DC บทที่ 380: ต่อสู้กับหลี่เซียวโม่

 

หลังจากที่เธอเตรียมตัวพร้อมแล้ว หลี่เซียวโม่ก็ตรงเขาไปหาซูหยางพร้อมกับกระบี่ในมือ

 

“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์: กลีบดอกไม้พิโรธ”

 

รัศมีอันอ่อนโยนรายล้อมหลี่เซียวโม่ก่อนที่จะทิ่มแทงกระบี่ออกอย่างแหลมคม

 

“หวา— นี่เป็นเคล็ดวิชากระบี่ของพวกเรา เธอช่างหน้าด้านนัก” ซุนจิงจิงอุทานออกมาเมื่อเห็นหลี่เซียวโม่หน้าด้านใช้หนึ่งในวิชาของพวกเธอ ซึ่งเป็นวิชาศิลปกระบี่ที่มีเพียงศิษย์ไม่กี่คนเรียนยามเมื่อพวกเขาได้เป็นศิษย์ในเท่านั้น แน่นอนว่ามันเป็นเพียงวิชาระดับโลหะเท่านั้น

 

“โห”

 

แม้ว่าเขาไม่รู้วิชานี้ ซูหยางก็หลบกระบี่ที่ทิ่มแทงเข้ามาอย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาพักหนึ่งแล้ว ซูหยางก็ยังไม่เคยเรียนวิชาอะไรจากพวกเขา ไม่ใช่ว่าเขาไม่ใส่ใจตั้งแต่แรก

 

“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์: เกสรร่วงหล่น”

 

การโจมตีหลายสิบครั้งพุ่งเข้าหาซูหยางอย่างรวดเร็ว

 

“ไม่เลว” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาหลีกไปอย่างสง่างาม

 

“แม้ว่าข้ามิได้เป็นศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอีกต่อไปแล้ว ข้าก็ยังได้ฝึกกุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์หลังจากที่ข้าจากไปแล้ว” หลี่เซียวโม่กล่าว

 

ต่อจากนั้นอีกไม่กี่นาที หลี่เซียวโม่ก็ได้แสดงวิชากุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ออกมาอย่างต่อเนื่อง และซูหยางก็สามารถหลีกไปได้อย่างง่ายดาย

 

“ศิษย์พี่ชายทำอะไรอยู่ ทำไมเขาจึงเอาแต่หลบการโจมตีของเธอ” ซุนจิงจิงไม่อาจเข้าใจเจตนาของเขาได้

 

“ถ้าเขาต้องการที่จะสู้กับเธอจริงๆ นั่นก็คงจบลงไปนานแล้ว” ฟางซีหลานกล่าว

 

ในเวลานั้นผู้ชมต่างพากันหาวด้วยความเบื่อไปเรียบร้อยแล้ว นั่นเหมือนกับว่าพวกเขากำลังดูการประมือฉันมิตรระหว่างคู่รัก และนั่นทำให้บางคนไม่พอใจ

 

“ถ้าเจ้ามิคิดที่จะสู้อย่างจริงจังนัก ลงเวทีไปซะ”

 

“ใช่แล้ว “ข้ามิได้ถ่อมาที่นี่เพียงแค่มาดูพวกเขาร่ายรำนะ เอาพวกเขาออกไปจากเวทีซะ”

 

ผู้ชมเริ่มส่งเสียงบ่น

 

อย่างไรก็ตามทั้งหลี่เซียวโม่หรือซูหยางต่างไม่ได้ยินเสียงบ่นด้วยความไม่พอใจของพวกเขา ในเมื่อทั้งคู่ต่างจดจ่ออยู่กับอีกฝ่าย

 

“ดูซิว่าเจ้าจะสามารถหลบนี่ได้หรือเปล่า” หลี่เซียวโม่พลันหยุดเคลื่อนไหวและปรบมือสามครั้งเป็นจังหวะ

 

“…”

 

