียใจกับเรื่องนี้”

กล่าวจบอาหูก็โบกกำปั้นน้อยๆ ที่ใสกระจ่าง กล่าวพลางหัวเราะร่วน “เอาล่ะ ข้าเองก็ควรไปได้แล้ว ขอให้คุณชายทั้งสองเดินทางราบรื่น หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้พบปะกับพวกท่านอีกครั้ง”

เงาร่างของนางไหววูบ จากไปอย่างกะทันหัน ราวกับเงาแสงแห่งความฝัน ยังมิทันได้หยุดยั้งเลยด้วยซ้ำ

“นี่ ยานสมบัติลำนี้เจ้าไม่ต้องการแล้วหรือ” หลินสวินรีบร้องขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เดิมทีนี่ก็เตรียมเอาไว้ให้พวกท่านอยู่แล้ว โปรดจงรับไว้ ไม่ต้องเกรงใจ” ในห้วงอากาศไกลออกไป เสียงที่ชัดกังวานเสนาะหูปานขลุ่ยสวรรค์ของอาหูดังก้องขึ้น

ไม่นานก็อันตรธานลับไป

“นางอสูรมารคนนี้ทำให้พวกเราติดหนี้บุญคุณใหญ่หลวงเช่นนี้ จะต้องมีอุบายยิ่งใหญ่เป็นแน่!” เจ้าคางคกขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ส่วนหลินสวินกลับจมสู่ภวังค์ความคิด เนิ่นนานกว่าจะเอื้อนเอ่ยเสียงเบา “ดูท่า ครั้งแรกที่พวกเราพบกับนางจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”

“บางทีนับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา นางก็ได้ตระเตรียม ‘บุญสัมพันธ์’ ส่วนนี้เอาไว้ให้พวกเราเรียบร้อยแล้ว…”

“ไม่ว่านางเป็นใคร สุดท้ายก็ได้ช่วยพวกเราเอาไว้ และไม่ว่านางมีเจตนาอะไร ต่อไปคงต้องชดใช้คืนในสักวัน!”

——