ตอนที่ 352 สิ่งที่นางทำได้
วันนี้เซียงฉือสวมชุดขาวที่เหอจิ่นเซ่อเตรียมไว้ให้นางโดยไม่ได้สวมชุดทางการของข้าราชสำนักสตรีสีฟ้าคราม เมื่อหรงจิงกลับเข้าตำหนักฉินเจิ้ง ก็เห็นนางกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะก้มหน้าก้มตาอ่านอย่างขะมักเขม้น
“เซียงฉือ เหตุใดเจ้าจึงใส่ชุดขาว”
พอหรงจิงถามขึ้นมาเซียงฉือก็ตกตะลึงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา เมื่อนางใคร่ครวญแล้วจึงรีบคุกเข่าลงไปเบื้องหน้าหรงจิง พูดด้วยเสียงเศร้าสร้อย
“พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันได้รับจดหมายจากทางบ้านแจ้งว่าท่านปู่ถึงแก่กรรมแล้ว หม่อมฉันไม่อาจไปไว้ทุกข์เบื้องหน้าแท่นบูชาได้รู้สึกละอายยิ่งนัก และรู้ว่าอยู่ในวังไม่อาจสวมชุดปอไว้ทุกข์ได้ จึงได้แต่เพียงสวมชุดขาว ทุกวันรับประทานข้าวต้มเปล่า และคัดบทสวดมนต์เพื่อท่านปู่ทุกคืน เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูเพคะ”
เซียงฉือก้มหน้าต่ำ ไม่รู้ว่าหรงจิงจะจัดการอย่างไร ท่านปู่ของนางเป็นขุนนางต้องโทษ ไม่รู้ว่าหรงจิงเอือมระอาหรือไม่
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่นางยังคงต้องการจะแสดงความกตัญญูอย่างเต็มที่ต่อท่านปู่เป็นครั้งสุดท้าย จึงได้สารภาพกับหรงจิงตามความเป็นจริง
หรงจิงมองดูนาง ถอนใจเบาๆ
“ในเมื่อใต้เท้าอวิ๋นจากไปแล้วเจ้าก็อย่าได้โศกเศร้ามากนัก เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว”
หรงจิงพูดเพียงเท่านี้ไม่ได้สืบซักเรื่องราวอีก เซียงฉือผงกศีรษะขอบคุณเขาแล้วกลับไปในที่นั่งตน หรงจิงเปิดรายงานเล่มหนึ่งออกดู
ใจของเขากลัดกลุ้มนัก เมื่ออยู่ในราชสำนักจะต้องคิดวางแผนพิจารณา กับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เขาจะไม่ให้ความสนใจ ถึงแม้เซียงฉือจะเป็นขุนนางใกล้ชิด เมื่อท่านปู่นางถึงแก่กรรม สิ่งที่หรงจิงทำได้คือยินยอมให้เซียงฉือสวมชุดขาวเข้าออกตำหนักเจิ้งหยางตามสะดวก
สำหรับเซียงฉือ การที่หรงจิงยินยอมให้นางไว้ทุกข์เช่นนี้ก็เป็นที่ซาบซึ้งใจแล้ว ไม่กล้าขออะไรที่มากเกินเลยไป นางยุ่งอยู่กับงานแยกประเภทเล็กๆ ของงานใหญ่ในราชสำนักให้กับหรงจิง
เซียงฉือพบรายงานที่พูดถึงการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ ทุจริตหาประโยชน์ส่วนตัว ยักยอกเงินและเสบียงกองทัพของขุนพลจิน ผู้ที่รายงานคือขุนนางทัดทานจากฝ่ายตรวจการท่านหนึ่ง ทุกคำทุกประโยคเขียนขึ้นอย่างทุ่มเทชีวิตจิตใจ เมื่อเซียงฉือคิดถึงคนที่ตีท่านอาจนเสียชีวิตและทำร้ายท่านปู่จนเสียชีวิตในต่างแดนแล้ว
