บทที่ 1792+1793

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1792 คิดหาเบาะแสจากเขา

อย่างเช่นคนกลุ่มนั้นในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ กู่ฉานโม่ก็คิดไม่ถึงว่าที่แท้เทพศักดิ์สิทธิ์คือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย และตบศีรษะตัวเองด้วยความตื่นเต้น! ขณะที่เขาตื่นเต้นก็ออกมายืดอกขอรับเป็นสักขีพยานในงานแต่ง อาสาจัดการงานวิวาห์แห่งศตวรรษนี้ด้วยตัวเอง…

……

พิธีแต่งงานถูกกำหนดขึ้นในวันที่สามเดือนสาม วันบุปผางามยามวสันต์

งานมงคลของเทพศักดิ์สิทธิ์ย่อมต้องมีการเตรียมการที่ยิ่งใหญ่อลังการ ไม่รู้มีคนมากมายเท่าไรเสนอตัวขอจัดการงานนี้ แม้แต่จักรพรรดิของสามอาณาจักรก็มาด้วย!

จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเฟยซิงคือน้องชายของหรงเจียหลัว ตอนที่หรงเจียรัวยังมีชีวิตอยู่รักและตามใจเขามาก ความสามารถรอบด้านทั้งบุ๋นและบู๊ เพียงแต่ตอนนั้นเขาอายุยังน้อย อีกทั้งยังมีพี่ชายที่ยอดเยี่ยมเหลือเกินบดบังแสงเจิดจรัสของเขา หากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายเช่นนี้ขึ้น ตำแหน่งจักรพรรดิคงไม่ตกมาถึงมือเขาแน่

เขาคือคนที่ตี้ฝูอีสนับสนุนและปลุกปั้นมากับมือ ปีนี้อายุยี่สิบแล้ว หลังจากขึ้นครองราชย์ก็สร้างคุณประโยชน์แก่หมู่ประชามากมาย นับว่าเป็นจักรพรรดิที่ดี

สำหรับงานวิวาห์ของเทพศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ เขากระตือรือร้นจัดการเองทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งใดล้วนเลือกใช้แบบที่ดีที่สุด แม้แต่กู้เซี่ยเทียนยังต้องชิดซ้าย ไม่ทำให้ว่าที่เจ้าสาวอย่างกู้ซีจิ่วต้องกังวลใจเลย

พูดกันตามจริงแล้ว กู้ซีจิ่วไม่ได้เป็นกังวลเรื่องงานวิวาห์เลยจริงๆ

ตอนนี้ในหัวของเธอคิดเพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรให้ยืดอายุขัยของตี้ฝูอีได้…

เธอยุ่งมาก มัวยุ่งอยู่กับการฝึกฝนวิชาเทพศักดิ์สิทธิ์ ยุ่งกับการแสดงความรักกับตี้ฝูอี และยุ่งกับการแสวงหาทุกวิถีทางในการยืดอายุขัย

ส่วนการศึกษาวิชาเทพศักดิ์สิทธิ์ ในตอนแรกเธอปฏิเสธอย่างจริงจัง แต่หยกนภาบอกกับเธอว่าวิถีสวรรค์ไม่อาจฝ่าฝืนได้ ไม่ว่าเธอจะศึกษาหรือไม่ก็ตาม เรื่องราวก็จะดำเนินไปตามสิ่งที่ควรต้องเป็น เธอใช้วิธีนี้มาขัดขวางก็ไร้ประโยชน์…

จวบจนตอนนี้ เธอเพิ่งจะรู้ว่าหยกนภาติดต่อกับลิขิตสวรรค์…

เธอจึงเค้นถามเรื่องราวของลิขิตสวรรค์กับมันทันที ทว่าหยกนภาก็ได้แต่พูดย่อๆ ไม่บอกเล่ารายละเอียด กล่าวว่ามันเพียงแค่อาศัยสัญชาตญาณรับสัญญาณของลิขิตสวรรค์เท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าลิขิตสวรรค์อยู่ที่ใด ใช้วิธีใดส่งสารกับมันนั้น มันก็ยังมึนงงเช่นกัน…

เรียกได้ว่าลิขิตสวรรค์ก็คือลิขิตของฟ้า

ลิขิตฟ้ามิอาจฝ่าฝืน หมายความเป็นเช่นนี้

กู้ซีจิ่วนึกสงสัยยิ่งนักว่าลิขิตสวรรค์ที่เรียกกันนี้แท้จริงก็คือท่านเทพบางองค์ของดินแดนเบื้องบน เธอจึงมีความคิดจะขึ้นไปดินแดนเบื้องบนเพื่อลองเสี่ยงดวงสักครั้ง ทว่าเธอหาเส้นทางไปยังดินแดนเบื้องบนไม่พบ…

ระหว่างนี้ เธอเคยพาเจ้าหอยยักษ์ไปหาหลงโม่เหยียน คิดหาเบาะแสจากเขา

แน่นอนว่าหลงโม่เหยียนไม่ยอมพูดอะไรเลย แต่ข้างกายกู้ซีจิ่วมีเจ้าหอยยักษ์อยู่ เมื่อเจ้าหอยยักษ์ลงมือ หลงโม่เหยียนมีความลับอะไรก็ไม่อาจปิดบังไว้ได้แล้ว

แต่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะขึ้นไปยังดินแดนเบื้องบนได้อย่างไร ในความทรงจำของเขา เขาเคยเป็นองค์ชายสักคนของดินแดนเบื้องบน เมื่อเกิดจิตนึกรู้ จู่ๆ ก็จุติลงมายังทวีปแห่งนี้ กลายเป็นหลงซื่อจื่อ

แม้แต่ฐานะของตัวเองเป็นใครเขาก็ยังไม่รู้เลย ประหนึ่งอยู่ในภวังค์ก็ไม่ปาน

วิธีการนี้ถูกตัดออกไป ทว่ากู้ซีจิ่วยังไม่ยอมล้มเลิก เธออดไม่ได้ถามตี้ฝูอีว่าเคยสอบสวนเซียนหญิงลี่หวางหรือไม่ นางยอมคายความลับของดินแดนเบื้องบนหรือไม่?

ตี้ฝูอีทอดถอนใจ

ยามนั้นเขาย่อมเคยสอบสวนนาง อีกทั้งเขายังมีวิธีทำให้เซียนหญิงลี่หวางผู้นั้นพูดความจริงออกมา แต่นางถูกปลดลงมายังดินแดนเบื้องล่าง

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถูกเทพผู้ดูแลดินแดนเบื้องบนถีบลงมาจากดินแดนอีกแห่งหนึ่ง

เบื้องหน้าของนางมืดมิดไม่รู้อะไรทั้งสิ้น เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในทวีปนี้แล้ว…

ซึ่งก็หมายความว่านางไม่รู้ว่าเส้นทางอยู่ที่ใด

ความจริงตี้ฝูอีเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ยิ่งกว่ากู้ซีจิ่วเสียอีก เขาย่อมต้องการไปยังเส้นทางสู่ดินแดนเบื้องบนสายนี้ หลายปีมานี้เขาหาคนที่คล้ายๆ กับหลงโม่เหยียนพบแล้วหลายคน เคยแอบซักถามแล้วหลายหน ส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างไปจากสิ่งที่ได้รู้จากหลงโม่เหยียน

——————————————————————-

บทที่ 1793 นางมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย

“จะต้องมีสักทาง! อีกทั้งคนที่ลงมาจากดินแดนเบื้องบนจะต้องไม่ได้มีเพียงพวกหลงโม่เหยียนไม่กี่คนนี้แน่ น่าจะยังมีอีก ไม่แน่พวกเขาอาจรู้ก็ได้!” กู้ซีจิ่วกระชับกำปั้น

ตี้ฝูอีโอบกอดเอวของนางแล้วพยักหน้า “อืม ข้าก็กำลังตามหาอยู่”

ให้ความหวังนางแม้เพียงเล็กน้อย ย่อมดีกว่าสิ้นหวังทุกทาง

นางกลับมาอยู่ข้างกายเขาได้แปดวันแล้ว ในแปดวันนี้นางตัวติดหนึบกับเขาทุกวัน แทบจะไม่เคยนอนหลับอย่างไร้ความกังวลเลย ไม่ว่าเมื่อใดที่เขาลืมตาขึ้นมาก็มักจะเห็นนางตื่นอยู่เสมอ ลืมตาจ้องมองเขาราวกับกลัวว่าเขาจะจากไปอย่างกะทันหัน…

หลายวันมานี้เขาไม่เคยเห็นนางหลับสนิทเลยสักครั้ง!

แน่นอนว่านางย่อมระแวดระวังตัวเป็นอย่างมาก บ่อยครั้งยามเขาลืมตาขึ้น นางมักจะหลับตาแสร้งว่าหลับอยู่…

ทว่าแสร้งหลับกับการหลับจริงย่อมแตกต่าง ลมหายใจ การเต้นของหัวใจ และชีพจร…ในยามตื่นกับยามหลับใหลนั้นต่างกัน นางอยู่ในอ้อมกอดของเขา ไฉนเลยเขาจะสัมผัสไม่ได้? การแสร้งหลับจึงไม่อาจปิดบังเขาได้เลย…

เขาเข้าใจว่านางหวาดกลัว กลัวที่จะเสียเขาไป…

เมื่อเวลาลงทัณฑ์กำลังใกล้เข้ามา ตัวคนนับวันก็จะยิ่งตึงเครียด เช่นเดียวกับบุคคลที่ถูกตัดสินประหารชีวิต…

นางอาลัยอาวรณ์เขา! นางรู้สึกไม่ปลอดภัย!

