บทที่ 436 ความก้าวหน้า
ณ สำนักดักลาส เคหสถานที่พักของเหล่าอาจารย์

ร็อคซึ่งไปดื่มสังสรรค์ที่บ้านพักของสหายระหว่างช่วงวันหยุดยาวปีใหม่กำลังตะโกนลั่นพร้อมกับถือวารสารอาร์คานาในมือ

“เหลือเชื่อ?! สุดยอดเลย!” เขาร้องอุทานด้วยความตื่นเต้นและประหลาดใจเป็นระยะๆ

“ให้ตายเถอะ ข้าจะสายแล้ว!” ร็อคมองดูนาฬิกาในห้องนั่งเล่นขณะกำลังเฉลิมฉลองดีใจ แล้วจู่ๆ เขาก็กระโดดพรวดขึ้นมา เขานึกขึ้นมาได้ว่าเพิ่งทำความผิดพลาดครั้งใหญ่แล้วจึงรีบคว้าหมวกถักมาสวม เขาเอ่ยคำร่ำลาสหายแล้วเปิดประตูออกไปอย่างเร่งรีบ

บนถนนของสำนักดักลาส ใบไม้สัญญาณของฤดูใบไม้ร่วงกำลังร่วงหล่นในบรรยากาศสุดแสนโรแมนติก แต่ร็อคไม่มีเวลาชื่นชมภาพบรรยากาศอันงดงามตรงหน้า ขณะเขากำลังมุ่งหน้าไปศูนย์เช่ารถม้า

“นั่นใช่ร็อคหรือเปล่า? สมาชิกคนสำคัญของสถาบันอะตอมเพิ่งกลับมาสำนัก?” เสียงเย้ยหยันเสียงหนึ่งดังออกมาจากด้านข้าง

เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำและแหบพร่าดังกล่าว ร็อคก็หยุดในทันที เขาหันกลับไปมองอีกฝั่งของถนนแล้วก็เห็นว่าบีตย์และคนอื่นๆ ที่ดูท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้

“บีตย์?” สีหน้าของร็อคเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาไม่ได้สนใจท่าทีไม่เป็นมิตรของบีตย์และพูดออกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ “อ่านอาร์คานาฉบับวันนี้หรือยัง?”

บีตย์นิ่งอึ้ง เขาและร็อคต้องถกเถียงกันทุกครั้งเมื่อพบหน้า เขาสงสัยเหลือเกินว่าอะไรทำไมครั้งนี้ร็อคถึงเปลี่ยนไป

“ยัง มีอะไร?” อาจารย์สาขาแม่เหล็กไฟฟ้าคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย

ร็อคพยายามข่มใจไม่บอกเรื่องทั้งหมดกับบีตย์ แต่กลับกัน เขายิ้มอย่างมีเลศนัยและถามว่า “เจ้าจำดวงดาวสุกสว่างราวๆ ครึ่งเดือนที่แล้วได้ไหม? ดาวดวงนั้นสร้างและปล่อยขึ้นฟ้าโดยท่านประธาน! บทความแรกเล่าถึงรายละเอียดของการทดลองนี้!”

“อะไรนะ? ไม่น่าเป็นไปได้?” บีตย์ไม่อาจโยงข่าวนี้ไปยังเรื่องอื่น เขาทำได้เพียงประหลาดใจ เนื่องจากไม่รู้ว่านั่นคือสิ่งที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น

อาจารย์คนอื่นๆ ที่อยู่รอบเขาต่างมีสีหน้าประหลาดใจเช่นเดียวกัน

ร็อคบอกข้อมูลกับพวกเขาเพิ่มอย่างอดทน “นี่เป็นบทพิสูจน์ว่าทฤษฎีของท่านประธานถูกต้อง และตอบของคำถามที่มีมาหลายร้อยปีลงได้สำเร็จ”

“เจ้าพูดถูก” บีตย์เห็นด้วย ระบบทฤษฎีของดักลาสต่างทำให้ทุกๆ คนแอบประทับใจอยู่ลึกๆ แล้วเขาก็พยักหน้ายอมรับโดยไม่ต้องคิดมาก

แล้วร็อคก็หัวเราะออกมา “เจ้าจำครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันเรื่องการทดลองความเร็วแสงของท่านประธานได้ไหม? เจ้าไม่เห็นด้วยเพราะคิดว่าระบบทฤษฎีของท่านประธานเพี้ยนใช่ไหมล่ะ? แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร? เจ้าจะเชื่อหรือจะหาเหตุผลอื่นอีก?”