ต้นเหตุของเภทภัยครั้งนั้นก็คือขุนพลจินผู้เป็นบิดาจินกุ้ยเฟยนั่นเอง เพียงแค่คิดขึ้นมา นางก็ไม่อาจหักห้ามความเคียดแค้นต่อคนคนนี้ได้
เมื่อเห็นมีคนกล่าวโทษถึงจวนขุนพลจินเช่นนี้จึงได้นำรายงานฉบับนั้นวางไว้เป็นฉบับบนสุดของรายงานที่จะถวายฮ่องเต้
เซียงฉือถึงจะเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรที่ไม่ได้มีอำนาจใหญ่โตอะไร แต่มีอยู่สิ่งหนึ่ง ทุกๆ วันจะมีรายงานจากทุกสารทิศนับร้อยนับพันมาถึงฝ่าบาท แม้ฝ่าบาทจะมีพันมือพันตาแต่สติกำลังก็ยังคงไม่เพียงพอ
ดังนั้นเวลาที่ฝ่าบาทตรวจอ่านรายงาน ฉบับที่อยู่ด้านบนจะถูกเปิดอ่านและพิจารณาจริงจังพร้อมทั้งจัดการอย่างเคร่งครัด ส่วนพวกที่อยู่ด้านล่าง ส่วนมากจะเป็นรายงานถามทุกข์สุข ก็จะส่งให้เซียงฉือประทับตราคำว่าอ่านแล้วไว้บนนั้น
และในขั้นตอนเหล่านี้ ถึงแม้เซียงฉือจะเป็นเพียงข้าราชสำนักสตรีเล็กๆ ขั้นที่เก้า แต่จะมีสิทธิอำนาจมากมาย เพราะการที่นางจะส่งรายงานให้ฮ่องเต้นั้น สามารถตัดสินใจได้ว่าจะวางฉบับไหนไว้ด้านบนและฉบับไหนวางไว้ด้านล่าง
และแม้จะฝังจนไม่ให้มันได้ผุดออกมา ฮ่องเต้จะทำอย่างไรได้
นี่เป็นความคิดเล็กๆ ของเซียงฉือที่ฮ่องเต้ไม่รู้ แต่ถึงจะรู้นางก็เพียงบอกไปว่าสะเพร่าไปก็เท่านั้นเอง ในเมื่อเอกสารมีเป็นจำนวนมากและล้วนเร่งด่วน นางที่เป็นสตรีเพียงคนเดียวจะไม่ให้เกิดความผิดพลาดบ้างเชียวหรือ
เซียงฉือจึงวางรายงานของขุนนางทัดทานไว้ชั้นบนสุด เมื่อลุกขึ้นแล้วก็นำรายงานที่ฝ่าบาทต้องการเมื่อครู่ไปรายงานต่อเบื้องหน้า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเพิ่งจัดการรายงานเสร็จ ทูลเชิญทอดพระเนตรเพคะ”
เซียงฉือถือรายงานก้มหน้าต่ำมาก ส่งไปให้กับฮ่องเต้
ตอนที่นางอยู่ในกองราชเลขาได้สาบานไว้แล้วว่านางจะต้องแก้แค้นให้ท่านปู่ให้ได้ ถึงแม้ตอนนี้นางจะยังต่ำต้อยพูดจาไร้น้ำหนัก แต่นางจะจดจำเรื่องครั้งนี้ไว้ ไม่มีวันลืมเลือนตลอดไป
ตอนที่ 353 เลือกป้าย
เซียงฉือส่งรายงานขึ้นไป หรงจิงส่งเสียงรับในลำคอแล้วส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายวางลงบนโต๊ะ ส่วนตัวเองยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานอยู่ วนเวียนไปมาอยู่เช่นนั้นกระทั่งเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงยามเฉิน กงกงในกองพระตำหนักของฮ่องเต้ก็ยกป้ายเล็กๆ เดินปราดเข้ามา
