ตอนที่ 354 เจี่ยนสุยถวายรายงาน / ตอนที่ 355 คำถาม

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 354 เจี่ยนสุยถวายรายงาน

 

 

หรงจิงลุกขึ้นเตรียมตัวจะออกไป เซียงฉือก็ลุกขึ้นเพื่อน้อมส่งเสด็จ

 

 

หรงจิงสามารถเข้าไปฝ่ายในเพื่อทำภารกิจอีกอย่างหนึ่งคือการสืบรัชทายาท ส่วนเซียงฉือยังคงต้องอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางเพื่อทำงานอักษรของนางต่อไป

 

 

หรงจิงลุกเดินออกไปถึงหน้าประตูแล้ว เซียงฉือเตรียมทำความเคารพตามพิธีการส่งเสด็จ พลันหรงจิงหันกลับมาพูดกับนางว่า

 

 

“คืนนี้ไม่ต้องทำงานหักโหมนัก มีงานต้องให้เจ้าเก็บอีกหน่อย ถ้าทำเสร็จแล้วก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด”

 

 

หรงจิงตั้งใจจะพูดปลอบเซียงฉืออีกคำสองคำ แต่ก็คิดคำพูดไม่ออกยืนอยู่ตรงหน้าประตูเช่นนั้น แล้วจึงสะบัดมือเดินออกประตูตำหนักไป เซียงฉือไม่ได้ใส่ใจอะไรนางกลับที่นั่งตนเอง วันนี้งานที่หรงจิงสั่งมีไม่มาก แต่เพราะใจนางวอกแวกจึงดึงมาจนถึงตอนนี้

 

 

เซียงฉือเปิดรายงานออกฉบับหนึ่ง ลายมือที่คุ้นตาในนั้นทำให้นางต้องตกตะลึง เป็นเขา!

 

 

รายงานของเหอเจี่ยนสุย

 

 

เหอเจี่ยนสุยเป็นขุนนางขั้นที่ห้าในราชสำนัก ว่ากันตามอายุถือว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่ประสบความสำเร็จ เขามีชื่อเสียงทางวิชาการที่หลานโจว อีกทั้งเป็นคนที่เหลียนชินอ๋องสนับสนุนจึงได้เข้ามาเป็นขุนนางในเมืองหลวง

 

 

ตำแหน่งหัวหน้าสำนักศึกษาถึงจะเป็นตำแหน่งที่สูงแต่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก หากเป็นเมื่อก่อนเหอเจี่ยนสุยคงจะยินดีปรีดา เพราะเขาเป็นคนชอบศึกษาเป็นคุณชายอิสระ หากให้ร่ายกาพย์ท่องกลอน ดีดพิณดื่มสุรายังพอทำเนา แต่หากให้เป็นขุนนางจริงๆ แล้ว เขายังโหดไม่พอ

 

 

งานราชการยุ่งยากซับซ้อน เปลี่ยนแปรไม่แน่นอน ในสายตาเซียงฉือ เขาเป็นเหมือนดั่งต้นบ๊วยทรนงท่ามกลางหิมะ แต่ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงอันฟู่ฟ่าที่ดูตระการตา ทว่าแฝงเร้นกลไกแห่งการเข่นฆ่าไว้ สำหรับเขาแล้วไม่เหมาะสมกับสถานที่เช่นนี้เลย

 

 

เซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีมาระยะหนึ่งแล้ว ยังไม่เคยเห็นรายงานของเหอเจี่ยนสุยมาก่อน วันนี้ได้มาเห็นลายมือที่คุ้นเคย สำนวนที่คุ้นเคย ทำให้ถึงกับน้ำตานอง

 

 

คิดไม่ถึงว่าการได้เป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษร จะได้รับสวัสดิการเช่นนี้

 

 

ลายมือของเขา คำพูดของเขาปรากฏอยู่เบื้องหน้า เซียงฉือเช็ดน้ำตาแล้วอ่านอย่างตั้งใจ

 

 

เซียงฉืออ่านไปได้ครู่หนึ่งสีหน้าก็เครียดขึ้น เหอเจี่ยนสุยถึงกับบอกว่าจวนขุนพลจินทุจริตเงินกองทัพ ยักยอกเงินและเสบียง อีกทั้งยังรายงานเรื่องที่จินรั่วหลินน้องชายจินกุ้ยเฟยทุตริตเงินกองทัพกับตีราษฎรจนตาย เขาเล่าความจริงและที่มาที่ไปของเรื่องนี้ออกมา

 

 

เรื่องชักจะครึกโครมไปกันใหญ่ เซียงฉืออ่านรายงานนั้นแล้วใจเต้มโครมคราม

 

 

‘เจี่ยนสุย ถึงเจ้าคิดจะแก้แค้นแทนท่านปู่ แต่ไม่ควรรีบร้อนเช่นนี้ ถึงเซียงฉือจะได้รับความอยุติธรรมทั้งชีวิต ก็ไม่อาจดึงเจ้าเข้ามาพัวพันได้ ไม่อาจทำให้เจ้ากับบ้านสกุลเหอต้องถลำเข้าสู่จุดที่ไม่อาจฟื้นคืนกลับอีกต่อไปได้’

 

 

บ้านสกุลเหอเป็นขุนนางวิชาการ ส่วนบ้านสกุลจินเป็นนักรบ ปกติขุนนางวิชาการกับขุนศึกเบาะแว้งกันคึกคักอยู่ในราชสำนักฝ่ายหน้าอยู่แล้ว ตอนนี้เหอเจี่ยนสุยถวายรายงานกล่าวโทษจวนขุนพลจินเช่นนี้ ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดเลย

 

 

เซียงฉือคิดทบทวนอยู่นาน นางคิดว่าเหอเจี่ยนสุยที่เป็นคนเยือกเย็นมาตลอดนั้น เป็นเพราะทนเห็นนางได้รับความอยุติธรรมเช่นนี้ไม่ได้ จึงได้ถวายรายงานกล่าวโทษขึ้นมา

 

 

มิเช่นนั้นเขาย่อมไม่ทำการบุ่มบ่ามเช่นนี้เด็ดขาด ถึงแม้ขุนพลจินจะกลับเข้าเมืองหลวงแล้ว แต่กำลังในกองทัพกับในราชสำนักของบ้านสกุลจินไม่ได้อ่อนแอลงเลย การถวายรายงานในตอนนี้ ไม่ต่างกับการเอาไข่กระทบหิน

 

 

มีแต่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น ทั้งเวลานี้บ้านสกุลจินยังเป็นขุนนางที่หรงจิงรักใคร่ การจะมาเป็นตะปูในตา เสี้ยนในเนื้อของเขาเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย

 

 

เขาเป็นขุนนางบุ๋น สะบัดพู่กันก็สามารถเขียนบทความงดงามสละสลวยออกมาได้ แต่คนคนนั้นเป็นขุนศึก เพียงสะบัดมีดใหญ่ ก็ดับชีวิตเขาได้เลย

 

 

ยิ่งคิดเซียงฉือก็ยิ่งกลัว อยากที่จะกลืนกินรายงานในมือลงท้องไป แล้วทำเป็นไม่เคยเห็นมาก่อน

 

 

ถึงนางจะทำไม่แยแส แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ แม้ว่าเหอเจี่ยนสุยจะเป็นขุนนางขั้นห้าที่ไม่ต้องเข้าปรึกษางานในท้องพระโรงก็ตาม แต่นางก็ยังไม่อาจวางใจลงได้อยู่ดี

 

 

 

 

ตอนที่ 355 คำถาม

 

 

เซียงฉือนั่งอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางราวนั่งอยู่บนพรมเข็มทำให้นั่งต่อไปไม่ไหว นางคลุมเสื้อตัวนอก ซ่อนรายงานนั้นในกระโปรงแล้วรีบวิ่งออกไป

 

 

ระหว่างทางพบซูกงกงที่กลับมาเอาของให้ฮ่องเต้ เมื่อเขาเห็นเซียงฉือรีบเร่งออกมาก็อึ้งไป

 

 

“เจ้าเด็กคนนี้ พอฝ่าบาทไม่อยู่ข้างๆ ก็วิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือเลย ชนเข้ากับกระดูกแก่ๆ อย่างข้านี่ยังไม่เป็นไร แต่หากไปชนกับท่านผู้สูงศักดิ์เช้า คงจะต้องถูกลงโทษเป็นแน่”

 

 

ซูกงกงอายุใกล้สามสิบห้าปี แต่มีท่าทางเป็นผู้อาวุโส นับวันเขารู้สึกรักเอ็นดูเซียงฉือมากขึ้น แต่พวกเขาต่างเป็นข้ารับใช้ ไม่ควรบังอาจมาวิ่งทะเล่อทะล่าในตำหนักเจิ้งหยางเช่นนี้

 

 

ซูกงกงพูดเพราะต้องการให้เซียงฉือได้ดี เซียงฉือจึงรีบตอบรับทราบ

 

 

“ซูกงกง ข้ากำลังรีบจะไปพบใต้เท้าเหอ ขืนช้าไปนิดเดียว ประตูกองราชเลขาก็จะปิดแล้ว”

 

 

เซียงฉือลนลานคิดจะรีบออกจากประตูไป ซูกงกงสะบัดมือปล่อยนางออกไป แต่เพียงพ้นประตู ก็พบกับหรงจิงที่หวนกลับมา ทั้งคู่ประจันหน้ากัน

 

 

เซียงฉือกอดรายงานในแขนเสื้อ ระวังไม่ให้หล่นลงมา

 

 

หรงจิงมองเซียงฉืออย่างแปลกๆ แล้วขยับเท้าเดินเข้าไปในห้อง เซียงฉือรีบทำความเคารพ

 

 

“ถวายบังคมฝ่าบาท”

 

 

หรงจิงเพราะยังไม่วางใจ จึงใช้ซูกงกงให้กลับมาหยิบรายงานเพื่อจะไปพิจาณาต่อ แต่พอคิดได้ว่าซูกงกงรู้หนังสือไม่มาก กลับมาแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรที่เขาต้องการ ดังนั้นจึงได้กลับมาเอง

 

 

แล้วก็พบกับเซียงฉือที่ลนลาน

 

 

“เหตุใดเจ้าจึงลนลานแบบนี้ ข้าออกไปเพียงครู่เดียว เจ้าก็ไม่ทำงานเสียแล้ว”

 

 

เซียงฉือถอนใจสลด แล้วก้มหน้าทำความเคารพยอมรับผิด

 

 

“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ขอฝ่าบาทลงโทษด้วยเพคะ”

 

 

เซียงฉือก้มหน้าต่ำ หรงจิงยิ้มแล้วหยิบดอกไห่ถังเคาะหน้าผากนาง

 

 

“ดอกไห่ถังบานแล้ว เวลาของดอกท้อกำลังจะผ่านไป มานี่ ข้าจะทัดให้ นี่เป็นดอกไห่ถังดอกแรกของปีนี้”

 

 

เซียงฉือได้รับโปรดปรานอย่างไม่คาดคิดจนต้องแปลกใจ นางไม่กล้าขยับ เพียงยื่นมือออกไปแตะเบาๆ มองดูสายตาสดใสของฮ่องเต้ แล้วก้มหน้าขอบคุณ

 

 

“เป็นพระกรุณาธิคุณที่ทรงประทานให้หม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันมีคำถามหนึ่ง ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะทรงตอบหรือไม่เพคะ”

 

 

เซียงฉือสัมผัสดอกไห่ถังที่ข้างหูเบาๆ กลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ จากนี้เป็นต้นไปก็ถึงเวลาที่ดอกไห่ถังจะเบ่งบานแล้ว

 

 

เซียงฉือมีข้อสงสัยข้อหนึ่งหรืออาจเป็นความสนใจอย่างหนึ่ง

 

 

หรงจิงไม่ปฏิเสธ เขามองเซียงฉือแล้วพยักหน้า มองดูนางด้วยความสนใจ รอคอยคำถาม

 

 

เซียงฉือใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเรียบเรียงคำพูดแล้วจึงเอ่ยปาก

 

 

“ฝ่าบาท ฤดูกาลทั้งสี่แจ่มชัดอยู่ในเมืองหลวงนี้ และทั้งสี่ฤดูล้วนมีดอกไม้สดเบ่งบาน ทัศนียภาพทุกแห่งในอุทยานหลวงล้วนงดงามอย่างยิ่ง ดอกไม้ที่ตระการตาที่สุดในฤดูใบไม้ผลิคือดอกท้อพราวเสน่ห์ ฤดูร้อนมีไห่ถังที่หอมอ่อนละมุน ฤดูใบไม้ร่วงมีดอกเบญจมาศหอมกรุ่นบนกิ่ง ส่วนฤดูหนาวจะเป็นดอกบ๊วยที่ยืนหยัดท่ามกลางหิมะ”

 

 

“ดอกไม้ทั้งสี่ฤดูล้วนมีความงดงามตามแบบฉบับของมัน ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงโปรดดอกอะไรเป็นพิเศษเพคะ”

 

 

เซียงฉือถามเช่นนี้เป็นเพราะนึกสนุกขึ้นมาเช่นนั้นหรือ หรงจิงไม่ได้คิดเช่นนั้น ผู้หญิงในวังนี้มักชอบนำสิ่งของไปเปรียบกับคน เซียงฉือถามเรื่องนี้ เขาคิดไปถึงว่าเขาเพิ่งจะออกไปเมื่อครู่ เซียงฉือก็รีบเร่งออกมาอย่างบุ่มบ่ามราววิญญาณถูกกระชาก

 

 

แล้วตอนนี้ที่เขามอบดอกไห่ถังให้นางก็หน้าแดง ถึงฝ่ายในของเขาจะมีดอกไม้งามแข่งกันเบ่งบานมากมาย แต่ต่างก็มีความโดดเด่นเฉพาะตัวอยู่ การที่เซียงฉือถามเช่นนี้ หรงจิงคิดว่านางเกิดหวั่นไหวเสน่หาในตนเองเข้าแล้วจึงได้ทดสอบความในใจของเขา