Dual Cultivation บทที่ 381: คำเตือนฉันท์มิตร

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า… ช่างเป็นเจ้าโง่จอมโอหังที่ให้พวกเราชนะฟรี”

 

ศิษย์สมาพันธ์แม่น้ำเหลืองหัวเราะให้กับซูหยางที่ยอมแพ้การแข่งขันแม้ว่าจะชนะอย่างชัดแจ้ง อย่างไรก็ตามเจ้าสมาพันธ์ขมวดคิ้วเมื่อเขารู้สึกว่าเหมือนกับถูกตบหน้า

 

“เจ้าใจดีมากเกินไป ซูหยาง” โหลวหลานจีกล่าวกับเขาครั้นเมื่อเขากลับไปถึงข้างตัวพวกเธอ

 

“ท่านหมายความว่าอย่างไร” ซูหยางเลิกคิ้ว

 

“เจ้มีเจตนาที่จะขึ้นไปบนเวทีเพื่อที่จะศิษย์คนอื่นจะได้มิต้องต่อสู้กับเธอ ใช่ไหม”

 

ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ข้ามิรู้ว่าข้าใจดีขนาดนั้น ข้าต่อสู้กับเธอก็เพราะว่าข้าต้องการที่จะพูดกับเธอเล็กน้อย ก็เท่านั้น”

 

“เอาอย่างงั้นเหรอ” โหลวหลานจีกล่าวก่อนที่จะหันไปดูศิษย์คนอื่นและกล่าวว่า “นอกจากฟางซีหลานและซุนจิงจิง ใครคนใหนที่ต้องการไปเป็นคนถัดไป”

 

“เอ๋ ทำไมเราถึงไม่สามารถเป็นคนถัดไปล่ะ” ซุนจิงจิงแสดงท่าทีประหลาดใจ

 

“พวกเจ้าสองคนอยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ ซึ่งศิษย์ของสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองมีศิษย์อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณเกือบทั้งหมด นี่จะมิใช่การแข่งขันหากว่าเจ้าทั้งสองคนไปเป็นคนแรก ให้โอกาสคนอื่นได้สู้ด้วย อย่ากังวล ย่อมถึงโอกาสของเจ้าแน่ถ้าพวกเราเกือบแพ้”

 

ไม่นานหลังจากนั้นศิษย์หนึ่งในนั้นก็ยกมือของเธอขึ้นและกล่าวว่า “ผู้นำนิกายข้าต้องการสู้”

 

“จินซีเหรอ ไปได้” โหลวหลานจีพยักหน้าให้กับเด็กสาวน่ารักที่มีเอวบางร่างน้อยข้างหน้าเธอ

 

“โชคดีพี่สาวจิน”

 

ศิษย์ร่วมสำนักของเธอพากันส่งเสียงเชียร์ให้ขณะที่เธอก้าวขึ้นไปสู่ความสนใจ

 

“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยส่งจินซี แม้ว่าเธอจะอายุเพียงสิบแปดปี เธอก็ได้ประสบความสำเร็จขั้นทีหกของเขตสัมมาวิญญาณ” ซื่อตงแนะนำเธอให้กับผู้ชม สร้างความตระหนกให้กับพวกเขาหลายคน

 

“เธอเข้าถึงระดับสูงในวิชาการต่อสู้เช่นนั้นตั้งแต่อายุยังน้อยเลยเหรอ และในสถานที่เล็กๆอย่างเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอีกด้วย ช่างน่าประหลาดใจนัก”

 

“ทำไมนางฟ้าอายุน้อยมีพรสวรรค์เช่นนั้นจึงอยู่ในสถานที่อย่างเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ถ้าเธอถูกดูแลในที่ที่เหมาะสม เธออาจจะก้าวถึงเขตปฐพีวิญญาณไปเรียบร้อยแล้วในตอนนี้”

 

ผู้ชมต่างพากันสาปแช่งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกับความโชคดีของพวกเขาและกับการย่ำยีคนที่มีพรสวรรค์อย่างเช่นจินซี แต่พวกเขาจะรู้สักนิดก็หาไม่ว่าจินซีเคยเป็นศิษย์นอกธรรมดาที่อยู่ในเขตปฐมวิญญาณเมื่อครึ่งปีก่อน

 

ไม่นานหลังจากนั้นสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองตัดสินใจส่งศิษย์คนอื่นขึ้นไป ในเมื่อหลี่เซียวโม่ได้ใช้ปราณไร้ลักษณ์ไปหมดสิ้นแล้วระหว่างการแข่งขันกับซูหยาง

