DC บทที่ 382: ชนะการแข่งขันรอบแรก

 

หลังจากที่ได้ยินคำเตือนฉันท์มิตรจากหวังชูเหรินแล้ว ซึ่งโดยเบื้องต้นเป็นการบอกเธอไม่ให้ทรยศซูหยางหรือไม่เธอก็จะเสียใจอย่างมากภายหลัง ไป่ลี่ฮัวก็ครุ่นคิดอย่างเงียบๆว่าทำไมอีกฝ่ายจึงพูดอะไรแบบนั้น

 

“เธอไม่ได้กล่าวถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หรืออ้างถึงคนที่อาจจะอยู่เบื้องหลังเขา ซูหยาง…เขามีความพิเศษอะไรกันนอกจากลิ้นเจ้าสำนวนและใบหน้าหล่อเหลานั่น”

 

ไป่ลี่ฮัวไม่อาจจะเข้าใจว่าทำไมหวังชูเหรินจึงช่างจงรักภักดีและนับถือเพียงแค่เด็กวัยรุ่นที่มีอายุเพียงสิบเจ็ดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอฝึกฝนวิชามานานกว่าที่เขาได้ใช้ชีวิต

 

ไป่ลี่ฮัวหรี่ตาไปยังซูหยางซึ่งกำลังมองดูการแข่งขันอย่างผ่านๆด้วยท่าทางผ่อนคลาย

 

หลังจากนั้นไม่นานซื่อตงก็ยกมือขึ้นและประกาศด้วยความตื่นเต้นว่า “นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้เอาชนะเก้ารอบต่อสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง รักษาตำแหน่งในการแข่งขันพรุ่งนี้ไว้ได้ ขอแสดงความยินดี”

 

“ทำได้ดี เด็กๆทุกคน” โหลวหลานจีกล่าวกับพวกเธอด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

ต่อให้ผ่านไปร้อยปีเธอก็ไม่คาดคิดว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะชนะสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองได้ ยิ่งไปกว่านั้นใช้เวลาไม่นานในการแข่งขันด้วย ยังไม่ได้กล่าวถึงสถานะปัจจุบันของนิกายของพวกเขา นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของนิกายที่พวกเขาได้อยู่นานมากกว่าหนึ่งวันในการแข่งขัน

 

“สุด้ายข้ามิมีโอกาสได้ขึ้นเวทีเลย….” ซุนจิงจิงถอนหายใจกับความจริงที่ว่าเธอไม่สามารถได้ต่อสู้ในวันนี้

 

“จากที่พูดมานั่นหมายความว่าพี่น้องร่วมสำนักของข้ามีความสามารถ” เธอกล่าวหลังจากนั้น

 

ในเวลานั้นศิษย์เกือบทั้งหมดของสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองต่างก็พากันสิ้นหวังหลังจากความพ่ายแพ้ ในเมื่อพวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะพ่ายแพ้ให้กับสำนักที่ด้อยกว่าอย่างเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย

 

“มิเพียงแค่จินซีคนนี้เท่านั้น แต่ข้าถึงกับมิอาจจำศิษย์ทุกคนที่ตามมาหลังจากนั้น ไม่มีทางที่ข้าจักมิรู้จักชื่อของพวกเธอถ้าพวกเธอเก่งกาจขนาดนี้ หรือว่าพวกเธอเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว”

 

นี่เป็นคำอธิบายเพียงอย่างเดียวที่มีเหตุผลในใจหลี่เซียวโม่

 

“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ มิเช่นนั้นจะอธิบายสถานการณ์นี้ได้อย่างไร กระทั่งศิษย์หลักที่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อนที่จะจากไปก็มิแข็งแกร่งเหมือนกับพวกเธอ”

 

หลังจากที่การแข่งขันจบลง ทั้งสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็รวมตัวกันที่ตรงกลาง และเจ้าสำนักต่างก็พากันคารวะกันเพื่อแสดงความนับถือต่ออีกฝ่ายโดยไม่ใสใจต่อผลลัพธ์

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะจากไปตามทางของตนเอง ซูหยางกล่าวกับหลี่เซียวโม่ว่า “ข้าวามารถบอกได้ว่าเจ้ากำลังสงสัยดังนั้นให้ข้าได้ช่วยเจ้าให้เข้าใจ ศิษย์ทั้งหมดที่ขึ้นไปบนเวทีวันนี้เคยเป็นศิษย์นอกธรรมดาก่อนที่จะมีการแยกย้ายกันไป ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เจ้าจึงมิอาจจดจำพวกเธอได้”

 

“อ-อะไรกัน” หลี่เซียวโม่จ้องมองพวกเธอด้วยสีหน้างุนงง หลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง

 

อย่างไรก็ตามซูหยางก็กล่าวต่อว่า “และข้าเป็นคนฝึกฝนพวกเธอด้วยตนเอง”

 

“?!?!”