เมื่อการปรบมือสามครั้งดังเข้าหูซูหยาง การมองเห็นของเขาก็พร่ามัวไปชั่วขณะก่อนที่จะกลับมาชัดเจนเช่นเดิม อย่างไรก็ตามเมื่อเขาสามารถเห็นชัดอีกครั้ง เขาก็ไม่ได้อยู่ในสนามประลองรายล้อมไปด้วยผู้ชมอีกต่อไป กลับกันเขาอยู่กลางทะเลทรายที่เวิ้งว้าง แต่ไม่นานนักสัตว์ร้ายจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นมาจากขอบฟ้าดูเหมือนกับว่ามันเป็นฝูงสัตว์

 

“ภาพมายาเหรอ” ซูหยางตระหนักถึงสถานการณ์อย่างรวดเร็ว

 

ในเวลานั้นในสายตาของผู้ชม ทั้งซูหยางและหลี่เซียวโม่พลันหยุดการเคลื่อนไหวของพวกเขาและยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าเหม่อลอย

 

“เอ๋ ทำไมพวกเขาจึงหยุดการเคลื่อนไหวอีกแล้ว”

 

“นี่ต้องเป็นวิชามายาของสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง มายาสีเหลือ มีคำร่ำลือว่าถ้าเมื่อเจ้าถูกขังอยู่ภายในภาพมายาก็เกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะหนีออกมาด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามคนที่ร่ายภาพมายาก็จะไม่สามารถเคลื่อนไหวขณะที่พวกเขาใช้วิชานี้ ดังนั้นจึงพากันยืนนิ่งจนกว่าหนึ่งในพวกเขาจะพ่ายแพ้”

 

“ไม่รู้ว่าหลี่เซียวโม่จะสิ้นพลังปราณไร้ลักษณ์ก่อนหรือว่าซูหยางสูญเสียจิตใจไปกับภาพมายาก่อน” ซุนจิงจิงพึมพัม

 

“เจ้าคิดว่าอีกนานเท่าไหร่ในการที่จะทำให้ซูหยางทำลายภาพมายาออกมา” ซุนจิงจิงถามฟางซีหลาน “ข้าคิดว่านั่นคงต้องใช้เวลาอีกสองสามนาทีเป็นอย่างมาก”

 

“น้อยกว่าหนึ่งนาที” ฟางซีหลานกล่าวโดยไม่ลังเล

 

ในเวลานั้นอีกด้านหนึ่งของสนามประลอง สมาพันธ์แม่น้ำเหลือกได้พากันส่งเสียงเชียร์ชัยชนะครั้งแรกของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว

 

“เขาจบแล้ว หากมีใครถูกจับด้วยวิชาของพวกเรา พวกเขาจักมิอาจหนีออกมาได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ”

 

“ศิษย์พี่หญิงหลี่สามารถควบคุมวิชาได้นานถึงหกชั่วโมงต่อเนื่อง ข้าสงสัยว่าความแข็งแกร่งทางใจของเขาจักสามารถทนได้นานขนาดนั้นหรือไม่”

 

“ลืมเรื่องเขาไป กระทั่งพวกเราก็มิอาจที่จะเอาชนะเธอได้เมื่อใช้วิชามายา”

 

“น่าเสียดายที่เธอเสียเวลาหลายปีที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ด้วยพรสวรรค์ของเธอถ้าเธออยู่กับพวกเราตั้งแต่ต้น เธอย่อมกลายเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งอย่างแน่นอน”

 

“เขาควรจะยอมพ่ายแพ้กับสัตว์ร้ายแล้วในตอนนี้ ข้าจักให้เวลาเขาอีกสิบนาทีก่อนที่จิตของเขาจะล้มเหลว” เจ้าสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองพลันกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าอันลึกล้ำ

 

เป็นจริงที่ซูหยางถูกรายล้อมด้วยสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนในตอนนี้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้กังวลใจแม้แต่น้อย

 

“ถึงแม้ว่าภาพมายานี้จะน่าจะประทับใจเป็นอย่างมาก ภาพมายานี้ก็ยังขาดหลายสิ่งที่ทำให้ภาพมายาทรงพลังกว่านี้ ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญภาพมายานี้ไม่ต่างไปจากเด็กเล่น”

 

ซูหยางหลับตาลงอย่างช้าๆและสูดลมหายใจช้าๆ เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งทะเลทรายและฝูงสัตว์ร้ายต่างพากันหายไปอย่างสิ้นเชิง และเขาก็กลับมาอยู่ในสนามแข่งขันอีกครั้ง

 

