ตอนที่ 494 ปืนของสองพ่อลูก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 494 ปืนของสองพ่อลูก

ณ ทางเดินฉีซาน

มือซ้ายของฟู่ต้ากวนถือวงล้อหยินหยาง ส่วนมือขวากำปืนเอาไว้

หลังจากที่เขากล่าวเสียงดังว่า “ฆ่า ! ” ร่างกายอันอ้วนท้วมก็ได้พุ่งตรงออกไปจากหลังม้า วงล้อหยินหยางถูกส่งออกไป มันแผ่ซ่านความเย็นยะเยือกออกมายังคนที่ยืนอยู่ด้านหลังไป๋หลี่หง

ไป๋หลี่หงตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน การที่อู๋ต้าหลางนำอาวุธชิ้นนี้ออกมาตั้งแต่เริ่มการต่อสู้หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?

การโจมตีจากปรมาจารย์ แน่นอนว่าคนข้างหลังเหล่านั้นย่อมรับมือมิไหว เขาจึงทำได้เพียงออกรับแทนเท่านั้น

เขาหมุนยาสูบในมือแล้วลุกขึ้นยืดตัวตรง และได้ใช้อาวุธกวัดแกว่งซ้ายทีขวาที เสียงดังโช้งเช้งปะทะเข้ากับวงล้อหยินหยาง

จนเกิดประกายแสงไฟสว่างวาบ วงล้อหยินหยางดูเหมือนจะอ่อนกำลังลงไป แต่ยังคงลอยไปทางด้านหลังของเขา

ทันใดนั้นเอง ในสายตาของเขา ร่างของฟู่ต้ากวนก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น เขาสูดเอายาสูบเข้าไป ควันขาวลอยฟุ้ง และได้พุ่งตัวไปยังฟู่ต้ากวน

นี่คือการต่อสู้ของปรมาจารย์ทั้งสองคน การต่อสู้ครานี้ ไป๋หลี่หงจะต้องฆ่าฟู่ต้ากวนให้จงได้ และฟู่ต้ากวนจะต้องตายในน้ำมือของไป๋หลี่หง

พวกที่เหลือก็เริ่มลงมือต่อสู้เช่นกัน โจวถงถงเป็นผู้เริ่มต้น เขากำกระบี่ยาวไว้ในมือแล้วพุ่งเข้าหาศัตรูทันที

ไป๋หลี่หงและฟู่ต้ากวนเข้าปะทะกันในระยะใกล้ มองดูใบหน้าอันอ้วนกลมของเขาแล้ว ราวกับว่ามีรอยยิ้มปริศนาซ่อนอยู่

สิ่งนี้ทำให้ไป๋หลี่หงตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน เจ้าอ้วนนี่มีความลับอันใดซ่อนอยู่กัน ?

ต่อจากนั้น เขาจึงมองเห็นปืนในมือของฟู่ต้ากวน !

สิ่งนี้เขาเคยพบเห็นมาก่อนเมื่อตอนที่เข้าเฝ้าท่าป๋าเฟิง

เขารู้ว่าเจ้าสิ่งนี้เรียกว่าปืนคาบศิลา แต่เขามิรู้ว่าเจ้าของชิ้นเล็ก ๆ นี้มีอานุภาพรุนแรงถึงเพียงใด

ในความคิดของเขา เจ้าสิ่งนี้มิเป็นอันตรายอันใดสำหรับปรมาจารย์ มิเยี่ยงนั้นแล้วการที่พวกเขาฝึกฝนมาอย่างยากลำบากจะไปมีประโยชน์อันใดกัน

เขามิรู้ว่าเมื่อตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในเมืองเปียนเฉิงนั้น เขาเคยยิงเป่ยหวังฉวนที่เป็นปรมาจารย์ในระยะห่าง 200 จั้งได้ !

แน่นอนว่าปืนกระบอกนั้นมีอานุภาพมากกว่าปืนคาบศิลานี้นับร้อยเท่า แต่บัดนี้ฟู่ต้ากวนอยู่ใกล้กับไป๋หลี่หงเป็นอย่างมาก ทั้งสองคนอยู่ห่างกันเพียงแค่ 2 จั้งเท่านั้น

อู๋ต้าหลางจะใช้เจ้าสิ่งนี้มาจัดการตนเยี่ยงนั้นหรือ ?

ยิ่งแก่ยิ่งไร้สาระเสียจริง !

ดังนั้นไป๋หลี่หงจึงหัวเราะขึ้น เมื่อรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเริ่มปรากฏ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่บุหรี่ของเขาตกลงไป

“ปัง… ! ” เสียงหนึ่งดังขึ้น

ได้สร้างความตกใจให้แก่ป่าเขา และไป๋หลี่หง

ไป๋หลี่หงมองดูทรวงอกของตนด้วยความตกตะลึง ที่อกของเขาเป็นรู ! เเละรู้สึกเจ็บเป็นอย่างมาก !

รูนี้มีเลือดไหลทะลักออกมา !