“ฝ่าบาท ทรงเปิดป้ายเถิดพ่ะย่ะค่ะ วันนี้สิบห้าค่ำเป็นวันดีเหมาะแก่การร่วมหอนะพ่ะย่ะค่ะ วันนี้ฝ่าบาทไม่เสด็จฝ่ายในไม่ได้อีกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมได้รับพระบัญชาจากไทเฮาให้รับผิดชอบงานห้องบรรทมของฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่เสด็จฝ่ายในมาหนึ่งเดือนแล้ว ไม่ทรงพบพระสนมชายา กระหม่อมบกพร่องต่อหน้าที่ ไม่สามารถเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์ไทเฮาได้พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีดูแลงานบรรทมของฮ่องเต้คนนี้มีชื่อว่าหลิวอวี้หรงหรือหลิวกงกง เดิมเขาเป็นขันทีรับใช้ไทเฮา เมื่อฮ่องเต้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ เขาจึงถูกไทเฮาย้ายมาให้รับผิดชอบเรื่องงานบรรทมของฮ่องเต้ แต่ว่าฮ่องเต้พระองค์นี้ควบคุมเรื่องระหว่างชายหญิงมาก ทำให้เขากลุ้มใจทุกวัน
สมกับคำที่ว่าฮ่องเต้ไม่ร้อนรนแต่ขันทีลนลานยิ่ง
หรงจิงยังคงตรวจรายงานไปเรื่อยๆ ไม่พูดอะไรมาก กงกงคนนั้นสีหน้าลำบากใจส่งสายตาไปยังซูกงกง
ซูกงกงก็ส่งสายตากลับ ส่งกันไปมากระทั่งหรงจิงเห็นเข้า
“เจ้าสองคนไม่ต้องส่งสายตากันไปมา วันนี้ข้าจะไม่ไปฝ่ายใน จะพักอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางนี่แหละ ออกไปได้แล้ว”
หลิวกงกงเข้ามาด้วยใบหน้าเพ้อฝันแต่ตอนนี้กลายเป็นมะระขมไปแล้ว เมื่อได้ยินหรงจิงพูดเช่นนั้นก็ไม่กล้าอยู่ต่อ จึงถอยหลังช้าๆ ออกไปหลายก้าว กิริยานั้นดูคล้ายกับผู้หญิงที่คับแค้นใจ
แลดูน่าขำ เรื่องงานบรรทมของฮ่องเต้ก็มีหน่วยงานรับผิดชอบดูแลโดยเฉพาะคือกองพระตำหนัก ซึ่งที่นั่นไม่มีข้าราชสำนักสตรีมีเพียงหมัวหมัวกับขันทีและนางกำนัล กงกงผู้รับผิดชอบดูแลคือหลิวอวี้หรง หมัวหมัวผู้รับผิดชอบคือหงซี ทั้งคู่เป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายไทเฮาที่ทำงานเชื่อถือได้
เพราะมีหญิงสาวมากมายที่เข้าวังมาแล้วเพิ่งจะได้ถวายตัวเป็นครั้งแรก มีกฎระเบียบมากมายที่หมัวหมัวเหล่านี้จะต้องทำการแนะนำให้ก่อน มิเช่นนั้นจะทำให้อับอายขายหน้าต่อหน้าฮ่องเต้
เฉกเช่นเดียวกับหญิงสาวชาวบ้านที่ก่อนออกเรือนมารดาจะนำยาเซียงตี่[1]ออกมาแนะนำสอนลูกสาวถึงศิลปะในห้องนอน จะได้ไม่กลายเป็นเรื่องตลกในคืนเข้าหอวันวิวาห์
ในวังก็เป็นเช่นนี้แต่จะเน้นเรื่องพิธีการมากกว่า ดังนั้นจึงมีหมัวหมัวเฉพาะทางเพื่อรับผิดชอบงานนี้ ซึ่งก็คือหงซี
