ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 47 กระบี่มหาสมุทรขุนเขา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ฝนตกหนักไม่ขาดสาย เถิงเสี่ยวหมิงลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล เช็ดโลหิตที่มุมปาก แล้วจึงมองดูกระบี่โลหะในมือของเฉินฉางเซิงอย่างตะลึงงัน คิดในใจ นี่คือกระบี่อะไรกัน? ไฉนหนักจนน่ากลัวขนาดนี้ มีอานุภาพดังสายฟ้าฟาด มีเจตจำนงกระบี่แข็งแกร่งเกินคาด และเหตุใดจึงมาปรากฏอยู่หน้าสุสาน?

เฉินฉางเซิงรู้ว่ากระบี่โลหะเล่มนี้มาจากสระกระบี่ แม้จนถึงตอนนี้ เขาเพียงรู้ว่าสระกระบี่อยู่ในทุ่งหญ้าที่ฝนเทลงมาอย่างหนักแห่งนี้ แต่กลับไม่รู้ตำแหน่งที่ชัดเจน ขณะเดียวกัน ตอนที่จับด้ามกระบี่ เขาก็รู้ความเป็นมาของกระบี่โลหะเล่มนี้ด้วย

ในประวัติเส้นทางกระบี่ กระบี่โลหะเล่มนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ชื่อว่า กระบี่มหาสมุทรขุนเขา

สมัยก่อน ตอนคัมภีร์สวรรค์กลายเป็นลูกอุกกาบาตหลายลูก ลุกเป็นกระแสอัคคีตกลงสู่โลก ที่ใจกลางดินแดนต้าลู่ ซึ่งก็คือสุสานเทียนซูในปัจจุบันนั้น นอกจากศิลาจารึกเหล่านั้นแล้ว ยังมีเศษหินอุกกาบาตที่ตกลงมาอีกมากมาย คนในสมัยก่อนจึงเก็บเศษหินอุกกาบาตเหล่านี้ไว้ แล้วใช้ทุกวิธีสกัดแร่ออกจากหิน จนในที่สุดก็สกัดได้แร่โลหะ หรือก็คือทองแท้อุกกาบาตในคำเรียกขาน ซึ่งไม่เหมือนกับกับโลหะอื่นๆ ในดินแดนต้าลู่ เพราะมันทั้งหนัก ทั้งทึบ ทั้งทนทาน ทั้งแข็งแรง เป็นวัสดุชั้นเลิศที่ใช้หล่อกระบี่ก็ว่าได้ ซึ่งจริงๆ แล้วแร่โลหะส่วนใหญ่ในต้าลู่ ถูกนำมาใช้ทำกระบี่ทั้งสิ้น

รวมทั้งกระบี่โลหะที่ทั้งดำทั้งหนักในมือเฉินฉางเซิงตอนนี้ด้วย

มันหนักดุจขุนเขา ทรงพลังดุจมหาสมุทร จึงชื่อกระบี่มหาสมุทรขุนเขา

คานหาบเหล็กในมือเถิงเสี่ยวหมิงมีส่วนผสมของทองแท้อุกกาบาตเพียงสี่เหลี่ยง* ก็ถือว่าหนักมากแล้ว นับประสาอะไรกับกระบี่โลหะเล่มนี้ที่หล่อมาจากแร่โลหะอุกกาบาตทั้งหมด เช่นนี้มันควรจะหนักมากเท่าไร มีอานุภาพที่น่ากลัวมากเท่าไร?

กระบี่มหาสมุทรขุนเขามีชื่อเสียงมากในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะอยู่ในสมรภูมิรบหรือนอกวังถง กระบี่เล่มนี้และเจ้าของของมันเผชิญทั้งสุขและทุกข์นับครั้งไม่ถ้วน เผชิญกับความเป็นความตายที่ยิ่งใหญ่สง่างาม ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่ากระบี่โลหะได้ฟาดฟันผู้แข็งแกร่งตกตายไปมากน้อยเท่าไหร่ แต่ผู้ที่ทำให้กระบี่มหาสมุทรขุนเขาฉายแววเจิดจรัสได้มากสุดก็คือ เจ้าของคนสุดท้ายในบันทึก

พันปีก่อน ดินแดนต้าลู่ปรากฏผู้แข็งแกร่งผู้หนึ่งนามซีเค่อ เขามีสายเลือดจักรพรรดิขาว ว่ากันว่าวิชาที่เขาใช้ในการบำเพ็ญเพียรก็คือวิชานิกายพุทธที่หายสาบสูญไปนานแล้ว บวกกับพละกำลังเทพที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ลำพังพละกำลังและพลังปราณก็สามารถอยู่ในสามอันดับแรกของประวัติศาสตร์ได้อย่างสบายๆ เมื่อเขาชูกระบี่โลหะอันหนักอึ้งในมือขึ้น ก็สามารถฟาดฟันศัตรูได้นับหมื่น

มีเพียงผู้แข็งแกร่งเช่นนี้เท่านั้น จึงคู่ควรกับกระบี่มหาสมุทรขุนเขา ด้วยสามารถทำให้มันสำแดงพลังทั้งหมดออกมา และมีเพียงกระบี่มหาสมุทรขุนเขาเท่านั้น ที่คู่ควรกับผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานเช่นนี้ โดยไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วซีเค่อประสบความสำเร็จในการกอบกู้ชื่อเสียงให้กระบี่มหาสมุทรขุนเขา หรือว่ากระบี่มหาสมุทรขุนเขาทำให้ซีเค่อเป็นผู้ทรงอิทธิพลฝ่าลมฝนในต้าลู่สมัยนั้น สรุปแล้ว เมื่อกระบี่โลหะกับผู้แข็งแกร่งพบเจอกัน ก็มีแต่คำว่าชนะ

ในต้าลู่ ซีเค่อถือกระบี่มหาสมุทรขุนเขาฟาดฟันจนศัตรูปราชัยติดต่อกัน ตอนนั้น เจ้าสำนักต้นไหวกับหัวหน้าพรรคฉางเซิงก็ล้วนปราชัยภายใต้น้ำมือของเขา เขาจึงหยิ่งผยองลำพอง กระทั่งมีคนคิดว่าเขาบำเพ็ญเพียรบรรลุขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่สุดท้าย…เขาก็เหมือนผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานมากมายในตอนนั้น ที่เดินเข้าสวนโจวอย่างภาคภูมิใจ และเดินออกจากสวนโจวอย่างทุกข์ใจเจียนตาย จากนั้นมากระบี่มหาสมุทรขุนเขาก็มิได้ปรากฏอยู่เคียงข้างเขาอีก ผ่านไปสามปี ขณะอยู่นอกเมืองอวิ๋นหยาง ในความขัดแย้งครั้งหนึ่งที่บังเกิดขึ้น เขาก็ได้เสียชีวิตลงด้วยน้ำมือของคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งมีชื่อเสียงขึ้นมา…

ข้อสงสัยในตอนนั้น จนถึงตอนนี้ดูเหมือนได้คำตอบในที่สุดว่า เขาที่ไม่มีกระบี่มหาสมุทรขุนเขา คล้ายจะเป็นเพียงผู้แข็งแกร่งธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น แต่ใต้เท้าสังฆราชกลับมีความคิดเห็นไม่เหมือนใคร ท่านว่า ที่ซีเค่อพ่ายแพ้ให้กับโจวตู๋ฟู สิ่งสำคัญสุดที่เสียไปไม่ใช่กระบี่ แต่เป็นจิตใจที่หยิ่งทะนงของเขาต่างหาก

และนี่ก็คือกระบี่มหาสมุทรขุนเขา ซึ่งถ้ามีการจัดอันดับสิบกระบี่เลื่องชื่อในโลก ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ตัดสิน กระบี่โลหะเล่มนี้ย่อมต้องเป็นหนึ่งในนั้นเสมอ เนื่องจากกระบี่มหาสมุทรขุนเขาทำมาจากแร่โลหะหายาก ใช้เวลานานในการหล่อหลอม จึงเป็นของล้ำค่า ไม่ว่าใครได้ครอบครองกระบี่โลหะเล่มนี้ ล้วนต้องตื่นเต้นดีใจจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อในความโชคดีของตัวเอง เฉินฉางเซิงก็ดีใจมาก คิดในใจว่าถ้าสามารถนำมันออกไปจากสวนโจว ให้เซวียนหยวนผ้อใช้น่าจะเหมาะสมที่สุด ส่วนเจ๋อซิ่วที่พูดเสมอว่าอยากได้กระบี่สักเล่มนั้น ควรเป็นกระบี่อะไรดี?

เขาในตอนนี้เพิ่งสังเกตเห็นว่า ส่วนปลายสุดของกระบี่โลหะแท้จริงแล้วไม่ตรงตามอย่างที่ควรเป็น แต่ที่ลือกันว่ากระบี่มหาสมุทรขุนเขาไม่คมก็ไม่ถูกต้องนัก พูดก็พูด ศาสตราเทพเช่นนี้ย่อมซ่อนความคมไว้ในความทื่อ เพียงแต่มันถูกตัดทิ้งไป…ใช่ดาบเล่มนั้นหรือไม่ที่ตัดมัน? ตัดกระบี่มหาสมุทรขุนเขาไปได้ส่วนหนึ่ง ดาบเล่มนั้นต้องแข็งแกร่งเพียงใด คนผู้นั้นต้องแข็งแกร่งเพียงใด?

……

……

กระบี่มหาสมุทรขุนเขามิได้ปรากฏให้เห็นมาเกือบพันปีแล้ว เหลือไว้เพียงคำเล่าลือ ดังนั้นเถิงเสี่ยวหมิงจึงจำมันไม่ได้เมื่อแรกเห็น แต่ก็คุ้นๆ อยู่ และพอนึกถึงอิทธิฤทธิ์ดุจขุนเขาดั่งมหาสมุทรที่กระบี่โลหะสำแดงออกเมื่อครู่ เขาจึงคาดเดาความเป็นมาของมันได้ทันที ตกตะลึงจนพูดไม่ออก พลางขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

หนานเค่อก็รู้ความเป็นมาของกระบี่โลหะแล้วเช่นกัน จึงเปล่งเสียงใสๆ ที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองไม่คลาย แหวกม่านฝน “เป็นไปไม่ได้! ทำไมคนอย่างเจ้าถึงทำให้กระบี่มหาสมุทรขุนเขาปรากฏตัวออกมา!”

เฉินฉางเซิงไม่พูดจาอะไร หยิบกระบี่โลหะส่ายไปมาในสายฝนชี้หน้านาง การกระทำมีน้ำหนักกว่าคำพูด ถ้ากระบี่มหาสมุทรขุนเขามิได้ปรากฏขึ้นเพราะเขา เหตุใดจึงอยู่ในมือเขาได้?

“อีกอย่างเจ้าก็ไม่รู้จักเพลงกระบี่มหาสมุทรขุนเขา ทำไมถึงสำแดงพลังกระบี่ออกมาได้!” หนานเค่อถามคำถามสำคัญ เช่นเดียวกับที่พูดไปเมื่อครู่ ต่อให้กระบี่มหาสมุทรขุนเขาและเจตจำนงกระบี่ยังอยู่ แต่ถ้าไม่มีเพลงกระบี่ที่เหมาะสม ลำพังการบำเพ็ญเพียรขั้นทะลวงอเวจีของเฉินฉางเซิง เหตุใดจึงใช้กระบี่จู่โจมจนขุนพลมารผู้หนึ่งพ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย?

เฉินฉางเซิงตอบอย่างไม่มีท่าทีปิดบัง “ข้าอ่านหนังสือมามาก”

นี่เป็นคำถามที่โก่วหานสือเคยถามเขาในงานชุมนุมไม้เลื้อย และเป็นคำตอบที่เขาตอบโก่วหานสือ อีกทั้งมีเพียงเขาและโก่วหานสือเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอที่จะพูดคุยกัน คนอื่นๆ ล้วนไม่เข้าใจ เนื่องจากไม่มีใครอ่านหนังสือมากไปกว่าเขาและโก่วหานสือ

คัมภีร์ลัทธิเต๋าสามพันมหามรรค ดุจดวงดาวบนท้องฟ้า งดงามดุจหยก และเปี่ยมวิธีการหลากหลาย วิธีการก็คือหนทางไปสู่ธรรม

พูดจบประโยคนี้ เฉินฉางเซิงพลันคิดถึงงานชุมนุมไม้เลื้อย คิดถึงจิงตู คิดถึงสำนักฝึกหลวง กรณีพิพาทที่เกิดขึ้นตามโอกาสล้วนเป็นความขัดแย้งทางความคิด ไม่เกี่ยวกับความเป็นความตาย ไม่แบ่งแยกมนุษย์กับมาร ไม่มีการหักหลังและลอบจู่โจมอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้นึกๆ ดูก็อดที่จะหัวเราะกรณีพิพาทเหล่านั้นไม่ได้ กลับน่ารักดีเมื่อเทียบกับเหตุการณ์คาวโลหิตในสวนโจว เช่นนี้จะไม่ให้รำลึกความหลังได้อย่างไรเล่า?

