บทที่ 134 มีปัญหาตลอด

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 134
มีปัญหาตลอด

ฮวงฟูอี้ไม่กล้าที่จะขยับอีกแล้ว เขาทำเพียงแค่มองไปที่ มู่หรงเสวี่ย เขารู้สึกว่าตัวเองจะไม่สบาย หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ

เมื่อพระอาทิตย์ค่อยๆขึ้น มู่หรงเสวี่ยค่อยๆลืมตาขึ้น เผชิญหน้าเข้ากับดวงตาคู่สวยของฮวงฟูอี้ เธอยังสับสนอยู่นิดหน่อย แล้วทันใดนั้นก็รีบลุกขึ้นและถอยหลังไปก้าวใหญ่ทันทีจนเกือบที่จะตกเตียง

“พี่สาว…ผมรู้สึกเหมือนไม่สบาย…” เสียงแหบของ ฮวงฟูอี้ดังออกมา หลังจากที่ตื่นมากลางดึกแล้วเขาก็ไม่ได้นอนอีกเลย เขานอนลืมตาจนกระทั่งเช้าและหัวก็รู้สึกเจ็บนิดหน่อย เขาเหนื่อยมาทั้งคืน ทันทีที่เขาเห็นพี่สาว จังหวะหัวใจเขาก็เริ่มที่จะเป็นปกติ เขาคิดว่าตัวเองจะต้องตายซะแล้ว

มู่หรงเสวี่ยลืมตาขึ้นมาและเห็นฮวงฟูอี้ แน่นอนว่าเธอตกใจ แต่เมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งของเขา เธอก็เป็นห่วงว่าเขาจะป่วยและสายตาที่เขามองก็ดูเหนื่อยอ่อนด้วย เธอแตะไปที่หน้าผากเขาและพูดออกมาว่า “เป็นอะไรไปเสี่ยวอี้ เมื่อคืนเจออากาศหนาวหรือเปล่า…”

มือของเธอทั้งเย็นและอ่อนนุ่ม เธอเข้ามาอีกครั้ง จังหวะหัวใจเขาเริ่มที่จะเร็วขึ้น การหายใจก็เริ่มที่จะเร็วขึ้นด้วย เขาไม่สบายจริงๆ

อุณหภูมิปกติ มู่หรงเสวี่ยเช็กชีพจรเขาอีกรอบแต่ก็เต้นเป็นจังหวะปกติ เธอขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าสถานการณ์มันคืออะไร?! “เสี่ยวอี้ นายเป็นอะไรหรือเปล่า?”

ฮวงฟูอี้ส่ายหัว เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายจังหวะกการเต้นของหัวใจตัวเองยังไง เขาบอกว่ามันเจ็บแต่มันไม่ใช่ความเจ็บปวดเลย

มู่หรงเสวี่ยเช็กอย่างระวังอีกครั้งแต่ก็ไม่เจออะไรที่ผิดปกติ เดาว่าคงเป็นเพราะเมื่อคืนเขาพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ “เสี่ยวอี้ ถ้ารู้สึกไม่สบายต้องรีบบอกพี่สาวเลยนะ รู้ไหม?”
ฮวงฟูอี้พยักหน้าและแตะไปที่หัวใจอีกครั้ง ราวกับว่ามันไม่รู้สึกเจ็บแล้ว

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นไปล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว เธอก็บอกให้ฮวงฟูอี้ลุกขึ้นไปแปรงฟันล้างหน้าด้วยเหมือนกัน หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยและฮวงฟูอี้กินอาหารเช้าเสร็จ เธอก็ต้องออกไปเรียนด้วยสายตาไม่เต็มใจเท่าไร

เธอเปิดตารางเรียนดูและตัดสินใจว่าจะต้องไปเข้าเรียน ถึงแม้เธอจะมีสิทธิ์ที่ไม่ต้องไปก็ได้แต่เมื่อวานที่เธออ่านหนังสือเรียนและเห็นว่ามีบางบทเรียนที่ดีมากๆ อีกอย่างเธอมาเรียนที่นี่ก็เพื่อมาพัฒนาทักษะทางการแพทย์ของตัวเอง

เหมือนกับเมื่อวานที่เมื่อมู่หรงเสวี่ยเดินเข้ารั้วมหาลัยไป เธอก็ดึงดูดความสนใจของทั้งมหาลัยได้ในทันที ไม่มีทางเลยที่การแนะนำตัวของศาสตราจารย์ไป๋เมื่อวานจะจางหายไปจากใจของคนอื่นๆได้ แล้วศาสตราจารย์ไป๋ก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงอย่างมากและเหล่าลูกศิษย์ของเขาก็จะต้องให้ความสนใจเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
เธอทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่รอบๆตัวและเดินตรงไปที่ห้องเรียนแต่เธอไม่รู้ว่าในสายของคนอื่นมองว่าเธอสวยมากแค่ไหน ท่าทางที่มั่นใจ, สวยงามและสีหน้าที่เยือกเย็นของเธอ บวกกับสติปัญญาที่ชาญฉลาด ดูราวกับเป็นเทพธิดาในสายตาของคนมากมายเลยจริงๆ

เมื่อมู่หรงเสวี่ยมาถึงห้องเรียน เธอก็เห็นว่ามีนักเรียนนั่งกันเป็นกลุ่มอยู่บ้างแล้วแต่ก็ยังมีหลายที่นั่งที่ยังว่าง อันที่จริงเวลาที่ที่นั่งในห้องเรียนแน่นๆ เธอจะเดินตรงเข้าไปนั่งแถวกลาง

ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องเรียน ทั้งห้องก็กลายเป็นเงียบ ทุกคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ต่างก็เงียบเสียงลง พวกเขาต่างก็สงสัย, ชื่นชมและอิจฉา พูดง่ายๆก็คือทุกสายตาจ้องมาที่มู่หรงเสวี่ย ถึงแม้มู่หรงเสวี่ยจะช้าแต่เธอก็รู้สึกได้จึงเงยหน้าขึ้นมา มองไปที่ผู้คนรอบๆตัวเธอแล้วจึงเผยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร “พวกเธอมองฉันทำไมกันเหรอ?! นี่ฉันมีสามหัวกับหกมือหรือไง? ถ้าเป็นแบบนั้นฉันคงอายแย่เลย…” เธอรู้ถึงความล้มเหลวในชีวิตที่แล้วดี ถึงแม้ในชีวิตที่แล้วเธอจะมีพื้นฐานครอบครัวที่ดีแต่เธอก็แทบจะไม่ค่อยสนิทกับคนอื่นนอกจากสมาชิกครอบครัวเลย อันที่จริงเธอค่อนข้างขี้อายและในตอนนั้นเธอยังไม่เข้าใจ บางครั้งมันก็จำเป็นที่จะต้องเข้าไปใกล้ชิดเพื่อที่จะสร้างเพื่อนใหม่

บางทีอาจจะเป็นเพราะความขี้อายของเธอจึงไม่เคยที่จะเข้าไปใกล้ชิดเพื่อกล่าวทักทายหรือพูดคุยกับใครเลย นอกจากนี้เพราะเสี่ยวเข่อหลี่ด้วยที่ชอบยุยงและกระจายข่าวว่าเธอเป็นคุณหนูอารมณ์ร้อน ตั้งแต่นั้นแม้จะมีโอกาสแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาทักทายเธอก่อนเลย

นักเรียนในห้องเรียนไม่คิดว่ามู่หรงเสวี่ยจะพูดอะไรตลกแบบนี้และรอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้าของเธออีก ท่าทางเธอดูเย็นชาแต่อันที่จริงกลับทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ ทันใดนั้นนักเรียนหลายคนก็เริ่มที่จะเดินมาล้อมรอบมู่หรงเสวี่ย

“มู่หรง เราขอคุยกับเธอด้วยได้ไหม?”
“ใช่ มู่หรง ดูเหมือนไม่ค่อยอยากที่จะผูกมิตรกับใครเลย เราเลยไม่กล้าที่จะเข้ามาใกล้…”