 

“ฝั่งสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง เรามีลี่จวินซึ่งอยู่ในระดับที่ห้าเขตสัมมาวิญญาณ”

 

ครั้นเมื่อซื่อตงแนะนำทั้งคู่แล้ว เขาก็เริ่มการแข่งขัน

 

“ฮ่า”

 

ทันทีที่การแข่งขันเริ่มต้น จินซีก็หยิบกระบี่ข้างตัวเธอออกและตรงเข้าไปหาลี่จวินซึ่งยืนอยู่อย่างสบายด้วยรอยยิ้มผ่อนคลายบนใบหน้า

 

เมื่อจินซีเข้าถึงระยะหนึ่งลีจวินก็ปรบมือสามครั้งเหมือนกับหลี่เซียวโมส่งจินซีเข้าสู่ภาพมายาทันทีทำให้เธอหยุดเคลื่อนไหว

 

เมื่อผู้ชมเห็นเช่นนั้นพวกเขาต่างก็พากันถอนใจออกมาด้วยเสียงอันดัง

 

“อย่าบอกข้าว่าเราต้องนั่งอยู่อย่างนี้ไปจนถึงอีกแปดคู่ถัดไปเช่นกัน”

 

“ถึงแม้ว่าวิชาภาพมายาของสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองจะทรงพลังอย่างแท้จริง แต่ก็มิสนุกเลยที่ต้องได้เห็นระหว่างการแข่งขัน”

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ถึงชั่วอึดใจหลังจากที่จินซีหยุดเคลื่อนไหว เธอก็เริ่มขยับตัวอีกครั้งสร้างความตระหนกให้กับทุกคน

 

“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์: กลีบดอกไม้พิโรธ”

 

ขณะที่ลีจวินพยายามที่จะหอบหายใจหลังจากที่ประสบกับเลือดลมย้อนกลับ จินซีก็โจมตีเขาด้วยวิชาเดียวกับที่หลี่เซียวโม่ได้แสดงต่อหน้าซูหยาง แต่การเคลื่อนไหวนั้นแหลมคมและดุร้ายยิ่งกว่า

 

เมื่อหลี่เซียวโม่เห็นเช่นนั้นตาเธอก็เบิกกว้างและสงสัยใจ “มิมีทาง… เด็กสาวคนนี้เป็นใครกัน ทำไมข้าจึงจำเธอมิได้ มิมีทางที่ข้าจะพลาดคนที่เก่งกาจปานนี้ในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”

 

“อาาา”

 

ลีจวินกระอักเลือดออกมาคำใหญ่และล้มลงไปบนพื้นหลังจากที่ถูกจินซีโจมตี

 

“ข-ข้ายอมแพ้” ลีจวินรีบยอมแพ้ในทันใดหลังจากที่เห็นจินซีวิ่งมาหาเขาอีกครั้ง

 

เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาไม่มีทางที่จะเอาชนะคนที่สามารถทำลายวิชาภาพมายาของเขาได้ในเวลาไม่กี่วินาที

 

“ซูหยาง…เจ้าฝึกพวกเธออย่างไรกันแน่ ผู้คนย่อมมิอาจที่จะก้าวหน้ามากมายปานนี้เพียงแค่จากการฝึกวิชาคู่” โหลวหลานจีจ้องมองไปยังจินซีด้วยดวงตาเบิกกว้างดูเหมือนว่าจะไม่อยากเชื่อ

 

เมื่อพิจารณาจากระยะเวลาส่วนใหญ่ที่พวกเธอมีแล้ว เพราะว่าพลังการฝึกปรือของศิษย์ทุกคนได้ก้าวทะยานในช่วงระยะเวลาสั้นๆ โหลวหลานจีจึงไม่ได้คิดแม้แต่วินาทีว่าจะเป็นไปได้ที่พวกเธอจะได้เรียนอย่างอื่นอีก

 

“ท่านคิดจริงๆรึว่าข้าเพียงแค่ใช้เวลากับพวกเธอบนเตียงภายในห้องตลอดเวลา แน่นอนว่าข้าต้องสอนพวกเธออย่างอื่นด้วยเช่นกัน” ซูหยางกล่าวอย่างสบาย

 