“ร็อค!” บีตย์ยกมือขวาขึ้นชี้ไปที่ร็อค นิ้วมือของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรง

เขายังเป็นเพียงจอมเวทระดับสอง และก็ไม่อาจคิดหาทฤษฎีอื่นมาโต้แย้ง

“แล้วก็ อีกเรื่องหนึ่ง ทฤษฎีทั้งสองที่เสนอในวารสารอาร์คานาและเวทมนตร์ฉบับล่าสุด ต่างก็ถูกปฏิเสธโดยเจ้าแห่งวายุ ทฤษฎีแรกถูกปฏิเสธเนื่องจากความผิดพลาดของเนื้อหา ส่วนอีกทฤษฎียังขาดบทพิสูจน์ในการทดลอง แต่ว่า ข้าคิดว่าคนที่เสนอทฤษฎีนี้คงแนบผลการทดลองไปแล้ว ถ้ามี แต่ถ้าไม่มี นั่นหมายความว่าผลการทดลองขัดแย้งกับตัวทฤษฎีเอง” ร็อคไม่ปล่อยให้บีตย์มีโอกาสโต้แย้ง

บีตย์ที่กำลังเกรี้ยวกราดและจนตรอกรู้สึกยากที่จะยอมรับเรื่องนี้ แล้วเขาก็ตะโกนออกมา “เจ้าจะอธิบายเรื่องการเลี้ยวเบนผ่านช่องคู่และผ่านจุดบรูคด้วยทฤษฎีอนุภาค!”

“นั่นไม่ใช่ประเด็นที่เราอภิปรายกันอยู่ตอนนี้ ไม่เอาน่ะ ไหนเจ้าลองอธิบายการทดลองความเร็วแสงของท่านประธานให้ข้าฟัง เราจะได้พิสูจน์ว่าอีเธอร์มีอยู่จริง! หากไม่มีอีเธอร์ ทฤษฎีคลื่นก็ไร้ประโยชน์ นอกจากนี้ ในวารสารอาร์คานา อาร์ทิลยังเสนอคะแนนอาร์คานาห้าหมื่นคะแนนให้กับทฤษฎีที่ใกล้เคียงกัน เขาต้องการให้จอมเวทที่สนับสนุนทฤษฎีคลื่นเหมือนเจ้าได้ใช้จินตนาการ! ‘จินตนาการ!’” ร็อคเลี่ยงคำถามของบีตย์และเน้นย้ำตรงคำว่า ‘จินตนาการ’

ความคิดในหัวของบีตย์เปลี่ยนไปแล้วเมื่อไม่มีการสนับสนุนจากทฤษฎีภาพแสง แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้

“แม้ว่าเรายังไม่มีทฤษฎีใหม่ในตอนนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะไม่มี! แล้วทำไมเจ้าถึงไม่อธิบายการทดลองเช่นการทดลองการเลี้ยวเบนของแสงผ่านช่องคู่ด้วยทฤษฎีอนุภาคก่อนล่ะ! นี่ก็เกินกว่าร้อยปีแล้ว!”

