DC บทที่ 383: สิ้นสุดวันที่สอง

 

หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซีซิงฟางก็พยักหน้ารับคำซูหยางอย่างเงียบๆและคืนกลับไปยังที่นั่งของเธอ

 

ในเวลานั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและผู้ชมต่างพากันมองไปยังเธอด้วยท่าทางตื่นตะลึงซึ่งทุกคนต่างก็คิดสงสัยว่านั่นหมายความว่าอย่างไร

 

“เจ้าไม่รออีกสักสองสามวันก่อนที่จะพูดกับเขาล่ะ” เจ้าซีรู้สึกต้องการถอนใจเมื่อเขาเห็นเธอ

 

“นี่ก็ตั้งหลายวันแล้วตั้งแต่ที่ข้าได้พูดกับเขา และข้าก็มิต้องการให้เขาลืมตัวตนข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขารายล้อมไปด้วยสาวสวยรอบข้าง ด้งนั้นข้าจึงอดใจไม่ได้”

 

เจ้าซีพลันเปลี่ยนเป็นไร้คำพูดกับพฤติกรรมที่ไม่เข้ากับตัวตนที่อยู่ในฐานะนี้ของเธอ อย่างไรก็ตามนั่นต้องเป็นซูหยางที่เข้าหาเธอไม่ใช่อย่างอื่นอีก นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกสิ้นหวัง

 

องค์หญิงที่แสนสวยอย่างเช่นซีซิงฟางมีท่าทีสิ้นหวังเช่นนี้เมื่อเธอสามารถมีชายคนใดก็ได้ในแผ่นดินนี้อย่างงั้นรึ เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อราวกับเป็นเทพนิยาย

 

“ป-เป็นบ้าอะไรกันไปแล้ว” ไป่ลี่ฮัวชี้ไปที่เวทีด้วยนิ้วที่สั่นสะท้าน “ทำไมองค์หญิงจึงเข้าไปหาพวกเขาทั้งยังแสดงความยินดีอีกด้วย”

 

ได้ยินเสียงสั่นสะท้านของเธอ หวังชูเหรินยักไหล่และกล่าวว่า “บางทีเธออาจจะประทับใจอย่างมากกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”

 

“หมายความว่าเธอประทับใจพวกเขาแต่ไม่สนใจนิกายดอกบัวเพลิงที่เห็นชัดว่าน่าประทับใจกว่าพวกเขาในหลายด้านโดยสิ้นเชิงอย่างนั้นรึ ท่านมิรู้สึกมิพึงพอใจแม้แต่น้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างนั้นรึ”

 

“แม้ว่านั่นอาจจะยอดเยี่ยมที่สุดถ้าองค์หญิงของตระกูลซีให้ความสนใจพวกเราแม้สักนิด แต่สุดท้ายก็เป็นเจ้าซีที่เราจะต้องสร้างความประทับใจอยู่ดี”

 

“นั่นก็มีเหตุผลอยู่…” ไป่ลี่ฮัวพยักหน้า

 

คนที่สำคัญที่สุดในสถานที่นี้ก็คือเจ้าซี ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขาระหว่างการแข่งขัน พวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์หลายอย่างและย่อมจะได้รางวัลด้วยการเป็นที่รู้จักของทั้งโลก

 

สองสามนาทีหลังจากนั้น นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็กลับไปสู่ที่นั่งของตนเองในฐานะผู้ชม

 

“ข้าต้องยอมรับว่า พวกเจ้าค่อนข้างจะเป็นพวกที่น่ากลัวทีเดียว” ไป่ลี่ฮัวพูดกับพวกเขา

 

จากนั้นเธอก็หันไปหาโหลวหลานจีและกล่าวต่อว่า “เด็กสาวเหล่านี้ช่างโชคดีที่มีผู้นำนิกายที่มีความสามารถเช่นนี้ ท่านควรจะภูมิใจ”

 

“ฮี่ฮี่…”

 

ศิษย์ทุกคนต่างพากันยิ้มเขินโดยเฉพาะอย่างยิ่งโหลวหลานจีผู้ที่พยายามอย่างมากที่จะไม่ฉีกยิ้มกว้างไปถึงหู อย่างไรก็ตามครั้นเมื่อเธอนึกถึงว่านี่เป็นซูหยางที่ทำงานนี้ทั้งหมด เธอก็แสดงรอยยิ้มอายและกล่าวว่า “ข้ามิได้ทำอะไรเลยทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะว่าซูหยางที่เราได้มาจนถึงตอนนี้วันนี้”

 

ไป่ลี่ฮัวคิดว่าโหลวหลานจีกำลังถ่อมตัวและพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “ก็แล้วแต่ท่าน”

 

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นการแข่งขันวันที่สองก็ถึงที่สุด และห้าสิบสำนักที่เหลือก็มารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อจับฉลากสำหรับการแข่งขันครั้งต่อไป

 

“ใครได้หมายเลขเก้า” ซื่อตงถามหลังจากที่ทุกคนได้จับหมายเลขแล้ว

 

ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น โหลวหลานจีก็ยกมือและห่างจากเธอไปกี่เมตรชายวัยกลางคนก็ยกมือขึ้นเช่นกัน

 

เมื่อโหลวหลานจีเห็นใบหน้าของชายวัยกลางคน ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก

 

“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและนิกายดอกบัวเพลิงงั้นรึ” ซื่อตงพยักหน้าขณะที่เขาเขียนชื่อสำนักของพวกเขาลงไปบนกระดาน

 

“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเจอหายนะแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะโชคดีพอที่จะมาได้ไกลปานนี้ พวกเขากลับต้องได้พบกับนิกายดอกบัวเพลิง”

 

เจ้าสำนักต่างๆที่นั่นต่างพากันเชื่อว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย

 

“เมื่อมาคิดว่าพวกเราจับฉลากเจอกับนิกายดอกบัวเพลิงจากผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด…” โหลวหลานจีถอนหายใจ

 

ถ้าเธอรู้ว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น เธอควรจะยอมให้ซูหยางเป็นคนจับหมายเลข

 

“ทำไมต้องไปใส่ใจในเมื่อพวกเราจะต้องเจอพวกเขาอยู่แล้วไม่ช้าก็เร็ว ถ้าพวกเขามิแพ้ไปเสียก่อน เราก็จักต้องสู้กับเขาไม่ช้าก็เร็ว” ซูหยางพูดอย่างไม่ใส่ใจ

 

“นั่นก็จริงแต่ข้าก็หวังว่าพวกเราจะได้เจอกับพวกเขาทีหลัง ถึงไม่ใช่นัดสุดท้ายก็ตาม…” โหลวหลานจีถอนหายใจอีกครั้ง

 

ขณะที่โหลวหลานจีและซูหยางคุยกันอยู่นั้น ผู้นำนิกายดอกบัวเพลิงก็ตรงเข้ามาหาพวกเขาด้วยท่าทางเคร่งเครียด

 

“ผู้อาวุโสโหวเยินเจีย” โหลวหลานจีโค้งด้วยความเคารพ

 

โหวเยินเจียพยักหน้าให้กับเธอก่อนที่จะหันไปมองดูซูหยางด้วยคิ้วที่ขมวด

 

“อย่าคิดว่าข้าลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นแม้แต่วินาทีเดียว ในเมื่อมันฝังอยู่ในใจข้ามาจนถึงทุกวันนี้ ความอดสูที่ข้า ที่พวกเราต้องเผชิญ พวกเราจักจ่ายคืนเป็นสิบเท่า”

 

เมื่อโหลวหลานจีได้ยินคำพูดของโหวเยินเจีย ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก

 

“ข-เขาพูดเรื่องอะไรกัน ซูหยาง เจ้าทำอะไรล่วงเกินพวกเขารึ” เธอกระซิบกระซาบเขา

 

ซูหยางเลิกคิ้วและกล่าวด้วยน้ำเสียงสับสน “ถึงแม้ว่าข้าจะภูมิใจในหลายๆอย่างในตัวเอง แต่ว่าความทรงจำของข้านั้นมิได้เป็นหนึ่งในนั้น ดังนั้นหากท่านมิถือ ท่านพอจะช่วยข้านึกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

 

โหวเยินเจียคิ้วกระตุกหลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง รู้สึกอยากจะต่อยเขาขึ้นมาอย่างแรงในเวลานั้น

 

“ข้ามิรู้ว่าเจ้าใช้กลเม็ดอะไรในวันนั้น แต่มันจะใช้ไม่ได้ที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรามิได้เป็นแบบแต่ก่อนอีกแล้ว ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าจักเหยียบไปบนพวกเราทั้งหมดเหมือนเมื่อตอนนั้น จักไม่เกิดขึ้นแบบนั้นอีกในวันพรุ่งนี้”

 

“ข-ขออภัย ผู้อาวุโสโหว ถ้าท่านมิถือ ท่านพอจักให้คำอธิบายแก่ข้าได้หรือไม่ ดูเหมือนว่าซูหยางจากล่วงเกินท่าน…” โหลวหลานจีถามเขา

 

โหวเยินเจียมองดูเธอแล้วกล่าวว่า “อย่ากังวล นี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย และเป็นเรื่องระหว่างเขากับพวกเรา ถึงแม้ว่าเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พวกเราก็จักมิสร้างปัญหาให้กับพวกเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อพวกเราเป็นพันธมิตร”

 

โหลวหลานจีไร้คำพูดไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “ถึงแม้ว่าท่านจะพูดเช่นนั้น… เขาก็ยังคงเป็นผู้นำนิกายเช่นเดียวกับข้า ถ้าท่านสร้างปัญหาให้กับเขา ก็เหมือนกับสร้างปัญหาให้กับนิกายเช่นกัน”

 

โหวเยินเจีเพียงแค่ยิ้มให้กับคำพูดของเธอก่อนที่จะหันตัวเดินจากไป

 

“จริงรึ ซูหยาง เจ้าทำอะไรกับพวกเขา และเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่กัน” เธอมองดูเขาพร้อมกับขมวดคิ้ว “สิ่งที่เจ้าทำลงไป ถ้าเจ้ามิแก้ไขโดยเร็วนั่นจักมีผลต่อความเป็นพันธมิตรของพวกเรา”

 

“ก็เหมือนกับที่เขาพูด ท่านมิต้องกังวล เป็นแค่เพียงเรื่องเล็กน้อยที่จักแก้ไขในเร็วๆนี้” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม