ตอนที่ 356 บัญชาหรงจิง / ตอนที่ 357 รอในห้องอักษร

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 356 บัญชาหรงจิง

 

 

หรงจิงคิดขึ้นมาแล้วไม่รู้เพราะเหตุใด เกิดความพึงใจและหวานซึ้งขึ้นในใจ

 

 

แต่เขาไม่ได้บอกความรู้สึกนั้นออกมา เพียงตอบคำถามเซียงฉือ เขาเป็นถึงฮ่องเต้จะมีความพึงใจสิ่งใดเป็นพิเศษเล่า แม้จะใช้ดอกไม้สื่อถึงคน เขาก็ควรให้เซียงฉือได้เข้าใจอย่างเห็นชัดกับเรื่องนี้

 

 

“เซียงฉือเจ้าควรรู้ไว้ ราชันย์ของแผ่นดิน ปกครองใต้หล้า ฝ่ายในในวังที่กว้างใหญ่นี้ มีดอกไม้บานครบทุกฤดูกาลอยู่จริง ทว่าไม่มีดอกไม้ใดที่จะบานอยู่ได้ครบทั้งสี่ฤดูกาลอยู่ในวังนี้”

 

 

เซียงฉือไม่ใส่ใจ หรงจิงเดินผ่านข้างกายนางเข้าไปในตำหนักเจิ้งหยาง

 

 

แล้วเดินกลับออกมาจากตำหนักฉินเจิ้งในตำหนักเจิ้งหยาง เมื่อยังเห็นเซียงฉือยืนอยู่ที่เดิม คิ้วเรียวงามก็เลิกขึ้นแล้วพูดว่า

 

 

“ไป ไปตรวจรายงานกับข้าที่ตำหนักจู้เซียง”

 

 

ได้ยินดังนั้นเซียงฉือตกใจอย่างยิ่ง มองดูฝ่ายตรงข้ามอ้าปากค้าง ไม่รู้จะตอบอย่างไร

 

 

หรงจิงพูดจบก็ออกเดินไปไม่เหลือโอกาสให้เซียงฉือแม้แต่น้อย นางได้ยินคำสั่งของหรงจิงอีก แล้วก็เห็นซูกงกงหอบรายงานเดินกลับมาเรียกนาง

 

 

“แม่นางเซียงฉือ ไปกับข้าเถอะ”

 

 

เซียงฉือมองซูกงกง มุมปากสั่นน้อยๆ แล้วถามออกไปอย่างกังวลใจ

 

 

“ซูกงกง เซียงฉือตามไปเช่นนี้ ซูเฟยจะมิพิโรธเอาหรือ”

 

 

เซียงฉือเกิดความหวาดกลัว ตำแหน่งของนางในตอนนี้ก็เป็นเป้าโจมตีของทุกคนที่ฝ่ายในอยู่แล้ว ตอนนี้แม้แต่หรงจิงจะไปหาพระสนมยังจะให้นางตามไปด้วยอีก

 

 

เซียงฉืออยากจะบอกว่านางทำให้คนทั้งหลายโกรธเช่นนี้แล้วจะถูกฟ้าผ่าลงใส่หรือไม่ เพียงแค่ออกพ้นประตูก็คงจมน้ำลายจากฝ่ายในตายไปแล้ว

 

 

นางได้แต่คิดทว่าไม่กล้าพูดออกไป แต่ความอัดอั้นในดวงตานั้นเจือความน่าสงสาร

 

 

ซูกงกงยิ้ม

 

 

“แม่นางเซียงฉือคิดมากเกินไปแล้ว ข้าราชสำนักสตรีติดตามเสด็จนั้นเป็นหน้าที่ เพียงบอกว่างานในวังยุ่ง ซูเฟยใจกว้างขวางคิดว่าคงไม่ว่าอะไร”

 

 

ซูกงกงปลอบใจ แต่เซียงฉือยังคงไม่คิดจะตามไป จึงถูกซูกงกงกึ่งผลักกึ่งบังคับลากไป

 

 

เซียงฉือจำต้องหักใจ และก็รู้ว่าเมื่อฝ่าบาทเอ่ยปากแล้วย่อมไม่อาจขัดบัญชาได้จึงตามไป นางนำรายงานของเหอเจี่ยนสุยออกจากแขนเสื้อ ตอนที่รับถาดใส่รายงานจากซูกงกงมานั้นไม่ทันระวังทำถาดเอียง ทำให้รายงานบนนั้นหกกระจายลงพื้น จึงลนลานเก็บขึ้นมา

 

 