“มู่หรง…”
ด้วยรอยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ มู่หรงเสวี่ยทำท่าหม่นหมองและแกล้งทำเป็นพูดออกไปว่า “ฉันรู้สึกเหมือนแบกก้อนหินหนัก 10,000 ตันไว้…ก็เลยทำท่าน่ากลัวจนพวกเธอไม่กล้าที่จะเข้ามาทักทาย…”

ช่างเป็นความสวยที่ทรงพลังจริงๆ ไม่นานก็มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายมากมายเข้ามาล้อมรอบเธอแทบจะในทันทีด้วยท่าทางที่โอเวอร์และคำพูดที่ชาญฉลาดของมู่หรงเสวี่ย เธอก็ดึงทุกคนให้เข้ามาหาเธอได้ในทันที “มู่หรง ฉันคิดว่าฉันชอบเธอขึ้นมาหน่อยแล้วล่ะ ฉันขอเป็นเพื่อนกับเธอได้ไหม?”

“ฉันด้วย!”
“ฉันด้วย!”
“…”
รอยยิ้มเป็นมิตรที่อยู่รอบๆตัวเธอ คำพูดที่เรียบง่ายแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงทำให้มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะร้องไห้ออกมา นี่คือสิ่งที่เธอพลาดไปในชีวิตที่แล้ว ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้ว “นี่ พวกเธอเรียกฉันว่าเสี่ยวเสวี่ยก็ได้นะ และฉันมีความสุขมากที่จะได้เป็นเพื่อนกับพวกเธอ…”
“จริงเหรอ? เยี่ยมเลย ฉันคิดว่ามู่หรงเป็นที่เข้าหายากซะอีก ไม่คิดเลยว่าจะง่ายขนาดนี้…”

มู่หรงเสวี่ยมองหน้าเพื่อนด้วยความสงสัย “ฉันถือว่าสิ่งที่พูดเมื่อกี้เป็นคำชมได้ไหม?”

“มันเป็นคำชมไง…”
มันฟังดูไม่ดีเท่าไรเลยใช่ไหม?! แต่ไม่สำคัญหรอก สำหรับวันนี้มู่หรงเสวี่ยเริ่มต้นได้ดีและได้สิ่งหนึ่งที่สำคัญอย่างมาก นั่นคือความกล้าที่จะพูดคุยกับคนอื่นในทุกเวลา

กลุ่มคนนั่งคุยกันถึงเรื่องหัวข้อมากมายและยังพูดเรื่องความเข้าใจเบื้องต้นด้วย ก่อนที่จะยาวไปกว่านี้อาจารย์ก็เดินเข้ามาในชั้นเรียนและนักเรียนทั้งหมดก็เงียบเสียงลง เดินกลับไปนั่งที่ของตัวเอง ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนความประทับใจของคนกลุ่มเล็กๆได้สำเร็จแล้ว

ไม่รู้ว่าเพราะชื่อเสียงที่โด่งดังของศาสตราจารย์ไป๋หรือเปล่าที่ทำให้มู่หรงเสวี่ยกลายเป็นจุดสนใจของอาจารย์ทั้งมหาลัย อาจารย์ถึงมักจะเรียกชื่อเธอบ่อยครั้งให้เป็นคนตอบคำถามในชั้นเรียน โชคดีที่เพราะความทรงจำที่ไม่มีวันลืมของมู่หรงเสวี่ยและสมบัติล้ำค่าในมิติลับที่ทำให้เธอตอบคำถามอาจารย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากนั้นเหล่าอาจารย์ก็รู้สึกว่าที่ศาสตราจารย์ไป๋พูดเกี่ยวกับมู่หรงเสวี่ยก็ไม่เกินจริงเลย จึงยิ่งยิงคำถามใส่ มู่หรงเสวี่ยมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แม้แต่เหล่านักเรียนที่เรียนด้วยกันก็ยังต้องมาขอคำแนะนำจากเธอด้วย ชื่อเสียงของมู่หรงเสวี่ยยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ

แน่นอนมันเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะชอบมู่หรงเสวี่ย หนึ่งในนั้นก็คือเหมยจิ่ง รุ่นพี่ปีสอง เดิมเธอเคยเป็นดอกไม้งามของมหาวิทยาลัยการแพทย์ด้วยผลการเรียนที่โดดเด่น เธอเคยเป็นหนึ่งในเด็กสาวที่เข้าไปแนะนำตัวเองกับศาสตราจารย์ไป๋แต่ก็ต้องถูกปฏิเสธแต่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ถึงแม้ศาสตราจารย์ไป๋จะปฏิเสธที่จะรับเธอเป็นลูกศิษย์ซึ่งส่งผลกระทบกับเธอด้วยเหมือนกัน แต่ยังไงซะเธอก็เป็นคนสวย เธอใช้ชีวิตราวกับปลาที่อยู่ในบ่อน้ำของมหาลัย

อย่างไรก็ตามตั้งแต่ที่มู่หรงเสวี่ยเข้ามา ทุกๆอย่างก็ค่อยๆเปลี่ยนไป มักจะมีคนเอาเธอไปเปรียบกับมู่หรงเสวี่ยเสมอ ตั้งแต่เรื่องรูปร่างหน้าตาจนไปถึงเรื่องผลการเรียน ดูเหมือนเธอจะแพ้ มู่หรงเสวี่ยไปซะทุกทาง ถึงขนาดที่ว่าบางคนเริ่มที่จะพูดกันว่าดอกไม้งามของมหาวิทยาลัยได้เปลี่ยนคนไปแล้วด้วยซ้ำ

เพื่ออะไรกัน? เธอก็แค่เด็กสาวที่เพิ่งจะเข้ามา อีกอย่างเธอก็ไม่ใช่คนเมืองหลวงด้วยซ้ำยังจะมีหน้ามาเทียบกับเธออีก ถึงแม้พื้นฐานตระกูลของเธอจะเทียบไม่ได้กับตระกูลใหญ่ๆของเมืองหลวง แต่เธอก็รวยอยู่พอตัว แล้วเด็กสาวที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าจะมาเทียบกับเธอได้ยังไง? และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเธอชอบที่จะถูกคนอื่นชื่นชม อย่างไรก็ตามมู่หรงเสวี่ยอยากที่จะเข้ามาทำลายทุกอย่าง แน่นอนว่าเธอต้องไม่ยอมอยู่แล้ว ลองเข้ามาขวางทางรุ่งโรจน์ของเธอสิแล้วจะได้เห็นดีกันแน่

มู่หรงเสวี่ยเพียงแค่เข้าเรียนตามปกติ ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกลายเป็นเสี้ยนหนามในสายตาของคนอื่น

ในช่วงสองวันที่ผ่านมา แผลของฮวงฟูอี้ดีขึ้นมาก เหตุผลหลักก็เพราะเธอให้เขาดื่มน้ำแห่งจิตวิญญาณและยารักษาแผลพิเศษของเธอ ทำให้เขาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วมาก แม้แต่แผลที่หัวก็ยังมีขนาดเล็กลงด้วยถึงแม้ความทรงจำเขาจะยังไม่กลับมาก็ตาม
วันนี้ทันทีหลังจากที่เลิกเรียนแล้ว เธอกำลังเก็บหนังสือเพื่อที่จะกลับบ้าน ด้านนอกมีเด็กหนุ่มและเด็กสาวสองสามคนยืนอยู่ “ใครคือมู่หรงเสวี่ย?!”

มู่หรงเสวี่ย เงยหน้าขึ้นมา เห็นเด็กสาวแต่งตัวด้วยชุดที่ค่อนข้างจะแฟชั่นอยู่สองสามคน ท่าทางไม่พอใจและไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไร “ฉันเอง มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า?”

ในตอนนี้ มีนักเรียนบางคนที่ยังไม่กลับและมีสองสามคนที่เดินมาหามู่หรงเสวี่ย “น้องหก มีอะไรเหรอ? เธอรู้จักคนพวกนี้ด้วยเหรอ?”

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่นักเรียนหลายคนที่อยู่รอบๆ หลายวันที่ผ่านมานี้เธอรู้จักเพื่อนเพิ่มขึ้นมารวมทั้งผู้ชายสามคนและสองสาวนี้ด้วย

พวกเขาทุกคนต่างก็เป็นคนท้องถิ่น เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ พวกเขาทั้งห้าคนโตมาด้วยกัน พื้นฐานครอบครัวของพวกเขาไม่ค่อยชัดเจนและมู่หรงเสวี่ยก็ไม่เคยถามเรื่องนี้ด้วย เหตุผลหลักคือเธอไม่จำเป็นต้องสนใจพื้นฐานครอบครัวเวลาที่จะผูกมิตรกับใคร พวกเขาหลายคนก็ไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับพื้นฐานครอบครัวของ มู่หรงเสวี่ยด้วยเหมือนกัน เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดคือชื่อเรียกระหว่างพวกเขา นั่นคือ พี่ใหญ่, พี่สอง, พี่สาม, น้องสี่ และน้องห้า ส่วนมู่หรงเสวี่ยก็ได้รับตำแหน่งให้เป็นน้องหกด้วย

มู่หรงเสวี่ยขอบคุณพวกเขาที่ยืนหยัดอยู่ข้างเธอ ซึ่งเพื่อนแท้ก็จะเห็นได้จากเวลานี้ เธอหัวเราะและพูดออกมา “ไม่รู้สิ แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเธอมีธุระต้องไปทำก็ไปก่อนได้นะ…” ส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกที่อยากจะดูเฉยๆ เธอไม่อยากที่จะดึงเพื่อนที่เพิ่งรู้จักเข้ามาเกี่ยวข้อง

กลุ่มเด็กหนุ่มและเด็กสาวพวกนั้นขยิบตาให้กันเมื่อพวกเขาเห็นมู่หรงเสวี่ย หลังจากที่เข้ามา เด็กสาวหนึ่งในนั้นก็เตะหนังสือที่อยู่บนโต๊ะของมู่หรงเสวี่ยกระจายไปทั่วพื้น

“นี่เธอจะทำอะไร?” พี่ห้าอดไม่ได้ที่จะวิ่งตรงเข้าไปถามคำถาม พี่ห้าคือเด็กสาวตัวเล็กน่ารักซึ่งไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เธอเรียบง่ายและน่ารักมาก มู่หรงเสวี่ยคิดว่าชื่อน้องหกดูจะเหมาะสมกับเธอมากที่สุด เพราะเธอดูเปราะบางที่สุดแต่พี่ห้าไม่ยอม เธอบอกว่าเธอเป็นน้องเล็กสุดมาหลายปีแล้วและอยากที่จะลองเป็นพี่สาวดูบ้าง

หลายคนที่เข้ามาดูไม่ใช่พวกที่จะเข้าไปยุ่งด้วยง่ายๆ โดยเฉพาะสองหนุ่มที่ท่าทางโหดร้าย มู่หรงเสวี่ยกลัวว่าพวกนั้นจะทำร้ายพี่ห้า เธอจึงก้าวเข้าไปขวางข้างหน้าและดึงพี่ห้ามาอยู่ข้างหลังเธอ “ฉันไม่รู้ว่าพวกเธอต้องการอะไรนะ? แต่ฉันจำไม่ได้ว่าเคยไปทำอะไรพวกเธอไว้งั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามออกไปอย่างเย็นชา พูดตามตรงเธอไม่ได้กลัวเลยสักนิด แต่สำหรับนักเรียนบางคนเรื่องนี้อาจจะดูน่ากลัวกว่าพวกโจรลักพาตัวซะอีก บางทีเธออาจจะเคยเจออะไรมามากมายแล้ว สำหรับเธอเรื่องแบบนี้เลยเหมือนแค่การทะเลาะกันของเด็กๆ

“เรามาตามหามู่หรงเสวี่ย คนอื่นที่ไม่เกี่ยวก็ออกไปเดี๋ยวนี้เลย!” หนึ่งในเด็กผู้ชายพูดขึ้นมา ที่อีกฝั่งมีกันทั้งหมดหกคนรวมเสี่ยวเสวี่ยด้วย ซึ่งถ้าพวกเขาสู้กันก็คงจะสู้พวกเธอไม่ได้ และถ้าเสียงดังเกินไปก็คงจะยิ่งแย่มีแต่จะเรียกความสนใจของเหล่าอาจารย์ในมหาลัยเปล่าๆ

