ตอนที่ 495 ตอนนี้ควรจะทำเยี่ยงไร

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 495 ตอนนี้ควรจะทำเยี่ยงไร

รถม้าแล่นเข้าไปในเมืองจินหลิงที่เงียบสงบ

ภายในรถม้าฟู่เสี่ยวกวนโอบคนที่เขาคิดว่าเป็นหลิ่วเยียนเอ๋อร์ เขาจุดไฟตะเกียงขึ้น เพื่อที่จะตรวจสอบบาดแผลของนางเสียเล็กน้อย

แต่ทว่า…

ถงเหยียนถูกมีดสั้นสุดท้ายของไป๋จื่อตัดอาภรณ์บริเวณหน้าอกขาด คาดมิถึงว่ายอดหิมะจะปรากฏออกมา สายตาของเขาจรดอยู่บนยอดหิมะนั้นอย่างพอดิบพอดี

บัดซบ !

ดอกบัวหิมะตูมรอผลิบาน ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นทันพลัน

ถงเหยียนยังคงสลบไสล

นางกำลังตกอยู่ในฝันร้าย ภายในความฝันนางได้ยืนอยู่ตรงหน้าผาที่มีเหวลึกลงไปและมืดมิด ภายในเหวลึกมีเสียงตะโกนตรงมาถึงนางว่า “ลงมาเถอะ นี่ต่างหากที่เป็นที่ของเจ้า ลงมาที่นี่เท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถหลุดพ้นไปได้”

นางอดมิได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เพื่อที่จะช่วยชีวิตฟู่เสี่ยวกวน ตนในตอนนี้ได้กลายเป็นคนทรยศของลัทธิจันทราไปเสียแล้ว ชีวิตนี้มิมีความหมายอันใดอีกต่อไปแล้ว ใต้หล้านี้ มิมีอันใดให้อาลัยอาวรณ์อีกแล้ว

มิทราบว่าสุดท้ายแล้วฟู่เสี่ยวกวนจะตายแล้วหรือไม่ แต่ตนคิดว่าเขายังมิตาย ราษฎรเหล่านั้นมิใช่กล่าวไว้ว่าเขาคือคนที่พระเจ้าส่งลงมาเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์ให้มาช่วยเหลือชีวิตของพวกเขาหรอกหรือ ?

เขาย่อมได้รับพรจากพระเจ้า หวังว่าเขาจะมีชีวิตที่ดี เพื่อราษฎรในใต้หล้า เขาจะต้องอายุยืนนับร้อยปี

ท้ายที่สุดนางก็ได้กระโดดลงไปในเหวลึกนี้ ภายในเหวลึกมีเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้น และเสียงโหยหวนอย่างอธิบายมิได้ ในตอนที่ร่างของนางกำลังจะตกลงไป กลับพบว่าร่างของตนนั้นถูกดึงกลับมาด้วยแรงอันมหาศาล

“คนโง่ เจ้าอย่าได้ตายเชียว ! ”

หนึ่งเสียงดังขึ้นที่ข้างหูของนาง เสมือนจริงมากยิ่งนัก แต่ในความคิดของนางกลับคลุมเครือเล็กน้อย นางมิทราบว่าเสียงนี้เกิดจากความฝันหรือความจริงกันแน่

นางลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ขนตาเป็นแพยาวแยกออกจากกันเผยให้เห็นนัยน์ตา ราวกับนางได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ทั้งที่จริงแล้วนางเพิ่งจะเห็นใบหน้านี้เป็นคราแรกก็ในคืนนี้ แต่นางกลับรู้สึกคุ้นเคยมากยิ่งนัก

ใบหน้านี้อยู่ใกล้นางยิ่ง ลมหายใจที่ค่อนข้างเร่งร้อนรินรดอยู่บนใบหน้าของนาง รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย แต่กลับหอมเป็นอย่างมาก นี่คือกลิ่นกายเฉพาะของบุรุษที่นางมิคุ้นชิน

ดวงตาของนางเบิกโพลง และได้มองเห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจนแล้ว เขาคือฟู่เสี่ยวกวน !