“อึก” หลี่เซียวโม่กระอักเลือดออกมาทันทีในเวลาที่ซูหยางทำลายภาพมายาของเธอ

 

“เป็นไปไม่ได้”

 

เจ้าสมาพันธ์แม่น้ำเหลืองและบรรดาศิษย์ต่างพากันจ้องมองซูหยางด้วยดวงตาเบิกกว้างพร้อมกับกรามตกพื้น

 

“ยี่สิบวินาที… เขาใช้เวลาเพียงยี่สิบวินาทีในการหนีออกมาจากวิชาภาพมายาที่มีชื่อเสียงของสมาพันธ์แม่น้ำเหลือง”

 

ผู้ชมต่างก็พากันตื่นตระหนกกับผลที่ออกมาได้เช่นกัน

 

“แม้ว่าภาพอาจจะดูคุกคามเมื่อมีสัตว์ร้ายมากมายรายล้อม แต่จริงแล้วมันขาดความรู้สึกเช่นนั้นไป ข้าแนะนำให้เจ้าทำให้มันง่ายกว่านี้และเน้นแค่สัตว์อสูรไม่กี่ตัวแทนที่จะเป็นใช้ฝูง เมื่อจะต้องใช้พลังปราณและพลังจิตในการควบคุมสัตว์อสูรจำนวนมากในครั้งเดียว” ซูหยางอธิบายให้กับหลี่เซียวโม่ถึงข้อผิดพลาดของตัวเธอเหมือนกับเป็นการสั่งสอนเธอ

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวของเขา หลี่เซียวโม่ยิ้มขื่นขมและกล่าวว่า “เหมือนที่ข้าคิดไว้ เป็นไปไม่ได้สำหรับข้าในการเอาชนะเจ้า ต่อให้ข้าใช้น้ำมันรัญจวนทั้งหมดที่เจ้าให้กับข้าไว้ ข้าก็ยังมิมีทางที่จะเข้าไปใกล้ระดับของเจ้าได้”

 

“โอ ใช่ ข้าได้ให้เจ้าไว้บางส่วนจริง” ซูหยางนึกได้ว่าเขาต้องการให้เธอช่วยเขาบางอย่าง แต่หลังจากเกิดอะไรบางอย่างกับนิกาย ก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับความช่วยเหลือนั้นอีกต่อไป

 

“ถ้าเจ้าต้องการน้ำมันมากกว่าเดิม เจ้าก็สามารถซื้อมันได้ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเสมอ เราจักขายพวกมันให้กับผู้คนทั่วไปหลังจากการแข่งขัน” เขาพลันกล่าวขึ้น

 

“จริงเหรอ” หลี่เซียวโม่พลันตาเป็นประกาย

 

ซูหยางพยักหน้า

 

“อย่าลืมคำพูดนี้ล่ะ ข้าจักไปหาเจ้าเมื่อข้ามีเวลาในภายหน้า”

 

“แน่นอน ข้าเป็นคนรักษาคำพูดเสมอ”

 

หลี่เซียวโม่พยักหน้า และหลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เธอก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้าชนะในครั้งนี้ ซูหยาง ข้ายอม–”

 

“ข้าแพ้การแข่งครั้งนี้”

 

ก่อนที่หลี่เซียวโม่จะทันได้ขอยอมแพ้ ซูหยางได้ยกมือขึ้นและยอมแพ้ในการแข่งขันครั้งนี้ สร้างความงุนงงให้กับทุกคนที่นั่น

 

“ท-ทำไมกัน” หลี่เซียวโม่ถามเขาด้วยเสียเบา

 

“ข้ามิได้วางแผนที่จะเข้าร่วมการแข่งขันในวันนี้ ดังนั้นข้าจึงถือว่าพ่ายแพ้ตั้งแต่ข้าก้าวขึ้นมาบนเวที” ซูหยางตอบด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น “อย่ากังวล นี่มิมีผลต่อผลสุดท้ายอยู่แล้ว”

 

หลี่เซียวโม่จ้องมองเขาด้วยสีหน้าสับสนขณะที่เธอมองดูเขาก้าวลงเวทีไปอย่างเงียบๆ แม้ว่าเธอจะชนะการแข่งขัน แน่นอนว่าเธอไม่ได้รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย