ตอนที่ 623 แลกตัวกับเขา
การที่มู่เหล่าหวางเฟยบันดาลโทสะมิใช่ว่าแสร้งทำแต่อย่างใด แต่นางคาดมิถึงว่าหอพิษกู่และเผ่าหมอเทวดาจะยังมีคนเหลือรอดอยู่มากมายเพียงนี้
อันหลิงเกอมิได้พาปี้จูไปด้วยแต่ไปเพียงลำพังโดยใช้รถม้า
หากคนพวกนั้นชั่วช้าจริง นางก็มิอยากให้ปี้จูต้องไปเสี่ยงอันตรายด้วย ดังนั้นการลดความลำบากได้คนหนึ่งก็ยังดี
หากนางมิได้กลับมาอีก อย่างน้อยปี้จูก็จะได้บอกเรื่องนางให้มู่จวินฮานได้รับรู้
ตอนมาถึงค่ายทหารนั้น อันหลิงเกอรู้สึกว่าหายใจได้อย่างยากลำบาก ตลอดสามวันสามคืนที่เดินทางมานางมิได้หยุดพักแม้แต่น้อย เปลี่ยนคนบังคับรถม้าไปแล้วถึงสามคนจึงมีเพียงนางคนเดียวที่เดินทางมาถึงนี่โดยไม่มีใครเปลี่ยนตัว
…
“เจ้า คืออันหลิงเกอใช่หรือไม่ ? ”
สายตาที่จ้องมองนางแตกต่างกันไป เป็นครั้งแรกที่อันหลิงเกอรู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดที่แปลกประหลาดเช่นนี้
ราวกับนางสัมผัสได้ว่าคนเหล่านี้มีสายเลือดเดียวกันกับตน
ความเป็นมาของมารดาและความสัมพันธ์กับหอพิษกู่นั้น อันหลิงเกอรู้สึกว่าอาจหาคำตอบได้จากที่นี่ก็ได้
แต่มิรู้ว่าเหตุใดภายในก้นบึ้งของหัวใจ อันหลิงเกอยังรู้สึกต่อต้านอยู่
“ใช่ ข้ามาตามหาสามี ! ”
สถานที่แห่งนี้ดูอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมากซึ่งแตกต่างจากความแร้นแค้นที่นางได้พบเห็นตลอดทางที่ผ่านมา ทว่าก็มิสามารถดึงดูดอันหลิงเกอได้แม้แต่น้อย
“สามีหรือ ? ” สายตาของคนเหล่านั้นจับจ้องไปที่ครรภ์ของอันหลิงเกอพร้อมแววตาอาฆาตแค้น
“คนของจวนอ๋องมู่ เด็กคนนี้ปล่อยไว้มิได้ ! ”
“ข้าจักอยู่ที่นี่ พวกเจ้าจะทำอันใดข้าก็ได้ แต่ต้องบอกมาก่อนว่าสามีของข้าอยู่ที่ใด ! ”
อันหลิงเกอพยายามสงบสติอารมณ์มิให้ประหม่ามากเกินไป ทว่าในความเป็นจริงแล้วผู้หญิงตัวคนเดียวเช่นนางจะมิกลัวได้อย่างไร
“ปล่อยไปก็ได้ แต่…”
“อะไร ? ”
อันหลิงเกอมองเข้าไปในกระโจมก็เห็นคนผู้หนึ่งนอนหมดสติอยู่ด้านในและช่างคล้ายกับมู่จวินฮานยิ่งนัก
นางรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
พวกเขามิได้ทำร้ายมู่จวินฮาน เพียงอยากต่อรองกับต้าโจวเท่านั้น เป้าหมายของพวกเขาคงเป็นนางมิใช่ทำร้ายมู่จวินฮาน
“เด็กคนนี้เป็นบุตรของอ๋องมู่ เก็บเอาไว้มิได้ ! ”
อันหลิงเกอพยักหน้าและแสร้งทำเป็นยอมตกลง
“ยังมีอีก เจ้าต้องอยู่ที่นี่ ! ”
อันหลิงเกอพยักหน้าอีกครั้ง
“ข้ามาที่นี่แล้วย่อมมิออกไป อยู่ที่นี่ก็คืออยู่ที่นี่” อันหลิงเกอหัวเราะออกมาและแสร้งทำมิใส่ใจ