รอบๆ สุสานกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง จากการปรากฏตัวของกระบี่มหาสมุทรขุนเขาในตำนาน และจากการที่จู่ๆ เฉินฉางเซิงก็รู้วิธีใช้กระบี่ ที่สำคัญสุดคือ นี่ไม่ใช่เจตจำนงกระบี่ แต่เป็นกระบี่จริงๆ ไม่ค่อยมีคนรู้หรอกว่าในสวนโจวก็เคยปรากฏกระบี่ขึ้นหนึ่งเล่มก่อนจะถูกซูหลีนำออกไป ซึ่งสำหรับหนานเค่อและผู้แข็งแกร่งเผ่ามารแล้ว กระบี่โลหะที่เฉินฉางเซิงถืออยู่เป็นกระบี่เล่มแรกที่ปรากฏขึ้นตั้งแต่มีสวนโจวมา นี่หมายความว่าอะไร? นี่ถือเป็นครั้งแรก และครั้งแรกก็มักมาพร้อมกับเสียงสายฟ้าฟาดและการเปลี่ยนแปลงที่เขย่าขวัญสั่นประสาท

กระบี่สีดำอันหนักอึ้งนี้มาจากไหนกันแน่? มันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า หรือเป็นการบอกว่าสระกระบี่ก็กำลังจะปรากฏขึ้นเช่นกัน? กระบี่เลื่องชื่อตามคำร่ำลือเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นเรื่อยๆ หรือ? สิ่งที่ทำให้หนานเค่อไม่เข้าใจ กระทั่งแค้นเคืองก็คือ ไม่รู้ว่าเหตุใดสระกระบี่ต้องช่วยเหลือเฉินฉางเซิงด้วย นางหันมองไปยังทุ่งหญ้ามืดครึ้มรอบๆ สุสาน ปล่อยให้น้ำฝนชะล้างใบหน้าน้อยๆ ที่ขาวซีด พลางหรี่ตามองหาอยู่นานสองนาน ก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับสระกระบี่ นี่ทำให้นางเงียบงันไป

“หรือจะมีกระบี่ปรากฏขึ้นอีก? แล้วกระบี่เหล่านั้นยังจะช่วยเจ้าต่อหรือไม่? เหมือนเจตจำนงสุดยอดของกระบี่เล่มนั้นกับกระบี่โลหะที่จองหองเล่มนี้? ต่อให้พวกมันช่วย หรือเจ้ารู้จักเพลงกระบี่ทั้งหมด? ข้าไม่เชื่อ”

หนานเค่อกำลังนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ แล้วจึงยื่นมือทั้งสองข้างออกไปกลางสายฝน

ความเคลื่อนไหวของนาง ทำให้สาวใช้ทั้งสองคนที่ยืนตากฝนอยู่ด้านหลังนางพลันหน้าซีด โดยเฉพาะฮว่าชิวที่เห็นชัดว่าดวงตาอันงดงามทั้งสองข้างแสดงความเจ็บปวดยิ่ง จนพ่นโลหิตสายหนึ่งออกจากริมฝีปาก

ร่างเล็กของหนานเค่อสั่นเล็กน้อย คล้ายจะล้มลงกลางสายฝน แต่สุดท้ายก็ไม่ล้ม พลังปราณเย็นสุดขั้วสายหนึ่งแผ่ออกจากร่างนาง ผสมกับโลหิตที่ฮว่าชิวพ่นออกมา

โลหิตของฮว่าชิวเป็นสีเขียว และมิได้ถูกน้ำฝนชะล้าง พอผสมกับพลังปราณเย็นสุดขั้วของหนานเค่อ กลับกลายเป็นโลหิตที่เข้มข้นขึ้น อีกทั้งเปี่ยมพลังชั่วร้ายเย้ายวน คล้ายจะนิ่งแต่ก็ไม่นิ่ง บริเวณขอบคล้ายมีบางอย่างงอกออกมา

นั่นคือ ขนนกยูงเส้นหนึ่ง

เสียงพรึ่บดังขึ้นเสียงหนึ่ง! ขนนกยูงที่เหมือนกึ่งฝันกึ่งจริงเส้นนั้น พุ่งแหวกม่านน้ำฝน จู่โจมใส่เขา!