เขายังมีชีวิต

เหมือนว่าเขานั้นจะยังกอดนางเอาไว้

ฟู่เสี่ยวกวนลำบากใจเล็กน้อย เขาอยากจะตรวจสอบอาการบาดแผลให้กับสตรีผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงฉีกเสื้อเปิดออกมากขึ้น อาการบาดเจ็บของนางสาหัสยิ่ง โดยเฉพาะช่วงท้อง คาดมิถึงว่าจะถูกแทง จุดอื่นบนร่างกายของนางปลอดภัยดี และมีรอยแผลเล็กน้อยอยู่อีกเจ็ดแปดแห่ง

เขามองบาดแผลเหล่านั้น แต่สายตาก็มักจะไหลไปยังยอดหิมะที่สวยงามนั่นโดยมิรู้ตัว

ความรู้สึกนี้ราวกับกำลังยืนอยู่บนที่ราบสูงมองดูภูเขาหิมะศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็มีบางจุดที่มิเหมือนกัน ภูเขาหิมะที่สูงใหญ่มิสามารถยึดมั่นได้ ตรงนี้ใกล้เป็นอย่างมาก ดังนั้นฝ่ามือของเขาจึงร่วงหล่นลงไป…

ใบหน้าของถงเหยียนขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่เพราะศิษย์พี่ใหญ่ได้สะกดพลังภายในของนางเอาไว้ ร่างของนางจึงอ่อนปวกเปียกเสียจนต่อให้อยากจะยกมือขึ้นมาตบหน้าเขาก็ยังทำมิได้

ฝ่ามือของฟู่เสี่ยวกวนหดรัดอยู่สองครา ความรู้สึกนี้ดีมากอย่างแท้จริง !

เขาเก็บฝ่ามือกลับไป ตนเป็นสุภาพบุรุษ มิสามารถเอาเปรียบสตรีในสถานการณ์เยี่ยงนี้ได้

หลังจากนั้น เขาก็ได้สบมองกับดวงตาคู่นั้นของถงเหยียน ทันใดนั้นก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อย และหัวเราะเบา ๆ “อย่าได้เข้าใจผิดไป ข้าเพียงจะตรวจสอบบาดแผลของเจ้าก็เท่านั้น”

ถงเหยียนกลับมิได้โมโหแต่อย่างใด ดวงตาคู่สวยของนางจดจ้องไปที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน ระยะที่ใกล้เยี่ยงนี้ ยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ดูดีมากยิ่งนัก เพียงแค่ภายในสมองของคนผู้นี้กลับมิได้ดูบริสุทธิ์เท่าที่แสดงออกมาให้เห็น

“ข้า ตรงนั้น ก็ได้รับบาดเจ็บเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา และกล่าวอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ข้ารู้สึกว่าก็อาจจะเป็นไปได้ ควรดูให้ถี่ถ้วนอีกครา”

ดังนั้น มือของเขาจึงผลุบลงไปที่ตรงนั้นอีกครา ใบหน้าของถงเหยียนขึ้นสีแดงก่ำ และเอ่ยเสียงแผ่วว่า “หยุดมือ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนหยุดมือลงทันพลัน แต่มิได้ผละมือออกไป เขามองสตรีผู้นี้ และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เมื่อครู่ที่เจ้าได้ช่วยข้าเอาไว้ ข้าอยากจะขอขอบคุณเจ้า”

“เจ้าขอบคุณข้าด้วยวิธีแบบนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อ่า ข้ากลัวว่ามันจะหนาว”

ถงเหยียนตื่นตกใจ “ปล่อย ! ”

“ไอหยา… ได้”

ในฐานะผู้อาวุโสที่สามของลัทธิจันทรา ถงเหยียนมิเคยสัมผัสกับเรื่องของชายหญิงมาก่อน แต่บัดนี้นางอายุยี่สิบปีแล้ว ก็พอจะรู้เรื่องอยู่บ้างเล็กน้อย

การสัมผัสอย่างใกล้ชิดจากชายหนุ่มแปลกหน้า ทำให้ใจของนางเต้นระรัว ดังนั้นการไหลเวียนของเลือดจึงเร็วขึ้นโดยปริยาย และเลือดก็ไหลออกมาจากบาดแผลมากยิ่งขึ้น

ฟู่เสี่ยวกวนเพียงมองดูเท่านั้น มิได้… หญิงสาวผู้นี้จะต้องเสียเลือดจนตายก่อนจะถึงจวนเป็นแน่

มิสนแล้ว ต้องพันแผลให้นางเสียก่อน

เขายื่นมือออกไปฉีกอาภรณ์ของถงเหยียน ถงเหยียนตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน และจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาประหลาดใจ มิใช่ เหตุใดเขาถึงต้องเยี่ยงนี้ด้วยกัน ?

“อย่าได้คิดเพ้อเจ้อเชียว ข้าต้องพันแผลให้เจ้า มิเยี่ยงนั้นเจ้าจะตาย”

ฟู่เสี่ยวกวนวางถงเหยียนไว้บนเก้าอี้ ใช้ผ้าที่ฉีกออกเหล่านั้นพันบาดแผลของนางเอาไว้ ในช่วงเวลาที่ทำทั้งหมดนี้ แววตาของฟู่เสี่ยวกวนกระจ่างใสยิ่ง การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วเป็นอย่างมาก และมิได้ตื่นตาตื่นใจกับความขาวราวกับหิมะที่อยู่เบื้องหน้านี้

ถงเหยียนค่อย ๆ สงบลง นางยังคงจ้องมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนเช่นเดิม ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่านี่คือความสุขอย่างหนึ่ง ในใต้หล้านี้ คาดมิถึงว่าจะยังมีคนที่ใส่ใจกับความเป็นความตายของตนเองอยู่อีกหนึ่งคน และคนผู้นี้ยังเคยเป็นคนที่นางจะต้องสังหารอีกด้วย !