เซียงฉือนำรายงานของเหอเจี่ยนสุยซุกไว้ข้างล่างสุด นางลอบอธิฐานขอให้คืนนี้ฝ่าบาทสนใจเพียงร่วมหอนอนเคียงอยู่กับซูเฟย แล้วลืมเรื่องงานใหญ่ในราชสำนักลงได้บ้างจะเป็นการดี

 

 

นางรู้ว่าหากซ่อนไว้อยู่ในแขนเสื้อจะถูกพบเข้าอย่างรวดเร็วซึ่งยากที่จะอธิบาย มิสู้ปล่อยไว้ในนี้ ขอเพียงคืนนี้หรงจิงไม่เห็น เซียงฉือก็จะมีเวลาไปหาเหอจิ่นเซ่อเพื่อปรึกษาวางแผนรับมือ

 

 

เซียงฉือตัดสินใจได้แล้ว จึงเดินตามราชรถของหรงจิงไป

 

 

ขบวนของตำหนักเจิ้งหยาง ด้านหน้าสุดจะเป็นองครักษ์สองนาย ตามด้วยนางกำนัลสี่คนของตำหนักคอยถือโคมไฟส่องสว่างนำทาง ถัดไปเป็นขันทีที่คอยปัดฝุ่นแล้วจึงเป็นเกี้ยวแปดคนหาม ด้านข้างมีองครักษ์รักษาความปลอดภัย เซียงฉือกับซูกงกงอยู่ด้านซ้ายขวาใกล้หรงจิง รั้งท้ายด้วยองครักษ์อีกแปดนาย

 

 

เคลื่อนตัวไปยังตำหนักจู้เซียงอย่างสงบเงียบ

 

 

จู้เซียงอยู่ค่อนข้างห่างไปจากตำหนักเจิ้งหยาง หากหรงจิงจะไปที่นั่นจำเป็นต้องผ่านตำหนักอวี้หยวน เพียงผ่านหน้าประตูตำหนักแต่ไม่เข้าไป คิดว่าคืนนี้จินกุ้ยเฟยคงต้องนอนกระสับกระส่ายอีกแล้ว

 

 

เซียงฉือไม่อาจห่วงคนอื่น ใจนางคิดแต่แผนการเพื่อเหอเจี่ยนสุย อธิษฐานเงียบๆ ขอให้คืนนี้ฝ่าบาทเพียงแค่ตั้งท่าแต่ไม่ได้ไปอ่านรายงานจริงๆ ก็จะเป็นการดี

 

 

 

 

ตอนที่ 357 รอในห้องอักษร

 

 

ซูเฟยได้รับแจ้งข่าวล่วงหน้านานแล้วจึงทุ่มเทแต่งกายอย่างเต็มที่ ฮ่องเต้เสด็จเข้าฝ่ายในไม่บ่อยนัก เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้วที่ไม่ได้เสด็จเข้าไป ครั้งนี้เป็นเพราะแรงบีบคั้นจากราชสำนักฝ่ายหน้า

 

 

และพอเสด็จกลับเข้าฝ่ายในอีกครั้งก็มาที่ตำหนักจู้เซียงเลย ดูเถิดว่าฝ่าบาททรงโปรดนางขนาดไหน พรุ่งนี้จ้าวเย่ว์หวนก็จะไปตำหนักอวี้หยวนเพื่อให้จินกุ้ยเฟยได้รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นสตรีที่ฝ่าบาทรักใคร่ที่สุด

 

 

จ้าวเย่ว์หวนนำเหล่าคนในตำหนักจู้เซียงรอรับเสด็จอยู่หน้าตำหนัก เพียงฮ่องเต้เสด็จเข้าอาณาบริเวณตำหนักจู้เซียง ก็มีเจ้าพนักงานในตำหนักวิ่งมาส่งข่าวแก่นางก่อนแล้ว

 

 

เสี่ยวลี่จื่อยืนอยู่หน้าประตู ตะโกนร้องขึ้นเสียงสูง

 

 

“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว!”

 

 

จากนั้นบรรดาคนในตำหนักจู้เซียงก็ทำความเคารพตามธรรมเนียม หรงจิงเดินเข้าไปประคองซูเฟยขึ้นมา

 

 

“ซูเฟยลุกขึ้นเถิด วันนี้ชุดสีดอกท้อเจิดจรัสบนตัวเจ้าขับกับผิวเปล่งปลั่งของเจ้ามาก สวยงามทีเดียว”

 

 

หรงจิงตระกองกอดซูเฟยเตรียมเดินเข้าห้องบรรทม ส่วนเซียงฉือไม่ต้องการเป็นที่สะดุดตาจึงเดินให้ช้าลงโดยรั้งอยู่ข้างท้าย แต่ไม่คิดว่าหรงจิงเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็หันหลังกลับมาสั่งว่า

 

 

“เซียงฉือ ไปรอในห้องอักษร”

 

 

ผู้คนทั้งหลายจึงมองไปยังเซียงฉือที่หลบอยู่ในฝูงคน ทำให้เซียงฉือถึงกับหน้าแดงและตอบกลับแห้งแล้ง

 

 

“หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ”

 

 

พอพูดจบเซียงฉือก็รีบแทรกตัวออกไปจากฝูงคนทันที ตามเสี่ยวลี่จื่อเดินไปทางห้องอักษรข้างห้องบรรทม

 

 

เมื่อเดินเข้าไปด้านในห้องอักษรแล้วนางก็วางรายงานลงบนโต๊ะ

 

 

ฮ่องเต้โปรดปรานสตรีที่รอบรู้ตำราและบทกลอน แต่ไม่ว่าจินกุ้ยเฟยหรือจ้าวซูเฟยต่างมีความรู้เพียงผิวเผิน ทั้งไม่เชี่ยวชาญกลอนจากตำรา บางครั้งฮ่องเต้จะเอ่ยตำนานบุคคลในประวัติศาสตร์หรือการปกครองขึ้น ทั้งคู่จะได้แต่เพียงยิ้มตอบ ไม่สามารถเข้าใจอรรถรสทั้งสามของตำราได้

 

 

หรงจิงเข้าใจดีว่าสตรีไร้ความสามารถจึงจะนับว่าดี แต่หากไม่เข้าใจอะไรเลยเช่นนี้ บางทีก็ทำให้เขารู้สึกหมดสนุก

 

 

เซียงฉือยืนอยู่ในห้องอักษร จะมัวยืนอยู่ก็ไม่ใช่ จะนั่งลงก็ไม่ถูกต้องนัก แต่ไม่รู้ว่าควรทำอะไร ห้องนี้ไม่ใหญ่มากนัก มีเพียงตั่งตัวหนึ่ง จากนั้นเป็นพวกภาพวาดกับเครื่องลายครามตั้งประดับไว้ มีโต๊ะหนังสือที่อยู่ใกล้เตียงเพียงตัวเดียวกับยังมีเก้าอี้โบราณอีกตัวหนึ่ง

 

 

แลดูเรียบง่าย ด้านในยังมีประตูเล็กบานหนึ่ง ที่ด้านข้างมีหน้าต่างเล็กเปิดอยู่ เซียงฉือเดินเข้าไปแล้วมองออกไปด้านนอกหน้าต่างซึ่งสามารถมองเห็นภาพลานตำหนักได้ทั้งหมด

 

 

เมื่อเซียนฉือหมุนกายก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูเล็กที่เปิดออก หรงจิงปรากฏกายออกมาอยู่เบื้องหน้าเซียงฉือทั้งที่สวมเพียงชุดตัวใน ใบหน้าแดงปลั่ง ผมยาวดำราวหมึกจีนสยายอยู่บนบ่า

 

 

เซียงฉือเห็นเขาในสภาพนั้น และเมื่อคิดถึงเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ใบหน้าจึงแดงขึ้น ไม่กล้าเงยหน้าสบตากับเขา

 

 

“ถวายบังคมฝ่าบาท” เซียงฉือพูดเบาๆ แล้วถอยออกด้านข้าง ไม่กล้าเงยหน้ามองไปทางหรงจิง

 

 

หรงจิงเมื่อเห็นนางหน้าแดงดังโคมไฟจึงค่อยๆ เชยคางนางขึ้นมา แล้วใช้นิ้วหนึ่งแหงนศีรษะนางขึ้น เมื่อเขาโน้มกายเข้าไปใกล้ กลิ่นไอความร้อนแรงและรุกรานปะทะเข้าจมูกเซียงฉือ

 

 

“ฝ่าบาท…”

 

 

เซียงฉือถูกเขาจับคางไว้ บังคับให้ต้องสบตากับเขา

 

 

“เซียงฉือ หน้าเจ้าแดงมากนี่ หืม…”

 

 

เซียงฉือมองเขา ลำบากในการเอ่ยปาก เห็นเพียงใบหน้าเขาที่ขยายใหญ่ขึ้นกับดวงตากระจ่างใสคู่หนึ่ง นางไม่รู้ว่าจะพูดได้อย่างไร ได้แต่นิ่งตะลึงและเบิกตาโตมองอยู่เช่นนั้น

 

 

นางขยับกายโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้กองรายงานที่อยู่ข้างหลังทั้งหมดตกกระจายลงบนพื้น