 

ใบหน้าสวยของหลี่เซียวโม่เปี่ยมไปด้วยความตระหนกและไม่เชื่อในทันที

 

“ข้าเข้าใจแล้ว…” เธอพึมพัมชั่วขณะหลังจากนั้นด้วยรอยยิ้มขื่นขมบนใบหน้า “บอกเจ้าตามตรง ตอนที่ข้ามิอาจที่จะหาเจ้าพบในเวลานั้น ข้าก็ประเมินว่าเจ้าได้จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปแล้ว ดังนั้นข้าก็จึงตัดสินใจที่จะไปเช่นกัน แต่น่าเสียดายเมื่อมาคิดว่าเจ้ายังอยู่ ข้าควรจะรอนานอีกสักหน่อยก่อนที่จะตัดสินใจ”

 

เพราะว่าซูหยางไม่ได้อยู่ในที่ที่ซึ่งเหล่าศิษย์ได้กำหนดให้มารวมตัวกัน หลี่เซียวโม่จึงได้คาดเดาว่าซูหยางได้จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอจึงทิ้งพวกเขา

 

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นเพียงเวลาไม่นาน ซูหยางก็ได้อยู่ที่พื้นที่ส่วนกลางกับศิษย์คนอื่นจริงๆ โชคร้ายสำหรับหลี่เซียวโม่ที่เขาไม่ได้อยู่ใกล้เธอและเขาได้จากไปก่อนที่จะทันได้เห็นเขา

 

“ถ้าข้าได้อยู่ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย บางทีข้าอาจจะได้อยู่ข้างกายเขาในตอนนี้ด้วยรอยยิ้มสดใสก็เป็นได้ แต่น่าเสียดาย…” หลี่เซียวโม่ครุ่นคิดขณะที่ส่ายหน้าก่อนที่จะจากไปพร้อมกับสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง

 

“เจ้ามิรู้สึกแย่กับเธอบ้างรึเมื่อเจ้ามองสีหน้าเจ็บปวดบนใบหน้าของเธอ” ซุนจิงจิงกระซิบ

 

“มิว่าเธอจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม นั่นก็ยังเป็นความจริงที่ว่าเธอได้ละทิ้งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและเหล่าศิษย์ไปแล้ว” ฟางซีหลานกล่าวด้วยท่าทางเฉยเมย

 

ครั้นเมื่อสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองเริ่มเดินจากไป นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็หันกลับ

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะทันได้เดินออกไปจากเวที ร่างอันสง่างามในชุดหรูหราก็พลันยืนขึ้นจากที่นั่งของเธอและตรงเข้ามาหาพวกเขา

 

ครั้นเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตระหนักว่าใครที่ยืนอยู่ต่อหน้าของพวกเขา พวกเขาทุกคนก็พลันคำนำเธอและกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “องค์หญิง”

 

เมื่อผู้ชมเห็นเช่นนั้น ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก ทำไมซีซิงฟางจึงตรงเข้าไปหาพวกเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอออกจากที่นั่งท่ามกลางการแข่งขัน

 

“…”

 

ศิษย์ทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งโหลวหลานจีรอคอยซีซิงฟางพูดอย่างกระวนกระวาย ขณะที่พวกเธอคิดสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงมาหาพวกเธอ

 

“ขอแสดงความยินดีที่ชนะการแข่งขัน” น้ำเสียงนุ่มนวลของซีซิงฟางดังออกมาหลังจากนั้นไม่นาน

 

“?!?!”

 

โหลวหลานจีไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรได้แต่นิ่งเงียบจ้องมองซีซิงฟางด้วยสายตางงงัน องค์หญิงพายายามทำทุกอย่างทั้งหมดในการมาหาพวกเธอก็เพียงแค่แสดงความยินดีเท่านั้นเหรอ และทำไมเธอจึงเลือกที่จะแสดงความยินดีกับพวกเธอแต่ไม่สนใจใครอีก

 

“ขอบพระทัย แต่พวกเรายังคงมิมีค่ากับคำชมของท่านนัก” ขณะที่โหลวหลานจียังคงตกอยู่ในภวังค์ ซูหยางก็กล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “กลับมาพูดถ้อยคำเหล่านั้นซ้ำอีกครั้งหลังจากที่พวกเราได้ชนะเลิศ”

 

เมื่อผู้คนได้ยินคำพูดของซูหยาง พวกเขาทุกคนต่างพากันอ้าปากค้างด้วยความตระหนก

 

“องค์หญิงทรงอุตส่าห์ชมพวกเขาด้วยตนเอง แต่เขากลับกล้าที่จะบอกพระองค์ให้กลับมาหลังจากนั้นงั้นรึ?!”

 

“เจ้าคนยะโสโอหังนี้คิดว่าพวกเขาจักชนะการแข่งขันระดับภูมิภาครึ ฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“ใบหน้าของเจ้านั่นทำให้ข้าหงุดหงิดนับตั้งแต่ข้าเห็นเขาแล้ว ใครสักคนจำเป็นต้องทำให้มันหยาบขึ้นสักหน่อยแล้ว”

 

ผู้ชมต่างพากันสาปแช่งซูหยางเสียงดัง แต่ท่าทางของเขาทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินพวกเขาและยังคงยิ้มไปให้ซีซิงฟาง