ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 1 อาเรียตัวน้อย
ช่วงเวลาที่เหลือเพียงหนึ่งเดือนสำหรับพิธีราชาภิเษกจักรพรรดิของอาซก็จะมาถึง
อาเรียกำลังตรวจสอบสถานที่ต่างๆ ที่จักรพรรดิจะใช้ในการเก็บตัว
ฝ่าบาทคงจะใช้ชีวิตเช่นนี้ไปจนวันสิ้นอายุขัยเลยสินะ’
ในตอนนี้ จะไม่มีขุนนางชั้นสูงตระกูลใดท้าทายอำนาจจักรพรรดิอีกต่อไป
จักรพรรดิได้กล่าวว่าเขาจะใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับเหล่าทหารนับร้อย ณ ป้อมปราการที่ห่างไกลจากเมืองหลวง
‘แม้จะไม่เข้าใจนัก แต่…’
เขาเป็นจักรพรรดิที่ไร้ความสามารถที่สุดในประวัติการณ์ จักรพรรดิได้กล่าวว่าตอนที่ตนยังเด็ก เขาต้องผ่านวิกฤตข้ามเส้นตายจากเหล่าขุนนาง เฉกเช่นเดียวกับอาซ
และเมื่อไม่มีการต่อต้านอะไรจากครั้งนั้น ดูเหมือนว่าความสามารถของจักรพรรดิไม่ได้ทำให้หลายคนประจักษ์ ซึ่งแตกต่างจากอาซโดยสิ้นเชิง
และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชีวิตของเขาจึงได้กลายเป็นการเดินทางเพียงเพื่อรักษาลมหายใจของตนเองไปเท่านั้น ก้มหัวนอบน้อมต่อภัยคุกคามต่างๆ ยอมแม้กระทั่งนำลูกของตนมาเป็นโล่กำบัง
‘แต่อย่างไรเสีย อาจเป็นเรื่องดีสำหรับฉันก็ได้’
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังเคยเป็นจักรพรรดิ แม้จะเป็นเพียงในนามก็ตาม
แม้จะยุ่งกับการเก็บตัว ไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องต่างๆ แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเข้าไปยุ่งหากมันเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้ตัว
แต่เขาก็กล่าวมาเองว่าเขาจะจากไปไกลด้วยตัวเขาเอง จะมีอะไรดีไปกว่านี้อีกนะ
ในฐานะบิดาของอาซ ไม่มีเหตุผลอะไรไปกระทบต่อจิตสำนึกเขาแน่นอน นั่นเพราะว่าเขาไม่เคยได้ทำหน้าที่ในฐานะพ่อเลยสักครั้ง
ดังนั้น มันคงเป็นการดี หากอุปสรรคเช่นเขาจะถูกกำจัดออกไปเอง
“ดี ตอนนี้เหลือเพียงเปลี่ยนเครื่องแบบการแต่งตัวของขบวนและเหล่าทหารม้าให้ดูเรียบง่ายขึ้น แล้วเริ่มดำเนินการตามนั้นได้เลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้ปล่อยปละละเลยกันล่ะ”
นั่นหมายความว่าให้เลี่ยงการแต่งตัวที่สะดุดตาและอย่าได้แต่งอะไรที่มันดูโอ่อ่าเกินจำเป็น
ไม่มีคำถามหรือข้อโต้แย้งใดๆ ตอบกลับมา เนื่องจากเป็นคำสั่งที่ต่างคาดการณ์กันไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อข้ารับใช้รับเอกสารลายเซ็นอาเรียเรียบร้อย เขาก็กล่าวอำลาอย่างสุภาพและเดินออกจากห้องทำงานของหญิงสาวไป
‘…ในที่สุด มันก็จบลงแล้วสินะ’
ช่างเป็นภาระงานที่ล้นมือเสียจริง
นั่นเพราะเธอต้องคอยแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขบวนจักรพรรดิ สถานที่ จนกระทั่งพิธีราชาภิเษกจักรพรรดิของอาซ
เดิมทีแล้ว พิธีราชาภิเษกของจักรพรรดิใหม่นั้น เป็นหน้าที่ที่จักรพรรดินีต้องเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องงานต่างๆ ของราชวงศ์ แต่เป็นที่น่าเสียดาย เพราะตำแหน่งนั้นยังคงว่างอยู่
ด้วยเหตุนี้ หน้าที่งานต่างๆ จึงได้ตกเป็นของอาเรียที่ต้องรับผิดชอบโดยปริยาย
‘โชคดีที่เป็นพิธีราชาภิเษกจักรพรรดิของอาซ’
อาเรียอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเธอเริ่มจินตนาการว่าหากเป็นของผู้อื่น เธอคงทำมันพังซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างแน่นอน