“ดื้อด้าน เจ้าก็แค่ยอมรับความจริง!” ร็อคพูดจาเย้ยหยันเสียงดัง

“ไม่ต่างกัน เจ้าควรเคารพการทดลองตามแบบคลาสสิกมากกว่านี้!” บีตย์เกรี้ยวกราด

การถกเถียงกันยืดยาวระหว่างร็อคกับอาจารย์คนอื่นๆ มักเริ่มเช่นนี้เสมอ พวกเขาจะพูดถึงเฉพาะสิ่งที่คิดว่าตนถูก แต่ไม่มีใครลองตอบคำถามของอีกฝ่าย ดูเหมือนจะไม่มี ใครหาข้อสรุปได้ แม้กระทั่งถึงวันสิ้นโลก

“ให้ตายเถอะ สายแล้ว!” ร็อคเริ่มกระวนกระวายเมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ในฤดูหนาว เขาเจ็บหัวใจเมื่อคิดว่าจะถูกหักคะแนนอาร์คานา

ร็อคจ้องบีตย์แล้วเหล่าอาจารย์คนอื่นเขม็ง หลังจากรู้ตัวว่ากำลังสาย “หยุดไร้สาระเสียที ไปขอรางวัลได้เลย ถ้าเจ้าพิสูจน์ได้ว่าการทดลองความเร็วแสงของท่านประธานไม่ถูกต้อง! ข้ารอให้เจ้ามารับคะแนนอาร์คานาห้าหมื่นคะแนนอยู่ แล้วแลกเป็นเหรียญทองแดง แล้วมาโยนใส่ทั่วตัวข้าได้เลย!

“อย่าทำเป็นหนุนทฤษฎีคลื่น ถ้าเจ้าเองยังทำไม่ได้!”

เขาหันหลังจากไปหลังจากพูดจบประโยค ไม่เปิดโอกาสให้บีตย์ได้ตอบโต้ อันที่จริงแล้ว เขารู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะจบการวิวาทะนี้ได้อย่างไร

บีตย์อยากจะเถียงกลับด้วยการทดลองคลาสสิก แต่ก็พบว่าร็อคได้หายไปแล้ว ความโกรธที่ไม่สามารถระบายออกมาได้ไม่ต่างจากเปลวไฟที่เผาไหม้ภายในใจเขา “โง่บัดซบ! งี่เง่า! ไร้สมอง!”

เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นทั่วนครอัลลิน อย่างไรก็ตาม มีเพียงจอมเวทกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่สนับสนุนทฤษฎีอนุภาค ซึ่งกำลังโต้เถียงอยู่กับผู้สนับสนุนทฤษฎีคลื่นที่มีมากมาย เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานจากการทดลองความเร็วแสง บางคนจึงใช้โอกาสนี้เล่นงานผู้สนับสนุนทฤษฎีคลื่น ซึ่งกำลังโกรธเกรี้ยวและไม่มีวิธีโต้กลับ

ข่าวดีข่าวเดียวก็คือจอมเวทซึ่งสร้างโลกแห่งปัญญาตามทฤษฎีคลื่นไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เนื่องจากการมีอยู่ของการทดลองแสงแบบคลาสสิค พวกเขาเชื่อว่าจะต้องมีทฤษฎีอื่นซึ่งรวมถึงอีเธอร์สามารถอธิบายการทดลองความเร็วแสงของดักลาสได้

….

ในอาณาจักรแห่งแม่เหล็กไฟฟ้า บรูคกำลังอ่านวารสารอาร์คานาฉบับล่าสุด

ขณะกำลังเช็ดถูวิก บรูคก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ข้าไม่คิดว่าจะมีอาจารย์คนไหนพิสูจน์ด้วยวิธีนี้… ช่างน่าเหลือเชื่อมาก…”

เขาเปิดวารสารไปหน้าสุดท้ายและอ่านข้อความ ‘ประกาศสงคราม’ ของอาร์ทิลโดยละเอียด แล้วเขาก็ส่ายศีรษะ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่หน้าต่าง ขณะกำลังจ้องมองสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่บิดเบี้ยว กระแสไฟฟ้าที่กำลังวิ่ง ประกายไฟฟ้าที่กระโดดไปมา และคลื่นไฟฟ้าที่มองไม่เห็น เขาก็พูดพึมพำออกมา

“การทดลองความเร็วแสงมีปัญหาอะไรกันแน่?”

