“คุยกันอย่างนักธุรกิจ ผมคิดว่าราคาที่ผมเสนอเหมาะสมแล้ว” จิ้นหยวนเอ่ยขึ้นเนิบนาบอย่างไม่เกรงใจเขาสักนิด  

 

 

“นี่เธอ!” หร่วนจิงเทียนโกรธจนหน้าแดงจัด เอ่ยเสียงเข้ม “ไม่นึกเลยว่าเธอจะเป็นคนแบบนี้ รู้อย่างนี้…” 

 

 

“รู้อย่างนี้แล้วยังไงครับ?” จิ้นหยวนมองเขานิ่ง “รู้อย่างนี้ไม่ให้หร่วนเซียงเซียงแต่งงานกับผมดีกว่าใช่ไหมครับ? ความจริงคุณจะประกาศให้คนอื่นรับรู้ก็ได้นะครับว่าเราสองคนหย่ากันแล้ว เพราะผมไม่ถือ” 

 

 

หร่วนจิงเทียนโกรธจนหน้าอกกระเพื่อม จ้องเขาตาเขม็งอยู่นานสองนานแต่ก็พูดอะไรไม่ออกสักคำ 

 

 

จิ้นหยวนดูนาฬิกาบนข้อมืออย่างไม่อินังขังขอบ “ขอโทษนะครับคุณหร่วน คุณยังมีธุระอะไรอีกหรือเปล่า? พอดีผมยังมีประชุมอีก” 

 

 

ความหมายก็คือเขาต้องการไล่หร่วนจิงเทียนกลับไปเร็วๆ หร่วนจิงเทียนหน้าเปลี่ยนสี กัดฟันปั้นยิ้มเต็มที่ “อาหยวน เมื่อกี้พ่อพูดเกินไปหน่อย เธออย่าถือสาเลยนะ ถึงยังไงเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ต้องช่วยเหลือกันใช่ไหมล่ะ…” 

 

 

เขาพูดยืดยาวอย่างลืมอาย แต่สุดท้ายก็ต้องเบาเสียงลงเพราะสายตาเย็นเยียบของจิ้นหยวน 

 

 

จิ้นหยวนมองเขาด้วยสีหน้าเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “คุณหร่วน เรามาเปิดอกคุยกันดีกว่า เรื่องหุ้น ผมก็สนใจอยู่ ถ้าคุณหร่วนยอมขาย ผมก็ยอมถอยเหมือนกัน…” 

 

 

เขาเป็นนักเจรจาต่อรองมือฉกาจ ครั้งนี้ถ้าเขาเล่นงานตระกูลหร่วนจนบอบช้ำไม่ได้ เขาก็จะไม่ใช่แซ่จิ้นอีก 

 

 

หนึ่งชั่วโมงต่อมา หร่วนจิงเทียนกลับไปพร้อมความรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อ สีหน้าย่ำแย่เกินบรรยาย 

 

 

หลินจื้อเฉิงเห็นแล้วรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านายท่านหร่วนคงเสียท่าให้พี่ใหญ่แล้ว เขาเดินเข้าไปในห้อง เห็นจิ้นหยวนกำลังจัดการกับเอกสารในมือ 

 

 

จิ้นหยวนเห็นหลินจื้อเฉิงเดินเข้ามาในห้องจึงยื่นเอกสารในมือให้เขา “นายเอาไปศึกษาดูซิว่าทำยังไงถึงจะทำให้เกิดผลกำไรสูงสุด” 

 

 

หลินจื้อเฉิงรับเอกสารมาเปิดดูแล้วถึงกับตาถลน “พี่ใหญ่ นี่พี่กินเนื้อชิ้นเบ้อเริ่มของเขาแล้วยังทำให้เขาต้องขอบคุณพี่อีกเหรอครับ ไร้ยางอายมาก” 

 

 

เขาอุทานออกมาอย่างลืมตัว จิ้นหยวนตวัดสายตามองเขาถึงรู้สึกตัว เขาลูบศีรษะตัวเองอย่างเก้อๆ พลางเอ่ยอย่างสำนึกผิด “พูดผิดครับๆ” 

 

 

ครั้งนี้จิ้นหยวนตัดสินใจแล้วว่าจะเล่นงานตระกูลหร่วน เขาเริ่มต้นด้วยการส่งตัวหร่วนเซียงเซียงกลับบ้านพ่อแม่ตัวเอง จากนั้นหาเหตุผลจับตัวหลานชายของหร่วนจิงเทียน ฉวยโอกาสรีดไถเงินก้อนหนึ่งจากหร่วนจิงเทียน แบบนี้หุ้นส่วนใหญ่ของตระกูลหร่วนก็จะตกอยู่ในมือเขา กลยุทธ์ทั้งรุกทั้งรับของเขาได้ผลสวยงาม แม้แต่หลินจื้อเฉิงที่ติดตามเขามานานยังอดชื่นชมเขาไม่ได้ 