ขนนกยูงเส้นนี้ผสมกับเลือดแท้ของหนานเค่อ พอเจอกับลมก็เกิดการลุกไหม้เป็นเปลวไฟ ลุกโชนขณะแหวกอากาศ แม้แต่ฝนที่ตกหนักก็ยังไม่ทำให้เปลวไฟมอดลงแม้แต่น้อย กลับยิ่งทำให้ลุกโชติช่วงขึ้น!

ตั้งแต่หนีตายเข้ามาในที่ราบทุ่งหญ้า เฉินฉางเซิงรักษาสวีโหย่วหรงมาตลอดทาง จึงรู้ดีว่าขนนกยูงนี้น่ากลัวเพียงใด ไม่รู้ว่าร่มกระดาษทองจะสามารถต้านทานเลือดแท้ของนกยูงที่กำลังเผาไหม้ไปจนถึงพิษที่แฝงอยู่ในเลือดแท้ได้หรือไม่ นี่ทำให้เขาต้องระมัดระวังให้มาก

ต้องยอมรับว่า สัญชาตญาณการต่อสู้และการตัดสินใจของหนานเค่อน่ากลัวมาก มีความเป็นผู้ใหญ่และเหี้ยมโหดกว่าอายุจริงของนางมาก นางไม่คิดเสียดายเลือดแท้อันล้ำค่าในร่างกาย เพียงเพื่อต้องการต่อกรกับกระบี่และร่มของเฉินฉางเซิง กระบี่โลหะสีดำทรงพลังเป็นที่หนึ่ง ยโสดุจขุนเขามหาสมุทร จิตวิญญาณที่สูญเสียไปพลันแปรเปลี่ยน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในมือเฉินฉางเซิง เจตจำนงในร่มกระดาษทองของกระบี่เล่มนั้นก็ยิ่งคมกริบ แต่พิษกับเลือดแท้เป็นสิ่งที่กระบี่ตัดไม่ขาด เฉินฉางเซิงมิได้กังวลว่าตนจะถูกพิษ แต่ก็ไม่อยากเลอะโลหิตพิษแม้เพียงครึ่งหยด ในยามคับขัน เขาคิดอยู่หลายวิธีในการใช้กระบี่สองเล่มข้างกายกับร่มหนึ่งคันรับมือขนนกยูงนั่น แต่กลับพบว่าไม่มีวิธีใดสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าเขามีกระบี่เล่มนั้น ก็อาจแก้ปัญหานี้ได้

ตอนความคิดนี้ผุดขึ้น เขาก็รู้สึกว่าไร้สาระสิ้นดี เพราะไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด เขาขอมากเกินไป ไร้เหตุผลเกินไป เจ้าเป็นใคร คิดอยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ? ไม่มีใครรู้หรอกว่ากระบี่เล่มนั้นอยู่ที่ไหน ต่อให้อยู่ในสวนโจว แล้วเจ้าอาศัยอะไร…อาศัยอะไร? อาศัยตอนที่เขาต้องการหนึ่งเจตจำนงกระบี่ เจตจำนงกระบี่เล่มนั้นก็มาถึงข้างกาย อาศัยตอนที่เขาต้องการกระบี่หนักๆ กระบี่ที่หนักสุดในโลกอย่างกระบี่มหาสมุทรขุนเขาก็มาถึงข้างกายท่ามกลางสายฝน รอให้เขายกมือขึ้นจับมัน ตอนนี้เขาต้องการกระบี่เล่มนั้น ก็อาจเป็นไปได้ที่…กระบี่เล่มนั้นจะปรากฏขึ้น?

*หนึ่งเหลี่ยง เท่ากับ ห้าสิบกรัม