ทว่าแววตาของนางยังอดมองไปทางมู่จวินฮานมิได้ นี่อาจเป็นการพบหน้ากันครั้งสุดท้ายแล้ว
“เด็กเด็ก เอานี่ไปให้เขาทาน”
“มันคือสิ่งใด ! ” อันหลิงเกอรีบถามทันที
“ยาที่จะทำให้เขาลืมสิ้นทุกอย่าง ! ”
ลืมสิ้นทุกอย่าง…
“ไม่ ! ”
“ไม่ได้” ตอนนี้อันหลิงเกอรู้สึกปวดใจยิ่งนัก
แต่นางทำได้เพียงมองเขาโดนจับกรอกยาเข้าปาก จากนั้นมู่จวินฮานก็ถูกพาตัวขึ้นไปบนรถม้า
“ข้าจักรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าส่งเขากลับไปจริง ! ” อันหลิงเกอกัดฟันถาม
“หากพวกเราต้องการชีวิตเขาก็คงสังหารไปนานแล้ว พวกเรามิหลอกลวงหรอก”
อันหลิงเกอยอมเชื่อ แม้มิรู้ว่าคนพวกนี้เกี่ยวข้องกับฟางหลิงซู่อย่างไร แต่นางรู้สึกว่าพวกเขาช่างคล้ายกันยิ่งนัก
ดูท่าแล้วหอพิษกู่คงมีอีกเผ่าหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ตรงนี้เป็นแน่
กล่าวจบก็ชี้ให้อันหลิงเกอดูกระโจมด้านข้าง
“นั่นเป็นที่ของเจ้า”
ครั้งนี้อันหลิงเกอมิได้ขัดขืนอันใดอีก นางแค่เดินเข้าไปเงียบ ๆ เท่านั้น ตอนนี้นางคิดแต่เพียงว่าต้องปกป้องตนเองและบุตรเอาไว้ให้ได้
…
มู่จวินฮานที่นอนอยู่บนเตียงก็รู้สึกราวกับใจโหวงแต่มิรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด
นอกจากสตรีนางหนึ่งที่กลับมาพร้อมเขาบนรถม้าคันนั้น มู่จวินฮานก็จำสิ่งใดมิได้อีกเลย
เขารู้สึกราวกับว่าได้หลงลืมบางสิ่งบางอย่างไป
มู่จวินฮานรู้สึกขอบคุณสตรีผู้นั้นมาก ทว่าตอนนี้นางยังมิได้สติ เขาจึงทำได้เพียงให้ท่านหมอคอยดูแล
“หมู่เฟย”
มู่เหล่าหวางเฟยมาหาเขาทุกวันราวกับเป็นกังวลเรื่องสุขภาพของเขาและเหมือนไม่มั่นใจอันใดบางอย่าง
“วันนี้ร่างกายของเจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ? ” มู่เหล่าหวางเฟยเอ่ยถามพร้อมส่งน้ำแกงให้เขาชามหนึ่ง
“ไม่มีสิ่งใดผิดปกติขอรับ แค่รู้สึกอ่อนเพลียเท่านั้น” มู่จวินฮานรู้สึกเหมือนฝันมากมายแต่มิอาจรู้ได้ว่ามีเรื่องใดเคยเกิดขึ้นจริงบ้าง
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
“พรุ่งนี้ลูกก็จะเข้าวังไปทำงานขอรับ”
“อืม”
มู่เหล่าหวางเฟยพยักหน้า ก่อนเรียกสาวใช้ให้พาเด็กทั้งสองเข้ามา
“ช่วงที่เจ้าไปรบ พวกเขามิได้พบฟู่หวางมานาน เร็ว ให้ฟู่หวางอุ้มหน่อยเร็ว”
เด็กยังเล็กจึงทำได้เพียงนอนอยู่ในอ้อมแขนของมู่จวินฮานเท่านั้น
มู่จวินฮานรู้สึกแปลกใจอย่างมาก ราวกับว่าตนมิเคยอุ้มบุตรสองคนนี้มาก่อน แขนทั้งสองข้างจึงดูเก้งก้างไปหมด
มู่เหล่าหวางเฟยเหมือนเห็นความผิดปกติของเขาเช่นกัน นางขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็มิได้กล่าวอันใดออกมา