‘…แม้ตอนนี้จะคุ้นชินกับงานระดับพระราชวังแล้วก็ตาม แต่มันก็เหนื่อยเสียจริงๆ หยุดคิดไร้สาระดีกว่า’
ดูเหมือนว่าอาเรียต้องการเวลาพักผ่อน โชคดีที่เธอจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จเร็วกว่ากำหนดการที่วางไว้ จึงมีเวลาเหลือเฟือให้พักผ่อนก่อนที่จะเริ่มกำหนดการถัดไป
สงสัยจะต้องออกไปจิบชาพร้อมเดินยืดเส้นยืดสายบ้างเสียแล้ว ไปหาอาซแล้วค่อยมาก็คงไม่เลว
ขณะที่อาเรียกำลังคิด เปลือกตาของเธอก็ค่อยๆ ปิดลง
อาเรียผล็อยหลับไปโดยที่เธอไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ามาเยือนของใครสักคนหนึ่ง
‘―!’
สิ่งมีชีวิตที่ดูแปลกตาได้ปรากฏตัวให้อาเรียเห็น ‘สิ่งนั้น’กำลังแอบอยู่หลังโซฟาในมุมห้องทำงานของเธอ
‘นั่นอะไรกัน’
เมื่ออาเรียจ้องมองอย่างถี่ถ้วน จึงได้พบว่าเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่นิ้วกำขอบโซฟา พร้อมชะเง้อหน้าออกมามองเธอ
ผมสีบลอนด์ที่พลิ้วดั่งคลื่น และดวงตาสีฟ้าที่เปล่งประกายระยิบระยับราวกับเธอเคยพบเจอกัน ณ ที่ใดสักแห่ง
เมื่อพิจารณาจากส่วนสูงที่สูงเหนือโซฟามาเพียงเล็กน้อย เด็กคนนี้น่าจะอายุประมาณสัก 5 หรือ 6 ขวบ
มือข้างหนึ่งที่กำลังจับขอบโซฟาและใบหน้าของเด็กคนนี้ช่างดูขาวซีด แม้จะเห็นแค่เสี้ยวหนึ่ง แต่ก็รับรู้ได้ว่าได้รับการเลี้ยงดูมาดีราวกับไม่เคยประสบความลำบากมาก่อน
รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูไม่มีพิษมีภัย ร่างกายที่นิ่งเกร็งเนื่องจากความกังวลในตอนแรก ก็เริ่มอ่อนลง
ลูกของขุนนาง หลงทางอย่างนั้นเหรอ’
มีความเป็นไปได้สูงว่าคงจะมาเที่ยวเล่นในวังกับพ่อแม่แล้วเกิดหลงทาง มิเช่นนั้น เด็กคนนี้คงไม่กล้าเข้ามาในห้องทำงานของเจ้าหญิงเช่นนี้เด็ดขาด
‘แต่ถึงเป็นเช่นนั้นก็ตาม……’
เด็กคนนี้ดูนิ่งเฉย ไม่สะทกสะท้านเกินไป ไม่สิ ดูเหมือนเด็กคนนี้กำลังสนุกและดูสนใจอะไรบางอย่าง
ต่อให้เป็นลูกหลานของขุนนางชั้นสูง แต่เมื่อเข้าวังมาแล้ว ก็ควรจะรู้สึกกังวลหรือกลัวบ้าง
เด็กคนนี้ถูกอาเรียตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่าได้บุกเข้ามายังห้องทำงานโดยตั้งใจ ต่อให้จ้องตากับอาเรียก็แล้ว เด็กคนนี้ไม่คิดแม้จะหนีแต่อย่างใด อีกทั้งยังกะพริบตาสำรวจรอบๆ ตัวเธออีกด้วย
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเฉลียวฉลาดเช่นนี้ อาเรียถึงกับขมวดคิ้วและเอ่ยปากถามออกไป
“เธอเป็นใครน่ะ เข้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน”
แม้จะเป็นคำถามที่ผู้ใดได้ยิน ก็คงรู้สึกเสียวสันหลังไปตามๆ กัน แต่ทว่าสายตาของเด็กคนนี้กลับเปล่งประกายเช่นเดิม
‘มาจากต่างประเทศอย่างนั้นเหรอ
ก็เลยฟังฉันไม่รู้เรื่องอย่างนั้นสินะ
ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูเหมือนได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี แม้จะดูไม่เหมือนผู้ลอบสังหารเท่าไหร่ แต่ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน
‘แน่นอนว่าถ้าเป็นผู้ลอบสังหารจริงๆ เขาคงไม่แอบให้ผู้ใดเห็นโจ่งแจ้งขนาดนี้หรอก’
ในขณะที่อาเรียกำลังคิดเรื่องต่างๆ นัยน์ตาสีฟ้าที่เปล่งประกายก็ยังคงจ้องมองมาที่เธออย่างต่อเนื่อง
อาเรียลุกขึ้นจากตำแหน่งนั้นทันทีเมื่อเธอคิดได้ว่ามันคงไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมานั่งจ้องตากับเด็กคนนี้ อีกทั้งนี่ก็คงเป็นการดีที่จะเรียกทหารผู้คุมมาพาเด็กออกไป
“บลิส!”
