ตอนที่ 350 ยินดีปรีดา / ตอนที่ 351 ประทานรางวัล

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 350 ยินดีปรีดา 

 

 

หรงจิงเป็นฮ่องเต้ที่ละเอียดรอบคอบน่าเกรงขามแต่ก็เป็นบิดาที่เมตตา เมื่อเห็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนก็บังเกิดความรักใคร่ผูกพันฉันพ่อลูก เขาขึ้นครองราชย์ตั้งแต่เยาว์วัย ขณะนี้ยังไม่ได้แต่งตั้งฮองเฮาทั้งยังไม่มีรัชทายาท มีเพียงบุตรสาวสองคนเท่านั้น ส่วนบุตรสาวคนเล็กนี้ยังไม่ได้ทำพิธีฉลองวัยหนึ่งปีซึ่งยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนจึงจะถึงพิธีนั้น ตอนนี้เป็นเพียงหนูน้อยวัยสิบเอ็ดเดือนที่อ่อนนุ่มน่ารักอย่างยิ่ง 

 

 

องค์หญิงน้อยมองดูหรงจิงแล้วก็ไม่ได้ร้องไห้เอะอะ ท่าทางที่ว่าง่ายน่ารักทำให้คนรักใคร่ 

 

 

ซูเฟยเห็นท่าทางที่รักลูกน้อยของฮ่องเต้แล้วก็ดีใจไปด้วย หรงจิงอุ้มองค์หญิงน้อยแนบอก แล้วอุ้มไปบนตั่งนุ่มๆ 

 

 

เมื่อเห็นซูเฟย หรงเฉิงเยี่ยก็รู้ว่าตนเองไม่สะดวกจะอยู่นานจึงลุกขึ้นขอลาฮ่องเต้กลับไปก่อน 

 

 

“ไม่คิดว่าองค์หญิงหรงฟังจะโตเท่านี้แล้ว ครอบครัวเสด็จพี่เกษมสำราญเช่นนี้คงไม่ต้องรั้งกระหม่อมไว้แล้วกระมัง ทรงปล่อยกระหม่อมเป็นอิสระออกนอกวังไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หรงเฉิงเยี่ยพูดออกไปอย่างขำๆ แต่หรงจิงก็ไม่โกรธ พอเขากวักมือ กงกงเสี่ยวลี่จื่อก็ยกถาดเดินเข้ามา 

 

 

“ช่วงนี้เจ้าเหนื่อยยากมามาก เจ้าอยากได้ขลุ่ยทะเลเมฆมรกตเลานี้มาตลอดมิใช่หรือ ข้าให้เจ้า เอาไปเป่าเล่นให้สนุกเถิด” 

 

 

พอหรงจิงสะบัดมือ เสี่ยวลี่จื่อก็นำของขวัญนั้นส่งไปถึงเบื้องหน้าหรงเฉิงเยี่ย หรงเฉิงเยี่ยดีใจอย่างยิ่ง เปิดฝากล่องออกแล้วพิจารณาอย่างตั้งใจ 

 

 

ตอนหรงจิงหันกลับไปเขายังคงยืนอยู่เช่นนั้น จึงคิดจะหยอกเขาเล่น แต่พอเพิ่งยกมือขึ้นหรงเฉิงเยี่ยก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จากนั้นซ่อนมือที่ถือขลุ่ยทะเลเมฆมรกตไว้ข้างหลัง แล้วยิ้มพูดกับฮ่องเต้ 

 

 

“ฝ่าบาทประทานให้กระหม่อมจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำนะพ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้การๆ กระหม่อมจะต้องรีบไปแล้ว จะให้เสด็จพี่มีโอกาสนึกเสียดายไม่ได้เด็ดขาด” 

 

 

จากนั้นกำมือขึ้นทำความเคารพพูดยิ้มๆ 

 

 

“เป็นพระกรุณาที่เสด็จพี่พระราชทานให้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทูลลา” พูดจบเห็นหรงจิงยิ้มสะบัดมือจึงได้ถอยออกไป 

 

 

เซียงฉือได้ยินเสียงดังขึ้นที่นอกห้องไม่รู้ว่าใครกลับแล้ว นางอยู่ในตำหนักฉินเจิ้ง จัดการทำงานที่เมื่อคืนไม่ได้ทำให้เสร็จ ถึงแม้ตอนนี้จะเศร้าเสียใจแต่ก็ยังคงรับผิดชอบการงานอย่างเต็มที่ 

 

 

ซูเฟยเห็นฮ่องเต้กำลังหยอกเล่นอยู่กับบุตรสาวตัวน้อย จึงยิ้มแล้วพูดขึ้น 

 

 

“ฟังเอ๋อร์ เรียกเสด็จพ่อสิลูก เรียกเสด็จพ่อ เสด็จพ่อ…” 

 

 

ซูเฟยกล่อมลูกสาว พูดนำทีละคำๆ เด็กน้อยเห็นมารดาก็ยิ้มหวาน จากนั้นส่งเสียงใสเรียกตาม 

 

 

“เด็จป้อ!” 