“ผลก็ถูกต้อง แต่อีเธอร์อาจยังอยู่ อีเธอร์อาจอยู่ไปทั่วท้องฟ้าในแบบที่เราคาดไม่ถึง”

“เราน่าจะขอบคุณอาจารย์คนนั้นสำหรับการทดลอง ช่วยให้เราตัดความคิดหลายๆ เรื่องเกี่ยวกับอีเธอร์ออกไปได้ เราก็ใกล้เคียงความจริงยิ่งขึ้น”

“แล้วการมีอยู่ของอีเธอร์สอดคล้องกับผลการทดลองอย่างไรกัน?” บรูคปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความคิด

หากยังไม่มีหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ มหาจอมเวททุกคนก็ยังคงต้องจำทนอยู่กับสีของพวกเขาต่อไป

ในโรงละครแห่งการทำลายล้าง

โอลิเวอร์ คอนสแตนติน กำลังนอนเอกเขนกสบายใจอยู่บนเก้าอี้ในชุดนอน ฟรอเรนเซีย ภรรยาของเขา กำลังป้อนองุ่นให้เขากินขณะที่เขากำลังอ่านวารสารอาร์คานา

“นี่ อาร์ทิลท้าทายพวกเรา?” โอลิเวอร์ยิ้มและมองหน้าฟรอเรนเซีย

เพียงแค่ประมาณสิบสองปีหลังจากบรูคกลายเป็นลูกศิษย์ของดักลาส อาร์ทิลก็กลายเป็นลูกศิษย์อีกคนของดักลาส เขาจะมีภูมิหลังอันยาวนานและคุ้นเคยกับเรามหาจอมเวท และผู้วิเศษชั้นตำนานเป็นอย่างดี

ฟรอเรนเซียเลิกคิ้วขึ้น “ท้าทาย? ท้าทายเรื่องอะไร?” สามีของนางเอาวารสารของนางไปอ่าน หลังจากที่นางพึ่งอ่านบทความแรกของดักลาสจบ

โอลิเวอร์พูดหลังจากพึมพำบทละครโอเปร่ามาสองวรรค “ขอเสนอรางวัลให้กับทฤษฎีที่สามารถอธิบายการทดลองความเร็วแสง แต่ต้องเป็นทฤษฎีที่รวมเอาอีเธอร์ไว้ด้วย”

“ฮ่าๆ ก็ดีไม่ใช่หรือ?” ฟรอเรนเซียมีรอยยิ้มทรงเสน่ห์บนใบหน้า ในฐานะจอมเวทระดับสูง นางสามารถทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดาวจำลองของดักลาสและการทดลองความเร็วแสงได้อย่างรวดเร็ว และในฐานะนักเวทผู้เชี่ยวชาญสายธาตุ นางก็ยังสนับสนุนทฤษฎีอนุภาค ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎีคลื่นที่โอลิเวอร์สนับสนุน

โอลิเวอร์ยิ้ม เขายกมือขึ้นบีบปลายจมูกของฟรอเรนเซีย

“ทำไม? เจ้าจะเถียงกับข้าอีกแล้วหรือ? เรื่องทฤษฎีคลื่นและทฤษฎีอนุภาค?”

“แน่นอน ข้าว่าท่านไม่สามารถอธิบายการทดลองความเร็วแสงได้” ฟรอเรนเซียมีความมั่นใจสูง เมื่อพูดถึงทฤษฎีอาร์คานา

“ไม่มีปัญหา ถ้าท่านอธิบายไม่ได้ ท่านต้องทำอะไรให้ข้าอย่างหนึ่ง” ฟรอเรนเซียช่วยทำให้การถกเถียงเรื่องทฤษฎีกับโอลิเวอร์กลายเป็นเรื่องพนันสนุกสนานระหว่างคู่สามีภรรยา นี่ช่วยให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข แม้จะมีความคิดเห็นเรื่องทฤษฎีต่างๆ แตกต่างกัน

โอลิเวอร์ยืดหลังตรงและยิ้มออกมา “ข้าว่าข้ามีแรงบันดาลใจแล้วล่ะตอนนี้!”