เซียงฉือรู้ว่าหรงจิงปฏิเสธเรื่อยมา แม้หลิวกงกงจะพูดจาภาษาดอกไม้แบบไหน จะอ้างวันดีวันมงคลเช่นไร หรือขอเพียงหรงจิงร่วมหอกับชายาองค์ใดก็ได้ จะได้มีพระโอรสโดยไวอะไรเทือกนั้น หรงจิงก็ไม่เกิดความรู้สึกสนใจ
เซียงฉือรู้และทำเฉยเช่นเดียวกับหรงจิง ไม่ว่าหลิวกงกงจะพูดได้ฮึกเหิมเพียงใด ทั้งคู่ก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย
ผ่านไปครู่หนึ่ง หงซีกูกูคนนั้นก็เดินเข้ามา นางเป็นหญิงกลางคนอายุราวสี่สิบปี เดิมเป็นแม่นมฮ่องเต้มาก่อน เป็นคนโปรดของฮ่องเต้ไม่น้อย
ที่นางมานี่ก็เพราะได้รับลูกยุจากหลิวอวี้หรงกงกง
พอมาถึงเบื้องพระพักตร์ก็รีบทำความเคารพ
“ฝ่าบาท วันนี้ได้ป้ายของซูเฟยนะเพคะ ช่วงที่ผ่านมานี้นางต้องดูแลองค์หญิงน้อยอย่างเหนื่อยยาก ส่วนพวกหม่อมฉันในกองพระตำหนักต้องลำบากใจมากนะเพคะ ฝ่าบาททรงสงสารหมัวหมัวด้วยเถิดเพคะ”
อย่างไรหงซีก็เป็นแม่นมของฮ่องเต้ หรงจิงจึงไม่อาจไม่สนใจนาง บุญคุณน้ำนมยังมีอยู่ หรงจิงถอนใจเนือยๆ มองหงซีแล้วส่ายหน้าเบาๆ
“หมัวหมัวก็รู้ว่าข้าไม่ใจจืดใจดำ เอาล่ะ คืนนี้ข้าไปตำหนักจู้เซียงก็แล้วกัน”
หงซีหมัวหมัวกับผู้ช่วยได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม หลิวกงกงที่รู้ข่าวก็รีบวิ่งไปแจ้งซูเฟยที่ตำหนักจู้เซียง
หงซียิ้มให้ฮ่องเต้ พูดขึ้นว่า
“ฝ่าบาททรงเมตตาหม่อมฉันยิ่งเพคะ พระองค์ทรงเป็นพระประมุขของประเทศย่อมมีราชกิจมากมาย แต่งานบรรทมก็เป็นงานเมืองเช่นกัน ทั้งยังเป็นรากฐานของประเทศอีกด้วย ฝ่าบาทควรเอาพระทัยใส่ให้มากด้วยนะเพคะ!”
หรงจิงเลิกคิ้วแต่ก็พยักหน้า หงซีจึงได้ถอยออกไป
ในบรรดาหมัวหมัวในวังนี้ มีเพียงหงซีที่สามารถกล่าวเตือนหรงจิงได้ ถึงหรงจิงจะเป็นฮ่องเต้ที่มุ่งมั่นเข้มแข็ง แต่ก็เป็นคนที่สำนึกถึงคนเก่าก่อนที่ผูกพันกันมา คงเป็นเพราะไทเฮาเข้าใจในจุดนี้ จึงได้เจตนาให้นางรับผิดชอบหน้าที่นี้
แต่ไทเฮาประชวรและเสด็จสวรรคตไปแล้วเมื่อปีกลาย เซียงฉือเองก็ได้รับพระกรุณาธิคุณจากพระองค์ ทำให้ทั้งครอบครัวรอดพ้นจากโทษตายมาได้
[1]ยาเซียงตี่ (压箱底) แปลตามศัพท์คือ เก็บเอาไว้ใต้**บ เป็นเครื่องปั้นดินเผารูปทรงผลไม้เปิดออกได้ ขนาดอาจเล็กกว่ากำปั้น ด้านในบรรจุรูปปั้นการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ชาวบ้านจีนโบราณเก็บไว้ใต้**บเพื่อเป็นเครื่องลาง จนกระทั่งลูกสาวจะออกเรือนมารดาก็จะนำออกมาสอนลูกเป็นเพศศึกษา