เขามิอยากจะเชื่อ เมื่อสักครู่เขาใช้พลังลมปราณปกป้องร่างกายนี้เอาไว้แล้ว แต่เจ้าลูกเล็ก ๆ นี่สามารถเจาะเข้าไปในร่างกายของเขาได้เยี่ยงไรกัน ?

ฟู่ต้ากวนหัวเราะหึ ๆ “ไป๋หลี่หง วันนี้ข้าจะทำให้เจ้านองเลือดร้อยลี้ ! ”

เมื่อเขากล่าวจบก็นั่งลงไปที่พื้นแล้วทำท่าเหมือนจะใส่กระสุนลงไปอีก เจ้าของสิ่งนี้มีพลังเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้ แม้จะใช้มิค่อยสะดวกเท่าใดนัก มิน่าเล่าศิษย์พี่ที่สำนักจึงกล่าวว่า…ฝึกวรยุทธ์ มิได้มีประโยชน์เท่าใดแล้ว

ไป๋หลี่หงทรุดลงไปที่พื้น ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเเดงระเรื่อ พร้อมกับตะโกนออกมาว่า “อู๋ต้าหลาง เจ้าใช้วิชาปิศาจเหล่านี้ เจ้ารู้จักกฎแห่งยุทธภพหรือไม่ ? ”

“เจ้าช่างโง่เง่าอย่างแท้จริง กฎยุทธภพบ้าบออันใดกัน ต่อไปในภายภาคหน้าจะมิมียุทธภพแล้ว”

เมื่อกล่าวจบ ฟู่ต้ากวนก็ได้ยกมือขึ้น ไป๋หลี่หงที่กำลังเผชิญหน้ากับความตาย เขามิทันได้คิดไตร่ตรองคำกล่าวเมื่อครู่ของฟู่ต้ากวนด้วยซ้ำ เขารีบลุกขึ้นและเตรียมที่จะหนี ฟู่ต้ากวนหัวเราะออกมาจากนั้นก็มีเสียง “ปัง ! ” ดังขึ้นอีกคราหนึ่ง ไป๋หลี่หงถูกยิงเข้าที่กลางหลัง ร่างของเขาล้มลงกองที่พื้นทันที ใบหน้าของเขาแสดงถึงความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก มองดูแล้วช่างน่าเวทนายิ่ง

เจ้าสิ่งนี้เก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ !

ไป๋หลี่หงรู้สึกคับแค้นและตื่นกลัวอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน !

เขาเป็นถึงปรมาจารย์ ! แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าสิ่งนี้ เเม้แต่ปรมาจารย์ก็มิมีประโยชน์อันใด !

ผู้ใดก็ได้ช่วยบอกเขาทีว่าเป็นเพราะเหตุใดกัน ?

เขายังคงคิดที่จะหนี และได้วิ่งเข้าไปท่ามกลางฝูงชน เมื่อพวกคนชุดดำเหล่านั้นมองดู…

นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน !

ปรมาจารย์ไป๋หลี่หงถูกฆ่าอย่างน่าอนาถ !

ยังจะสู้ต่อหรือไม่ ?

ไป๋หลี่หงเพียงต้องการวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เขาจะไปคิดถึงการต่อสู้ได้อีกเยี่ยงไรกัน สู้ต่อไปเพื่ออันใด ไร้ประโยชน์ยิ่ง

ดังนั้น ในขณะที่พวกคนชุดดำกำลังลังเล ฟู่ต้ากวนก็ได้กระโดดลอยตัวลงมา “ไป๋หลี่หง เจ้าจงมอบชีวิตอันไร้ค่าของเจ้าให้ข้าเสีย ! ”

ต่อจากนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงดัง “ปัง… ! ” จากนั้นไป๋หลี่หงก็ได้คว่ำหน้าลงสู่พื้น

พวกคนชุดดำเมื่อเห็นดังนั้นก็ได้พากันตกตะลึงและลืมการต่อสู้ไปชั่วขณะ คนจากหอเทียนจีจึงใช้โอกาสนี้ต่อสู้ฆ่าฟันเสียจนทางเดินฉีซานเต็มไปด้วยหยาดเลือด

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนลูบไปที่ปืน

สตรีสองนางไล่ตามเขาตั้งแต่ใต้น้ำมาจนถึงผิวน้ำ ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ลอยขึ้นมายังผิวน้ำแล้วเช่นกัน

เขาพยายามหายใจเข้าไป จากการที่เรือกำลังลุกไหม้นี้ ดูเหมือนว่าเขาจะพอเข้าใจแล้วว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น

สตรีชุดดำคนหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่ง…อีกคนหนึ่งนั้นกลับเป็นหลิ่วเยียนเอ๋อร์ !