ทันใดนั้นเอง เด็กคนนั้นก็ได้ตะโกนคำที่เธอไม่คุ้นเคยออกมา
อาเรียนิ่งไปชั่วขณะเมื่อเธอได้เห็นทั้งใบหน้าของเด็กคนนั้นโดยยังไม่ทันได้เอ่ยถามออกไปว่าบลิสนั้นคืออะไร
‘……!’
ใบหน้านั้นดูคุ้นเคยอย่างไม่สามารถอธิบายได้ เด็กคนนั้นคล้ายกับตัวเธอที่เห็นในกระจกมาตลอด มีเพียงแค่สีตาเท่านั้นที่แตกต่างไปจากเธอ
แม้จะไม่มีทางเป็นไปได้ แต่อาเรียรู้สึกเหมือนเธอได้เจอตัวเองอีกคนในเวลาเดียวกัน และแล้วความรู้สึกอันแปลกประหลาดก็ถาโถมเข้ามา
ใบขณะที่เธอกำลังเบิกตาด้วยความตกใจ เด็กคนนั้นกลับกำลังหัวเราะเบาๆ พร้อมเอ่ยปากพูดออกมา
“ชื่อของฉันคือบลิส ไม่ใช่เธอ!”
เด็กคนนั้นตะโกนชื่อตัวเองเสียงดังเอะอะ พร้อมวิ่งไปรอบๆ ตัวอาเรียด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แม้อาเรียจะอยากไล่เด็กคนนี้ให้หยุดเล่นอะไรแบบนี้แล้วกลับบ้านไปเสียที
แต่ภาพที่เธอเห็นนั้นดูเหมือนกับเธอในอดีตไม่มีผิด แม้กระทั่งใบหน้าที่กำลังดูสนุกในตอนนี้ ทำให้อาเรียนิ่งไปครู่หนึ่ง
“……เธอมาจากตระกูลไหนกัน บอกชื่อตระกูลของเธอมาหน่อยสิ แล้วพ่อแม่ของเธอล่ะ”
สุดท้าย อาเรียก็เอ่ยถามไปว่ามาจากตระกูลใด
ด้วยใบหน้าที่ดูคล้ายกับเธอขนาดนี้ เลยทำให้อาเรียคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา
นี่ไม่ใช่คำถามที่ยากอะไรเลย แต่ทว่าบลิสกลับหยุดเคลื่อนไหว ไม่เอ่ยปากตอบแต่อย่างใด
ทันใดนั้น เมื่อบลิสหาคำตอบให้ตนเองได้ เธอจึงตอบคำถามออกไปอย่างกล้าหาญอีกครั้ง
“ตระกูลที่ไกลมากๆ! แถวๆ ทางนู้น ไม่ใช่ตรงนี้”
นิ้วเล็กๆ ชี้ไปยังเพดานของห้องทำงาน
อาเรียจ้องมองร่างเล็กที่ดึงดูดสายตาเธอไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อเธอตั้งสติได้ จึงถามออกไปอีกครั้ง
“ไกลมากๆ เลยอย่างนั้นเหรอ หากไม่ใช่ในอาณาจักร งั้นคงเป็นต่างประเทศสินะ”
“หืม อืม… อื้ม!”