“มารดา มารดาของพวกเขาอยู่ที่ใดขอรับ ? ” มู่จวินฮานถามออกมาอย่างอึกอัก
“อยู่กับแม่ เจ้าอยากพบหรือไม่ ? ”
มู่จวินฮานส่ายหน้า เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างมิถูกต้องแต่ก็คิดมิออกว่าคือสิ่งใด
“เรียนท่านอ๋อง ทัวป๋าถิงฟางขอพบขอรับ”
พอได้ยินชื่อทัวป๋าถิงฟางแล้วมู่จวินฮานก็ขมวดคิ้ว เขากำลังจะบอกว่ามิอยากพบแต่มู่เหล่าหวางเฟยอนุญาตเสียก่อน
“ให้นางเข้ามา มีนางอยู่เป็นเพื่อนเจ้า แม่จักได้กลับไปพักผ่อน”
กล่าวจบ มู่เหล่าหวางเฟยก็ลุกขึ้นยืน ตอนที่เดินสวนกับทัวป๋าถิงฟางก็ได้กระซิบว่า “เจ้าคงรู้ว่าสิ่งใดควรพูดสิ่งใดมิควรพูด ตอนนี้เขาลืมทุกอย่างแล้ว”
ทัวป๋าถิงฟางกัดฟันกรอด นางย่อมรู้ดีมิเช่นนั้นไม่มีทางมาหาเขาเวลานี้หรอก
“น้อมส่งหมู่เฟยเจ้าค่ะ” ทัวป๋าถิงฟางหันกลับมายิ้มเล็กน้อยแล้วเดินเข้ามาหามู่จวินฮาน
“เจ้ามาด้วยเหตุใด ? ”
“เชี่ยเซินมาเยี่ยมท่านอ๋องเจ้าค่ะ” ทัวป๋าถิงฟางก็มิรู้จะกล่าวอันใดจึงแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง
“ช่างเถิด เจ้าออกไปได้”
เมื่อครู่เขามิอยากให้มู่เหล่าหวางเฟยมิพอใจ แต่ตอนนี้มู่เหล่าหวางเฟยไม่อยู่แล้วเขาจึงอยากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ
“คือ…”
ทัวป๋าถิงฟางมิรู้ว่าควรทำตัวอย่างไรเพราะตอนนี้สีหน้าของมู่จวินฮานดูมิพอใจนางมาก ครั้งนี้นางจึงต้องยอมแพ้แต่โดยดี
“เจ้าค่ะ” ทัวป๋าถิงฟางเพิ่งจากไป องครักษ์ก็เดินเข้ามา
คนที่หายไปพร้อมเขายังมีองครักษ์เยี่ยงชิงเฟิงด้วย คนที่อยู่ตอนนี้แม้มิค่อยได้ดั่งใจแต่เขาก็มิได้คิดอันใดมากนัก
“เรียนท่านอ๋อง แม่นางผู้นั้นตื่นแล้วขอรับ”
หืม ? มู่จวินฮานรีบลุกขึ้นทันทีเพราะเขารู้สึกซาบซึ้งใจในบุญคุณของนางมาก
“เจ้า…”
มู่จวินฮานที่เดินเข้ามาก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนักเพราะแววตาของสตรีผู้นี้เหมือนมิได้มองมาที่เขา มิหนำซ้ำยังดูไม่ได้สนใจเขาด้วย
“นี่…”
“เรียกท่านอ๋อง ข้าน้อยไร้ความสามารถ กู่เหนียงท่านนี้มิสามารถมองเห็นได้ชั่วคราวขอรับ”
“อันใดคือชั่วคราว ! ”
สตรีผู้นั้นรู้สึกหวาดกลัวอยู่ลึก ๆ ทว่ามู่จวินฮานรู้สึกผิดต่อนางมาก
“ช่างเถิด ไม่เป็นไรหรอก รักษามิได้ก็คือรักษามิได้” นางมีท่าทีเหมือนมิได้สะเทือนใจอันใดมากมาย สตรีเช่นนี้ทำให้มู่จวินฮานรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
เหมือนว่าเคยมีคนเช่นนี้อยู่ ทั้งสายตาที่มองมา กิริยาท่าทาง คำพูดคำจาล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
ทว่าเป็นผู้ใดกัน ?