ลอเร็น เจ้าของรางวัล ‘เหรียญจันทราสีเงิน’ และผู้ทรงภูมิในสาขาแม่เหล็กไฟฟ้า จ้องมองวารสารตรงหน้าเขาอย่างเศร้าสร้อย

“เจ้าชั่วอาร์ทิล!” เขาตะโกนออกมาเบาๆ

ไม่เพียงแต่จะสนับสนุนแนวคิด ‘สารัตถนิยมแห่งพลังงาน’ แต่เขายังเห็นด้วยกับทฤษฎีคลื่น ทั้งสองทฤษฎีนี้ไม่มีอะไรขัดแย้งกัน เนื่องจากทฤษฎีพลังงานเป็นเรื่องของสสาร ส่วนอีกทฤษฎีหนึ่งเป็นเรื่องของแสงและพลังวิญญาณ เขาเชื่อแม้กระทั่งว่าคลื่นเป็นเพียงวิธีเดียวที่แสดงถึงพลัง นอกเหนือจากสสาร

“เจ้าชั่วนอร์แมน เจ้าชั่วลูเซียนา เจ้าชั่วลูเซียน!” เขาไม่กล้าพูดสบถถึงดักลาสและเฟอร์นันโด แต่เขาสาปแช่งทุกคนที่อยู่ในรายชื่อกิตติกรรมประกาศของดักลาส

เมื่อสบถเสร็จสิ้น เขาก็เริ่มตั้งสมาธิอ่านบทความอีกครั้ง เขาเดินวนไปรอบห้องและพยายามหาวิธีอธิบายทุกๆ อย่าง

จอมเวททุกคนที่เชื่อในทฤษฎีคลื่นและอยู่ในระดับสูงกว่าระดับกลางจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อที่จะอธิบายการทดลอง หลังจากสงบสติอารมณ์ลง

อย่างไรก็ตาม ลูเซียนยังคงไม่พูดอะไรออกมาในตอนนี้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากเนื่องจากในสายตาของทุกคนแล้วลูเซียนชอบให้มีการโต้แย้งและแก้ปัญหาที่ยากๆ เขาไม่ได้แสดงความเห็นชื่นชมต่อทั้งทฤษฎีคลื่นและทฤษฎีอนุภาค

เมื่อสภาเวทมนตร์เข้าสู่การสงครามน้ำลายระหว่างผู้สนับสนุนทฤษฎีคลื่นและผู้สนับสนุนจัดเรียงอนุภาคอีกครั้ง ดาวจำลองดวงที่สองก็โคจรรอบโลกได้สำเร็จ และดาวสื่อสารดวงที่สาม ก็เข้าสู่วิถีการโคจรอย่างลับๆ บริษัทโทรศัพท์และโทรเลขอัลลินก็ก่อตั้งขึ้น

สงครามระหว่างทฤษฎีมีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อถึงสิ้นเดือนมกราคม ขณะที่ลูเซียนได้รับคำเชิญจากกลุ่มหอคอย เลฟสกีและลูเซียนจะได้รับรางวัล ‘คทาอาร์คานา’ ณ สำนักงานใหญ่ของกลุ่มหอคอยในนครอัลลิน

รถม้าที่บรรทุกลูเซียน ลาซาร์ และ อีกหลายๆ คนจากห้องทดลองของสถาบันอะตอมก็มาหยุดเทียบตรงทางเข้า และพบกับเลฟสกีซึ่งมาถึงเกือบจะเวลาเดียวกัน

“สวัสดีขอรับ เลฟสกี” ลูเซียนทักทายเลฟสกีเมื่อเขาลงจากรถม้า

เลฟสกีมีรอยยิ้มที่ข่มขืนบนใบหน้า

“แย่จริงๆ ระบบเลขคณิตใหม่ใช้ในการวิเคราะห์ยากมาก และสหายของข้าต่างโต้แย้งเกี่ยวกับทฤษฎีคลื่นและอนุภาค ข้าแค่อยากจะอยู่อย่างสงบๆ บ้าง”

ลูเซียนพูดอะไรไม่ออก เนื่องจากเขาไม่คิดว่าจะมาได้ยินเรื่องสงครามน้ำลายที่นี่อีก