หลังจากครุ่นคิดไปอยู่ครู่หนึ่ง บลิสก็พยักหน้าตอบกลับมา เมื่ออาเรียได้รับการยืนยันเธอว่ามาจากต่างประเทศ นั่นทำให้เธอรู้สึกวิตกกังวล
“ต่างประเทศ ที่ไหนเหรอ ใช่โรฮันหรือเปล่า โรฮันใช่ไหม”
แม้อาเรียจะถามออกไปอย่างมั่นใจ แต่เธอก็หวังว่าคำตอบจะไม่เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ และหากเด็กคนนั้นตอบว่าใช่ นั่นยิ่งทำให้ข้อสันนิษฐานของเธอถูกต้องด้วยเช่นกัน
ดูเหมือนว่าบลิสจะกลัวสีหน้าและคำพูดของอาเรียที่ดูจริงจังเกินไป บลิสจึงหลบสายตาและไม่ตอบอะไร กระดิกนิ้วไปมาราวกับกำลังลังเลที่จะตอบ
และท่าทางเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากคำตอบเลย นั่นเป็นการแสดงออกว่าที่เธอพูดมาถูกต้องทั้งหมดแล้ว คงเพราะเธอเป็นเด็กอาเรียเลยเข้าใจอะไรได้ง่าย
บลิสจ้องมองอย่างระมัดระวังราวกับกำลังซ่อนความลับยิ่งใหญ่ไว้อยู่
‘ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้’
เมื่อได้ข้อสรุปที่น่ากลัวนั้น อาเรียก็เริ่มเอามือก่ายหน้าผาก
พวกเขาแยกกันอยู่มาเกือบ 20 ปี เรื่องเช่นนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่―
‘ใครจะไปคิดว่าน้องต่างมารดาจะมาหาแบบนี้ล่ะ’
อาเรียตัดสินไปแล้วว่าบลิสที่ดูคล้ายเธอในตอนเด็ก คงจะเป็นน้องต่างมารดาของเธอเอง
หากหล่อนอายุน้อยกว่านี้ เธอคงคิดว่าเกิดจากท่านแม่ที่เพิ่งแต่งงานใหม่ไปแล้ว แต่ทว่าบลิสนั้นอายุเยอะกว่าที่เห็น
อายุของทั้งสองห่างกันถึง 20 ปีเลยทีเดียว
แม้ท่านพ่อจะเก็บตัวอยู่ในคฤหาสน์มาร์ควิสและคิดถึงเพียงแค่ท่านแม่ไปตลอดชีวิตก็ตาม แต่นี่เป็นสิ่งที่มิอาจรู้ได้
เมื่อหลักฐานมาปรากฏอยู่ต่อหน้าเช่นนี้แล้ว อาเรียจึงอดสงสัยไม่ได้
นึกว่าจะไม่มีเรื่องยุ่งเหยิงแล้วเสียอีก’
อาเรียรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันทีเมื่อเธอยังเหลือปัญหาใหญ่เช่นนี้อยู่ นั่นทำให้จู่ๆ เธอจึงรู้สึกอึดอัด จนต้องดื่มน้ำเย็นสักหน่อยเสียแล้ว
อาเรียที่กำลังจะสั่นกระดิ่งเรียกข้ารับใช้ดั่งเช่นที่เคยทำมา ก็ได้หยุดนิ่งไป
‘…เดี๋ยวนะ แล้วถ้ามีใครมาเห็นเด็กคนนี้ล่ะ’
อาจจะพากันเข้าใจผิดได้แน่นอน
แม้ข้ารับใช้ในวังจะเก็บความลับเก่ง แต่การที่ต้องมาสร้างข้อแก้ตัวต่างๆ ก็เป็นเรื่องที่อาเรียไม่พึงปรารถนาเสียเท่าไหร่
จู่ๆ บลิสได้เข้ามาอยู่ในสายตาอาเรียในขณะที่เธอกำลังคิดเรื่องต่างๆ
บลิสก้มศีรษะลงและหยุดกลอกตาไปมาอย่างหมดแรง
‘คนกล้าคนนั้นหายไปไหนกันนะ คนที่แอบเข้ามาในห้องทำงานของเจ้าหญิงและกล้าเอ่ยชื่อตัวเองต่อหน้าอาเรียอย่างกล้าหาญ’
แต่ดูเหมือนว่าเด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ ค่อนข้างน่าเห็นใจที่เขาต้องมาถูกสังเกตการสอบปากคำเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้
แม้อาเรียอยากจะคุยอีกหน่อยเพื่อให้รู้ว่าสถานการณ์เป็นมาอย่างไร แต่ทว่าเด็กคนนี้ก็ไม่ได้มีความผิดอะไรด้วยเช่นกัน
ไม่ใช่ว่าอาเรียไม่มีวิธีอื่นในการตรวจสอบ แต่ในตอนนี้เธอขอหยุดการไขข้อสงสัยเพียงเท่านี้ก่อน
“…ไปยืนอยู่ตรงนั้นทำไม มานั่งตรงนี้สิ”
ด้วยน้ำเสียงของอาเรียที่ดูผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้บลิสเบิกตากว้าง
จากนั้น บลิสก็วิ่งมานั่งบนโซฟาด้วยรอยยิ้มราวกับลืมไปแล้วว่าตนนั้นเพิ่งหมดแรง
“หิวน้ำไหม”
อาเรียถามพลางเทน้ำลงในแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะ
“อื้ม!