 

 

เสียงอ้อนๆ ไม่ชัดเจนแบบทารกทำให้หรงจิงยิ้ม เขาได้ยินแล้ว ลูกสาวของเขาเริ่มพูดแล้ว ถึงแม้หรงฟังจะไม่ใช่ลูกคนแรกของเขา แต่ก็เป็นที่รักของเขาอย่างยิ่ง 

 

 

จะมีบิดาที่ไหนไม่รักลูก อีกทั้งซูเฟยยังสอนลูกเก่งเช่นนี้ เด็กน้อยเห็นหรงจิงก็ยิ้ม หากไม่ได้ป่วยไข้ก็จะน่ารักเช่นนี้ เมื่อลูกให้หน้ายอมเรียกออกมา ซูเฟยก็ดีใจยิ้มกับหรงจิงพูดว่า 

 

 

“ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงได้ยินหรือไม่เพคะ ฟังเอ๋อร์ของเราพูดได้แล้ว! ฟังเอ๋อร์ของพวกเราเรียกเสด็จพ่อได้แล้วเพคะ” 

 

 

ซูเฟยดีใจหนักหนา นางรับน้ำตาลก้อนหนึ่งจากมือแม่นมแล้วแตะเล็กน้อยตรงปลายนิ้วตน จากนั้นยื่นไปที่ข้างริมฝีปากบุตรสาวเพื่อให้นางเลีย ทำให้นางยิ่งหัวเราะเบิกบาน 

 

 

ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของหนูน้อย 

 

 

ในตอนนั้นหรงจิงมีสีหน้ายินดีปรีดาอย่างยิ่ง 

 

 

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ลูกสาวตัวน้อยของข้าพูดได้แล้ว เรียกเสด็จพ่อได้แล้ว ดี ดีจริง ดีจริงๆ!” 

 

 

ปกติหรงจิงไม่ได้เป็นเช่นนี้ เขาพูดคำว่าดีติดต่อกันถึงสามครั้ง แสดงว่ายินดีปรีดาอย่างยิ่งจริงๆ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 351 ประทานรางวัล 

 

 

หรงจิงเป็นใคร ย่อมเป็นประมุขของแผ่นดิน แล้วบุตรสาวของเขาเล่า ก็ต้องเป็นบุตรสาวที่สูงศักดิ์ที่สุดในหล้า องค์หญิงนั่นเอง 

 

 

ลูกสาวของเขาเรียกเสด็จพ่อได้ เขาหัวเราะจริงใจเหมือนอย่างบรรดาพ่อที่มีเมตตาทั้งหลายในโลกนี้ 

 

 

เขาเบิกบานใจอย่างที่สุด เจ้าหนูตัวน้อยในอ้อมกอดคือลูกสาวของเขา นางเริ่มหัดพูดครั้งแรกก็เรียกเสด็จพ่อแล้ว 

 

 

รสชาติความรู้สึกนั้นไม่ต้องบอกว่าสุขใจปานใด เมื่อหรงจิงดีใจก็สะบัดมืออันใหญ่โต แล้วของล้ำค่าหายากต่างๆ ล้วนประทานลงมา 

 

 

ก็เขาเป็นราชาที่ร่ำรวยที่สุดในแผ่นดิน 

 

 

ในความดีใจ หรงจิงก็ไม่ลืมมองดูซูเฟยที่ยิ้มน้ำตารื้นอยู่ข้างๆ เห็นนางแต่งตัวเรียบๆ สีหน้าดูซีดเซียวก็บังเกิดความสงสาร คิดถึงตัวเองที่มัวยุ่งอยู่กับราชกิจมาระยะหนึ่งจนละเลยดูแลบุตรสาวที่ป่วยไข้ ปล่อยให้ซูเฟยเหนื่อยยากอยู่เพียงคนเดียว 

 

 

และเขายังตำหนินางจึงเกิดความสงสารซูเฟยขึ้นมา 

 

 

“ระยะนี้ซูเฟยดูแลองค์หญิงคงเหนื่อยมาก เจ้าก็ควรต้องดูแลสุขภาพตนเองด้วย ข้าว่าช่วงนี้เจ้าดูผ่ายผอมไปนะ คงเพราะดูแลลูกเหนื่อยเกินไปกระมัง” 

 

 

หรงจิงถามไถ่ซูเฟยด้วยความห่วงใย ซูเฟยหน้าแดงระเรื่อ น้ำตาไหวระริกน้อยๆ 

 

 