สิ่งนี้เกินกว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนจินตนาการไว้ หลิ่วเยียนเอ๋อร์มีความสามารถสูงถึงเพียงนี้เชียวหรือ ! หากมิใช่เพราะนางกระโดดลงมาช่วย ชีวิตของเขาคงจะหาไม่ไปแล้ว

ถงเหยียนมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน แล้วตะโกนว่า “รีบหนีไปสิ ! ”

นางถูกดาบปักเข้ามาอีกคราหนึ่ง ไป๋จื่อหัวเราะอย่างเยือกเย็น “หึ ๆ ชายหญิงคู่นี้ ข้าจะทำให้พวกเจ้าสมหวังเอง จงไปเจอกันในนรกเถอะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็อยากจะหนีไป แต่จะให้เขามองนางตกอยู่ในความเป็นความตายโดยมิช่วยได้เยี่ยงไรกัน !

ดังนั้นเขาจึงยกมือขวาขึ้นแล้วเล็งไปที่ไป๋จื่อ…

“ปัง ! ”

ในขณะที่ดาบของไป๋จื่อเพิ่งจะสัมผัสกับอาภรณ์ตรงทรวงอกของถงเหยียน เเละถงเหยียนเองก็คิดว่าตนต้องตกตายเป็นแน่แท้ แต่แล้วฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ช่วยนางเอาไว้ได้ทันเวลาโดยการยิงไป๋จื่อ

ลูกปืนได้เจาะลงไปยังกลางหน้าผากของไป๋จื่อ เลือดสีแดงสดทะลักพุ่งกระจายอาบใบหน้าของถงเหยียน

นางลืมตามองดูด้วยความตกตะลึง และมองเห็นร่างของไป๋จื่อค่อย ๆ จมดิ่งลงท่ามกลางทะเลสาบ

จากการต่อสู้ที่เหน็ดเหนื่อย นางมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วยกยิ้มออกมา “เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ เพื่อช่วยให้ราษฎรที่มีชีวิตยากลำบากเหล่านั้นมีความสุข”

ร่างของนางเองก็ค่อย ๆ จมลงไปเช่นกัน ฟู่เสี่ยวกวนรีบดำน้ำตามลงไปแล้วอุ้มถงเหยียนขึ้นมายังผิวน้ำ

ซูเจวี๋ยจัดการกับศัตรูได้แล้วจึงลอยตัวมายังทะเลสาบแล้วมองหาฟู่เสี่ยวกวนด้วยความกังวล เมื่อเขามองเห็นฟู่เสี่ยวกวนแล้ว จึงพบว่าฟู่เสี่ยวกวนได้อุ้มสตรีนางหนึ่งเอาไว้ในอ้อมแขน

เขาจึงได้ยื่นมือไปจับไว้ ปลายเท้าทั้งสองข้างแตะลงไปที่พื้นผิวน้ำแล้วลอยตัวไปยังฝั่งทันที เขานำตัวทั้งสองคนขึ้นรถม้า จากนั้นก็คลายเส้นลมปราณแขนขวาของฟู่เสี่ยวกวน และกดปิดจุดของถงเหยียนเอาไว้ รถม้าพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืดมิด

……

……

กลางเขาของวัดฟูจื่อมีคนยืนอยู่ 3 คน

พวกเขาคือองค์รัชทายาทของแคว้นอี๋ เยียนเหลียงเจ๋อ เปียนมู่หยู และหลานข่าย

พวกเขามองดูแสงไฟที่ถูกจุดจนลุกโชนอยู่บนแม่น้ำฉินหวาย ใบหน้าของพวกเขามิได้แสดงถึงความยินดี

เปียนหรงเอ๋อเป็นเพียงสตรีธรรมดาเท่านั้น นางมิได้ฝึกวรยุทธ์ แน่นอนว่าจะต้องตกตายในกองเพลิงนั้นเป็นแน่

ส่วนฟู่เสี่ยวกวน ก็คาดว่าจะมิมีชีวิตรอดกลับมาได้แล้วอย่างแน่นอน

นี่คือแผนการของเยียนเหลียงเจ๋อและไป๋จื่อ ถงเหยียนมิได้รับรู้เรื่องนี้ด้วยเลย

สายลมจากภูเขาพัดพาทำให้อาภรณ์ของทั้งสามคนโบกปลิวไสว เยียนเหลียงเจ๋อยืนมองจนกระทั่งไฟนั้นมอดดับลง มองดูที่แม่น้ำฉินหวายบัดนี้มีทหารเข้าไปจำนวนมาก จึงได้หันหลังกลับแล้วทำความคารวะเปียนมู่หยู

“หากว่าข้าได้ขึ้นครองบัลลังก์ ข้าจะเลือกท่านเปียนเป็นอัครมหาเสนาบดี และจะทำให้ตระกูลเปียน…รุ่งเรืองตลอดไป ! ”

สีหน้าของเปียนมู่หยูโศกเศร้าเป็นอย่างมากน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง เขาก้มตัวคารวะ “กระหม่อม ขอขอบพระทัยฝ่าบาทที่เมตตา ! ”

“ไปเถอะ”

“พ่ะย่ะค่ะ… ! ”