เขานั้นรู้ดี

นางกำลังเสาะหาทุกวิถีทางเพื่อรั้งเขาไว้ เรื่องนี้เขาเองก็รู้ดี

นางคล้ายกับกลัวว่าตัวเองจะทำให้เขากังวลใจ ยามใดอยู่ข้างกายเขา นางจะพูดคุยยิ้มแย้มกับเขาเหมือนเคย และเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่พออยู่ในมุมที่ไม่มีผู้ใดเห็น นางก็เหมือนกับสี่ทูตที่วิตกกังวล ซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด…

นางทะนุถนอมเวลาทุกชั่วขณะที่อยู่กับเขา แทบอยากจะดึงหางของเวลาเอาไว้ไม่ให้มันวิ่งไปข้างหน้า

ความรู้สึกเช่นนี้ช่างน่าอึดอัด ตี้ฝูอีย่อมเข้าใจดี แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้…

เขาจึงต้องให้ความหวังแม้เพียงเล็กน้อยกับนาง เพื่อให้นางสู้ต่อไป อย่างน้อยนางจะได้ไม่เสียสติระหว่างที่รอ

หัวใจประหนึ่งถูกไม้ชิงชันทิ่มแทง ทั้งแสบทรวง พองโต และเจ็บปวด

เขาทำได้เพียงกอดนางแนบแน่น มองขอบตาดำคล้ำบนดวงหน้าของนาง จุมพิตลงที่ปลายจมูกของนาง “พรุ่งนี้เป็นวันมงคลของเราสองคน พักผ่อนเถิด ข้าอยากเห็นเจ้าสาวที่งดงาม”

เขาพูดพลางลูบจุดอวินซุ่ยให้นาง ฮัมบทเพลงกล่อมนางเข้านอน

กู้ซีจิ่วชินกับการกอดแขนข้างหนึ่งของเขา มุดข้างแขนของเขาเหมือนแมวที่กระหายความอบอุ่น “ฝูอี จู่ๆ ข้าก็ไม่สนใจการแต่งงานแล้ว พรุ่งนี้ข้าอยากไปทวีปอวิ๋นชิง ข้าได้ยินเมิ่งซย่าบอกว่าที่นั่นมีคนประหลาดผู้หนึ่ง ชอบสวมกางเกงในวิ่งบ้าคลั่งท่ามกลางอากาศหนาวเย็น พร่ำบอกอยู่บ่อยครั้งว่าเขาเคยเห็นคนของดินแดนเบื้องบน…”

ตี้ฝูอีจนปัญญา งอนิ้วมือเคาะไปที่หน้าผากของนางคราหนึ่ง “นั่นมันคนวิกลจริต! โง่งม! งานวิวาห์ในวันพรุ่งนี้เป็นสิ่งที่ข้าโหยหามาแสนนาน เจ้ากล้าหนีก็ลองดู!”

กู้ซีจิ่วลูบหน้าผากของตัวเอง เอ่ยอย่างไม่ยอมตัดใจว่า “ผู้อื่นหัวเราะที่ข้าสติฟั่นเฟือน ข้าหัวเราะที่คนอื่นมองไม่ปรุโปร่ง ท่านเคยได้ยินประโยคนี้หรือไม่ มียอดฝีมือหลายคนชอบแกล้งเป็นบ้าใบ้ บางทีเขาอาจจะเป็นของจริง…”

นางในตอนนี้ขอเพียงได้เบาะแสที่มีความหวังแม้เพียงเล็กน้อยมาก็จะคว้าไว้ไม่ยอมปล่อย บางครารู้แก่ใจดีว่าเป็นเรื่องไม่จริงก็ยังอยากจะลองดู

ตี้ฝูอีจุมพิตนางอย่างไม่ลังเล “ดูท่าเจ้าน่าจะยังไม่เหนื่อย!”

ดังนั้น ตี้ฝูอีจึงจัดกิจกรรมที่ค่อนข้างผลาญกำลังให้นางอีกยกหนึ่ง ซ้ำยังบ้าคลั่งมากอีกด้วย แทบจะเปลี่ยนท่วงท่าเกือบทั้งหมด…

ในที่สุดก็ทำให้นางหยุดคิดเรื่องจะทิ้งงานแต่งไปหาคนวิกลจริตนั่น แล้วนอนหลับสนิทอยู่อ้อมกอดของเขาได้สำเร็จ

ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ก่อนพิธีแต่งงานคนทั้งสองไม่อาจอยู่ร่วมหอกันได้ แต่กู้ซีจิ่วบอกว่าต้องการทำลายขนบธรรมเนียมดั้งเดิม ยืนกรานจะย้ายเข้ามาอยู่ในจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายของเขา…

————————————————