“หม่อมฉันเพิ่งจะได้เป็นมารดาจึงทำอะไรตกๆ หล่นๆ อยู่บ้าง ช่วงที่ผ่านมาลูกป่วย หม่อมฉันที่เป็นแม่เห็นอยู่กับตา เจ็บปวดอยู่ภายในใจ แค้นใจที่ไม่อาจเจ็บป่วยแทนลูกได้เพคะ” 

 

 

“ครึ่งเดือนมานี้จึงดูแลอย่างมิได้หยุดหย่อน ตอนนี้ลูกก็หายดีแล้วอีกทั้งยังพูดได้แล้ว หม่อมฉันดีใจยิ่งนัก ไม่ว่าจะลำบากเพียงใด เหนื่อยยากแค่ไหน แต่เมื่อเห็นลูกหัวเราะ สุขภาพแข็งแรงก็หายเหนื่อย ไม่เจ็บปวดอีกแล้วเพคะ” 

 

 

ซูเฟยมีความสามารถทำให้ฮ่องเต้พอใจเสมอมา คำพูดนางเช่นนี้ ทำให้หรงจิงยิ่งรักและสงสารนางมากขึ้น 

 

 

“เป็นเพราะช่วงนี้ข้ามัวแต่ยุ่งกับราชกิจ ทำให้เจ้าต้องเหน็ดเหนื่อย” 

 

 

ซูเฟยฟังคำพูดนั้นแล้วก็ไม่กล้าตอบรับ เพียงค่อยๆ ก้มหน้าพูดอ้อนๆ 

 

 

“ฝ่าบาทเป็นพระประมุขของราษฎรทั่วหล้า ทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อพวกเขาทุกวัน หม่อมฉันก็เป็นคนคนหนึ่งของฝ่าบาทและถวายใจทั้งดวงแด่พระองค์แล้ว การได้เหน็ดเหนื่อยเพื่อพระองค์เป็นวาสนาของหม่อมฉัน หม่อมฉันยังควรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทนะเพคะ” 

 

 

คำพูดของซูเฟยทำให้ฮ่องเต้พอใจ เขาแตะจมูกนาง ยิ้มพูดว่า 

 

 

“ซูกงกง ไปนำไข่มุกสีชมพูที่ทางตงไห่ส่งมาบรรณาการยี่สิบเม็ด แล้วไปนำยาชั้นดีจากคลังเก็บมามอบให้ซูเฟยบำรุงร่างกาย ยังมีไข่มุกราตรีที่คลายร้อนนั่นด้วยส่งทั้งหมดไปยังตำหนักจู้เซียง มอบให้ซูเฟยกับฟังเอ๋อร์คลายร้อน” 

 

 

หรงจิงยังคงพระราชทานรางวัลต่อไป ซูเฟยเบิกบานยินดีในใจ ตำหนักจู้เซียงของนางเทียบตำหนักอวี้หยวนของจินกุ้ยเฟยไม่ได้ ชาติกำเนิดนางก็ไม่อาจเทียมจินกุ้ยเฟย สิ่งของดีๆ ทั้งหลายที่ได้ล้วนมาจากที่ฝ่าบาทประทานให้ทั้งสิ้น 

 

 

เป็นที่รู้กันดีว่าในคลังสมบัติของฮ่องเต้มีอัญมณีจำนวนมาก ไข่มุกสีชมพูนางเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก ส่วนไข่มุกราตรีนางมีอยู่แล้วเม็ดหนึ่งและมักนำออกมาโอ้อวด 

 

 

ซูเฟยแอบดีใจ ครั้งนี้หากถูกจินกุ้ยเฟยรู้เข้าจะมิโมโหโกรธาจนจมูกเบี้ยวไปเลยหรือ 

 

 

ไข่มุกราตรีของจินกุ้ยเฟยเป็นของขวัญวันเกิดที่บิดาของนางเป็นคนส่งไปให้ ส่วนไข่มุกราตรีของนาง จ้าวเย่ว์หวนคนนี้เป็นของพระราชทานโดยตรงจากฝ่าบาท 

 

 

ซูเฟยกำลังดีใจ บุตรสาวนางเริ่มงัวเงียง่วงนอน แล้วซุกอยู่ในวงแขนของหรงจิงหลับอย่างสบายไปแล้ว 

 

 

หรงจิงเห็นเข้าก็ยิ้ม เขาแตะแก้มอ่อนนุ่มของนางเบาๆ พอคิดจะดึงแก้มนางก็เกรงจะทำให้ลูกสาวที่หลับสนิทอยู่ตื่นขึ้น เขาจึงยิ้มแล้วส่งลูกสาวคืนสู่อ้อมอกซูเฟย 

 

 

ซูเฟยก็ไม่รั้งรออยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง นางทำความเคารพแล้วออกจากห้องอักษรกลับตำหนักจู้เซียงของนาง