นอกจากเติมเต็มร่างกายพวกเธอด้วยปราณหยางของเขา ซูหยางก็ได้สอนเหล่าศิษย์พื้นฐานกระบี่บางอย่างเช่นกัน ซึ่งก็ได้เพิ่มพูนวิชากระบี่ที่พวกเธอมีขึ้นมาเป็นอย่างมาก

 

“เช่นนั้นมีกลเม็ดอะไรที่พวกเธอใช้ในการทำลายภาพมายารวดเร็วปานนั้น”

 

“กลเม็ดรึ มิมีกลเม็ดใด หลังจากที่ฝึกกับข้าเป็นระยะเวลานาน มิเพียงแต่พลังการฝึกปรือของพวกเธอแต่กระทั่งความแข็งแกร่งของจิตใจของพวกเธอก็ก้าวไปอีกระดับ เพราะอย่างไรก็ตามต้องใช้ความแข็งแกร่งทางจิตใจระดับหนึ่งในการอดทนต่อวิชาของข้า” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

โหลวหลานจีไร้คำพูดหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา เมื่อเธอเองก็ปฏเสธไม่ได้

 

“หากจะพูดไปวิชาบนเตียงของเขาก็ร้ายกาจยิ่งกว่าวิชาภาพมายาของสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองมากมายนัก” โหลวหลานจีไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีหลังจากที่ได้ตระหนักถึงความจริงนี้

 

หลังจากที่จินซีได้รับชัยชนะ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ชมอย่างต่อเนื่องด้วยพลังการฝึกปรืออันน่าอัศจรรย์ของพวกเธอคนแล้วคนเล่า

 

“นี่เป็นบ้าอะไรกัน ข้าเข้าใจว่าจะมีก็ศิษย์เพียงคนเดียว แต่ที่ไหนได้ศิษย์ทุกคนของพวกเขาล้วนมีพรสวรรค์ผิดมนุษย์ เหมือนกับว่าพวกเธอแทบทั้งหมดล้วนถูกป้อนด้วยยาวิเศษที่ยอมให้พวกเธอได้รับสิ่งที่พวกเธอเป็นอยู่ในวันนี้”

 

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยค้นพบยาที่ปฏิวัติวงการอะไรบางอย่างที่สามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกปรือเหมือนอย่างเช่นที่นิกายดอกบัวเพลิงมีโอสถสู่ปฐพี”

 

ผู้คนต่างพากันคาดเดาอย่างบ้าคลั่ง และคนหลายคนที่นั่นต่างพากันสนใจนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกระทั่งบางคนก็ยังต้องการที่จะเข้าร่วมกับพวกเขาแม้ว่าพวกเขาจะมีการฝึกฝีมือที่ไม่เหมือนใครก็ตาม

 

“ท่านคิดว่าพวกเธอเป็นอย่างไร นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีอัจฉริยะมากมายหากดูจากสถานการณ์ของพวกเขาในปัจจุบัน” ไป่ลี่ฮัวถามหวังชูเหรินซึ่งนั่งอยู่อย่างสบายข้างๆเธอ

 

“ประหลาดใจมากขนาดนั้นเลยรึ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักทรงอำนาจและน่าตระหนกขึ้นอีกมากนักนับจากนี้”

 

ไป่ลี่ฮัวหันไปมองหวังชูเหรินด้วยดวงตาเบิกกว้าง เธอไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะมองนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสูงมากมายเพียงนั้น “ข้ามิมีโอกาสที่จะถามว่าทำไมนิกายดอกบัวเพลิงจึงตัดสินใจที่จะร่วมเข้าเป็นพันธมิตรกับพวกเขา ในเมื่อท่านรู้จักนักปรุงยานั่นอยู่แล้วจึงมิมีเหตุผลที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเขา ซึ่งนั่นคงมิเกี่ยวข้องกับโอสถสู่ปฐพี”

 

หวังชูเหรินแสดงรอยยิ้มลึกลับและกล่าวว่า “อย่ากังวลในที่สุดท่านก็จักได้รับรู้ความจริง ที่ว่าหากท่านยังเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่อไป และในฐานะของเพื่อนร่วมพันธมิตรขอให้ข้าได้ให้คำเตือนฉันท์มิตร มิว่าอะไรก็ตามอย่าล่วงเกินซูหยาง ถ้าท่านต้องล่วงเกินเขาหรือทั้งโลกอย่าลังเลที่จะเลือกเข้าข้างซูหยางหรือไม่ท่านก็จักต้องเสียใจอย่างสุดซึ้ง”

PS: แปลปุ๊บลงปั๊บเลยครับ 🙂