บลิสพยักหน้าตอบราวกับรอคำถามอยู่ก่อนแล้ว อาเรียจึงยื่นน้ำครึ่งแก้วให้เด็กผู้หญิงคนนั้น
“มีฝุ่นติดผมด้วย”
จากนั้น อาเรียค่อยๆ เกลี่ยผมของบลิสไปไว้หลังหูอย่างช้าๆ
แก้มของบลิสเริ่มเป็นสีแดงระเรื่อเมื่อลมหายใจอาเรียเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
แม้อาเรียจะไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนี้ แต่นี่ก็เป็นการดีที่เธอจะได้ตรวจสอบบริเวณติ่งหูของบลิสไปด้วย
‘มีจุดด้วยอย่างนั้นหรือ……’
นี่เป็นลักษณะพิเศษของตระกูลอาเรียที่ไวโอเล็ต ผู้ซึ่งเป็นคุณย่าของเธอได้บอกไว้
ทั้งเด็กคนนั้น และอาเรีย รวมไปถึงโคลอี้ บิดาผู้ในกำเนิดเธอก็มีจุดบริเวณติ่งหูด้วยเช่นกัน
เรียกได้ว่าเป็นหลักฐานที่อาเรียไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป ดวงตาของเธอหันไปมองบลิสด้วยใจที่เต็มไปด้วยความสับสน
ไม่รู้ว่าบลิสเข้าใจสถานการณ์ตรงนี้แล้วหรือไม่ แต่บลิสก็ได้คว้าแก้วน้ำด้วยมือเล็กๆ ทั้งสองของเธอไปดื่ม
ใบหน้าของบลิสช่างดูน่ารักน่าชังเสียจริงๆ ทำให้อาเรียผู้ที่ไม่ค่อยสนใจเด็กกลับจ้องมองอย่างไม่ละสายตา
แต่นั่นเป็นช่วงเวลาที่แสนสั้น ไม่นานนัก ความวิตกกังวลก็ถาโถมเข้าใส่อาเรีย จนทำให้เธอเดินวนไปมาอยู่ในห้องสำนักงาน
‘จะบอกกับเด็กคนนี้ยังไงดี’
ท่านแม่จะทราบถึงการมีตัวตนของเด็กคนนี้หรือเปล่านะ หากท่านยังไม่ทราบ ฉันต้องบอกท่านอย่างไรดี
หากท่านแม่รู้ ท่านคงเป็นลมอย่างแน่นอน ไม่สิ นี่มันดูเหมือนฉันมีลูกก่อนแต่งงานเสียอีก แต่ด้วยอุปนิสัยเช่นนั้น ท่านคงไม่คิดมากอะไรหรอก
แม้ยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกไหม แต่ดูเหมือนว่าอาเรียจะต้องพาเด็กคนนี้ไปยังคฤหาสน์เปียสต์เสียก่อน
หากอยู่กับเธอเช่นนี้ คงแก้ปัญหาอะไรไม่ได้แน่ๆ เธอจึงคิดได้ว่าจะพาเด็กคนนี้กลับไปยังโรฮัน อาเรียจึงหันไปหาบลิส แต่ทว่า-
“…!”
แล้วเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เด็กคนนั้นหายไปเสียแล้ว
……………………..