หรือว่านี่จะเป็นชีวิตที่มักจะเต็มไปด้วยฉากละครที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวเอาไว้กัน ?

“ถงเหยียนเอ๋ย สุดท้ายแล้วเจ้าก็จะพบคนที่เจ้ารักที่สุดในชีวิต เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะต้องทะนุถนอมเขาเอาไว้ให้ดี”

เขาคือคนที่นางรักที่สุดในชีวิตเยี่ยงนั้นหรือ ?

กายของนางถูกเขาเห็นและสัมผัสไปแล้ว หากมิใช่เขา แล้วนางจะยังตบแต่งกับผู้ใดได้อีกกัน ?

ทันใดนั้นความอบอุ่นก็พลันแล่นเข้ามาในอกอีกครา แทรกขัดความคิดของนาง… คนผู้นี้ เอาอีกแล้ว !

“น่าจะพอประมาณแล้ว รอจนกระทั่งกลับไปถึงจวน ข้าจะให้ศิษย์พี่ใหญ่ปรุงยารักษาเจ้าขึ้นมา สบายใจเถอะ ทักษะการรักษาของศิษย์พี่ใหญ่อยู่ในระดับสูง ย่อมมิทิ้งรอยแผลเป็นไว้อย่างแน่นอน”

“เจ้า เอามือออกไป ! ”

“อ่า.. ไอหยา ชินแล้ว”

นี่มิใช่คำโกหกแต่อย่างใด อย่างน้อยภรรยาทั้งสามของเขาในตอนนี้ก็เข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้ง เพียงแค่ถงเหยียนยังมิทราบ นางคิดเพียงแค่ว่าคนผู้นี้มองดูแล้วมีแต่ความคิดชั่วร้าย

รถม้าขับมาถึงจวนฟู่แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนถอดอาภรณ์ของตนเองออกมาห่อร่างของถงเหยียนเอาไว้และอุ้มนางขึ้นมา ก่อนที่จะปรี่ไปยังเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ด้านข้างของเรือนหลัก เรือนซีเซวี๋ย

เรือนซีเซวี๋ยมีกำแพงกั้นกับเรือนหลัก จึงมิได้แตกตื่นไปถึงห้องของภรรยาทั้งสามคนในเรือนหลัก

ซูซูกับซูโหรวเองก็พักอยู่ในเรือนซีเซวี๋ยเช่นเดียวกัน และในขณะนี้ก็ได้เดินออกมา ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยมิได้อธิบายอันใด เขาเพียงแค่ตั้งใจปรุงยารักษาแผลเท่านั้น จากนั้นจึงส่งต่อให้กับซูซู

ฟู่เสี่ยวกวนปลดอาภรณ์ของถงเหยียนเสียจนเปลือยเปล่า ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของซูซู

ใบหน้าของถงเหยียนแดงก่ำด้วยความอับอาย แต่สายตาของฟู่เสี่ยวกวนกลับมองไปรอบ ๆ

เขาทายาให้ถงเหยียนอย่างเบามือ จากนั้นก็ได้ให้ซูซูนำผ้าขาวสะอาดมา และพันแผลให้ถงเหยียนอย่างระมัดระวัง เขาวางนางลงบนเตียง และห่มผ้าให้นางอย่างดี

“หลับไปให้สบายใจเถอะ พรุ่งนี้อาการของเจ้าจะดีขึ้นอีกมากโข”

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวไว้เพียงเท่านั้น และพาซูซูเดินออกมา ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยกำลังรอเขาอยู่ในศาลาอี้เหลียง

“สตรีนางนี้เป็นผู้ช่วยเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อือ”

ซูเจวี๋ยคิ้วขมวดเล็กน้อย และครุ่นคิดไปชั่วอึดใจ “นางมิใช่หลิ่วเยียนเอ๋อร์”

ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน “เยี่ยงนั้นนางคือผู้ใดกัน ? ”

“ฝีมือการปลอมแปลงของนางอยู่ในขั้นสูง ข้านึกออกได้เพียงทางเดียว เกรงว่านางจะเป็นผู้อาวุโสที่สามถงเหยียนแห่งลัทธิจันทรา ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงเสียยิ่งกว่าเดิม “แต่นางช่วยชีวิตข้าเอาไว้จริง ๆ ตอนนี้ควรจะทำเยี่ยงไรดี ? ”