 

 

แต่หลินจื้อเฉิงไม่รู้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ หรอก 

 

 

หลังจากหร่วนจิงเทียนกลับถึงบ้านแล้ว เขาตบโต๊ะอย่างแรง ตวาดคุณนายหร่วนด้วยความโมโหจัด “เธอทำอะไรลงไป” 

 

 

คุณนายหร่วนมุ่นหัวคิ้วมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมกลับมาถึงก็มาอารมณ์เสียใส่ฉันแบบนี้ล่ะคะ ฉันทำอะไรผิดอย่างนั้นเหรอ?” 

 

 

หร่วนจิงเทียนชี้นิ้วใส่หน้าเธอ เขาโกรธจนตัวสั่น “ก็เรื่องชั่วๆ ที่พวกเธอสองคนทำเอาไว้นะสิ!” เขาหันไปสั่งสาวใช้ “ไปตามคุณหนูมาซิ!” 

 

 

คุณนายหร่วนรีบเข้าไปขวางเอาไว้ “ไม่ได้นะคะ ตั้งแต่ลูกกลับมาก็เอาแต่เสียใจ เมื่อกี้เพิ่งจะร้องไห้จนหลับไป คุณอย่าไปกวนแกเลยนะคะ” 

 

 

หร่วนจิงเทียนโกรธจนแทบบ้าตาย “มันก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ตอนนี้ยังมีกะจิตกะใจนอนหลับอีกเหรอ? อย่างนี้มันต้องตีให้ตาย!” 

 

 

เอ่ยจบทำท่าจะวิ่งขึ้นไปชั้นบน คุณนายหร่วนเห็นท่าไม่ดีรีบเข้าไปกอดหร่วนจิงเทียนเอาไว้แน่น “คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ นั่นลูกสาวของเรานะคะ!” 

 

 

“ฉันไม่มีลูกสาวแบบนี้ เธอเองก็เหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าจิ้นหยวนมีปัญหากับลูก ทำไมไม่แนะนำลูกดีๆ แล้วนี่ยังไปออกความคิดบ้าๆ แบบนั้นให้ลูกอีก? ผู้หญิงคนนั้นเป็นแก้วตาดวงใจของจิ้นหยวน เธอไปแตะต้องผู้หญิงคนนั้นก็เท่ากับบีบให้เขาเป็นศัตรูกับเรานะสิ เธอรู้หรือเปล่าว่าคราวนี้ฉันเกือบรักษาบริษัทเอาไว้ไม่ได้แล้ว?” 

 

 

เขาตวาดคุณนายหร่วนด้วยความโกรธจัด 

 

 

หลินฮุ่ยอวิ๋นมองเขาตะลึงค้าง “ฉันคิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้เรื่องนี้…” 

 

 

“หุบปาก ฉันไม่อยากฟังคำแก้ตัวของเธอ ยาถอนพิษอยู่ไหน? รีบเอามาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ฉันจะเอาไปให้จิ้นหยวน” ใช่แล้ว เงื่อนไขของจิ้นหยวนก็คือเขาต้องการยาถอนพิษนั่นเอง 

 

 

หลินฮุ่ยอวิ๋นเอ่ยตอบอย่างหวาดๆ “แต่ว่า… แต่ว่าฉันไม่มียาถอนพิษหรอกค่ะ” 

 

 

“เธอพูดว่าไงนะ?” หร่วนจิงเทียนเบิกตาโตจนแทบถลน เขาเงื้อมือขึ้นแล้วตบหลินฮุ่ยอวิ๋นอย่างแรงจนเธอหน้าหัน “ไม่มียาถอนพิษอย่างนั้นเหรอ?” 

 

 

“ใช่ มันเป็นยาพิษตำรับพิเศษที่แม่ฉันถ่ายทอดให้ฉัน ไม่มียาถอนพิษหรอกค่ะ” หลินฮุ่ยอวิ๋นจับแก้มตัวเองเอาไว้ อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก 

 

 

“แล้วตอนนี้จะทำยังไง?” หร่วนจิงเทียนใช้กำลังระบายอารมณ์ออกไปบ้างแล้ว ตอนนี้จึงไม่คิดจะตบตีหรือด่าว่าเธออีก เขาเดินกระทืบเท้าไปมาด้วยความร้อนใจ 

 

 

หลินฮุ่ยอวิ๋นครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยหยั่งเชิง “ฉันยังมียาพิษเหลืออยู่ คุณคิดว่าจะ…” 

 

 

ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยจบก็ได้ยินเสียงหร่วนจิงเทียนตบมือดังเพียะ “ดี แบบนี้คงต้องลองดูสักตั้ง” 

 

 

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออก พูดร่ายยาวจนจิ้นหยวนรำคาญ กว่าจะยอมพูดออกไปได้ว่าเขามีแต่ยาพิษไม่มียาถอนพิษ จิ้นหยวนเงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดจิ้นหยวนก็ยอมตกลงในเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่เขาจะได้ร้องไห้ออกมา 

 

 

เขาถอนหายใจโล่งอกยกใหญ่ หลังจากวางสายแล้วจึงเงื้อมือขึ้นฟาดลงบนแก้มหลินฮุ่ยอวิ๋นอีกฉาด “คราวหน้าคราวหลังคิดจะทำอะไรก็หัดใช้สมองซะบ้าง มีผู้ชายคนไหนบ้างที่ไม่มีผู้หญิงนอกบ้าน มีแต่ลูกสาวเธอคนเดียวที่มีค่าหรือไง? ไปบอกนังลูกตัวดีเลยนะ ต่อไปทำตัวให้มันดีๆ รีบๆ มีลูกชายให้เขา ไม่อย่างนั้นเราคงไม่มีที่พึ่งอีก เข้าใจหรือยัง?” 

 

 

หลินฮุ่ยอวิ๋นได้แต่โมโหอยู่ในใจโดยไม่กล้าปริปากสักคำ 

 

 

หร่วนจิงเทียนด่าเสร็จแล้วหมุนตัวเดินออกไปทันที แต่จู่ๆ ก็หมุนตัวกลับมาอย่างกะทันหันราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “เธอรีบส่งนังตัวดีกลับไปเลยนะ แต่งงานแล้วยังเอาแต่หนีกลับบ้านแม่นี่มันยังไงกัน ไม่กลัวจิ้นหยวนหนีหรือไง รีบส่งกลับไป แล้วพูดกันดีๆ เข้าใจไหม? 

 

 

“แต่ว่า… แต่ว่า…” จะว่าไปก็แปลก ปกติหลินฮุ่ยอวิ๋นเป็นคนจิตใจโหดเ**้ยมอำมหิต เวลาเล่นงานผู้หญิงอื่นเธอใช้สารพัดวิธีที่ทั้งโหดทั้งเ**้ยมโดยไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนสักนิด แต่พออยู่ต่อหน้าสามีตัวเอง เธอกลับกลายเป็นแมวเหมียวตัวน้อยที่ยอมเป็นที่รองมือรองเท้าของเขา สมแล้วที่เป็นคู่เวรคู่กรรมกัน 

 

 

หร่วนจิงเทียนสะบัดหน้าเดินออกไปทันทีโดยไม่รอให้เธอพูดจบ ทิ้งให้เธอยืนอึ้งเป็นเบื้อใบ้อยู่ในห้องรับแขกคนเดียว 

 

 

เธอสงสารลูกสาวมากจึงตัดสินใจปล่อยให้หร่วนเซียงเซียงอยู่ที่บ้านต่ออีกสองวันจึงส่งเธอกลับ วันนั้นจิ้นหยวนไม่อยู่บ้าน มีแต่พ่อบ้านคนเดียวเท่านั้น แถมยังปั้นหน้าเฉยเมยอีก หลินฮุ่ยอวิ๋นจำใจปั้นหน้ายิ้มให้พ่อบ้าน จากนั้นพูดจาดีๆ กับเขาอีกตั้งเยอะแยะ 

 

 

จิ้นหยวนอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะเขาคิดว่าคราวนี้ต้องได้ยาถอนพิษแน่ แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้ยาพิษมาแทน ผลเป็นแบบนี้แล้ว ถึงจะมีความหวังแต่ก็ต้องเจออุปสรรคอีก 

 

 

เขาครุ่นคิดสักพักแล้วออกคำสั่งบางอย่างกับลูกน้อง หลินจื้อเฉิงและลูกน้องคนอื่นๆ ได้รับคำสั่งแล้วถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ครึ่งค่อนวัน 

 

 

ในที่สุดหลินจื้อเฉิงก็ทนไม่ไหว เขาวิ่งพุ่งเข้าไปในห้องทำงานของจิ้นหยวน “พี่ใหญ่ พี่พูดจริงเหรอครับ?” 

 

 

จิ้นหยวนมองเขาแวบหนึ่ง “นายเคยเห็นฉันพูดเล่นหรือเปล่าล่ะ?” 

 

 

หลินจื้อเฉิงสีหน้างงงวย “บริษัทของเราจะพัฒนาด้านเทคโนโลยีชีวภาพเหรอครับ? แต่ผมไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลยนี่นา?”