“พวกนายอยากมีเรื่องหรือไงถึงได้มารังแกน้องหกของเรา งั้นคงต้องข้ามศพพวกเราไปก่อนดีไหม?! ไม่มีใครจะมารังแกพวกเราได้…” พี่สามออกจะนักเลงอยู่หน่อยๆ เขาค่อนข้างจะเกเรแต่ก็หลักแหลมที่สุดในบรรดาทั้งห้า

มู่หรงเสวี่ยถูกบังไว้ด้วยร่างใหญ่และไม่อยากที่จะยอมรับเลยว่าเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้เลยสักนิด

คนพวกนั้นไม่คิดว่านี่เพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่วันแต่มู่หรงเสวี่ยกลับมีคนคอยช่วยมากขนาดนี้ พวกเขาคิดว่าเมื่อมาถึงเธอจะต้องโดดเดี่ยวและไร้ทางสู้ นี่ควรจะเป็นการสั่งสอนบทเรียนที่ทำได้ง่ายๆ พวกเขาไม่คิดว่าจะต้องมาจนมุมกับสถานการณ์ตอนนี้

มู่หรงเสวี่ยไม่มีเวลามายืนนิ่งกับพวกเขาแบบนี้ ฮวงฟูอี้กำลังรอให้เธอกลับบ้านอยู่ มู่หรงเสวี่ยจึงพูดออกไปอย่างเย็นชา “ฉันไม่คิดว่าพวกนายจะเข้าใจสถานการณ์ดีนะ ตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียน ฉันคิดว่าศาสตราจารย์ไป๋แนะนำเรื่องฉันไว้ชัดเจนแล้ว ฉันว่าท่านคงไม่ยอมให้ใครมารังแกลูกศิษย์ของท่านง่ายๆแน่ๆ…” ในตอนนี้ชื่อของชายแก่ดูจะมีประโยชน์อย่างมาก
ในตอนนี้สีหน้าของเด็กหนุ่มและเด็กสาวพวกนั้นดูเหมือนจะเปลี่ยนไป ไม่มีใครอยากจะเอาเรื่องอนาคตตัวเองมาล้อเล่น ศาสตราจารย์ไป๋มีชื่อเสียงทางด้านการแพทย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วย ถ้าเขารู้เรื่องนี้ พวกเขาเองแหละที่จะเดือดร้อน

“เธอ…ก็ดีแต่พึ่งศาสตราจารย์ไป๋ ไม่เห็นจะมีดีอะไรเลย…” หนึ่งในเด็กสาวพูดตะกุกตะกักและน้ำเสียงก็อ่อนลงกว่าในตอนแรกมาก

“นั่นก็เพราะฉันมีศาสตราจารย์ให้พึ่งไงล่ะ ถ้าพวกเธอเก่งจริงก็ควรที่จะหาศาสตราจารย์ได้ด้วยเหมือนกัน อีกอย่างควรเป็นพวกเธอมากกว่าที่ควรจะคิดให้รอบคอบ ไม่งั้นก็จะเป็นพวกเธอที่จะมีปัญหา ถ้าทางมหาลัยรู้เรื่องนี้เข้า…” น้ำเสียงของมู่หรงเสวี่ยยังฟังดูข่มขู่

สีหน้าของหลายคนเปลี่ยนเป็นไม่พอใจอยู่หลายครั้ง ตราบใดที่ยังมีคนอยู่รอบๆตัวมู่หรงเสวี่ย ถ้าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยพวกเขาก็คงจะไม่สนใจคำพูดของมู่หรงเสวี่ยและจับเธอไปสั่งสอนแล้ว
สุดท้ายคนพวกนั้นที่ไม่ค่อยเต็มใจจะยอมรับ พวกเขาจ้องมาที่มู่หรงเสวี่ยและพูดจาหยาบคายออกมา “นังตัวดี ฝากไว้ก่อนเถอะ เธอเข้ามายุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่งซะแล้ว เธอจะต้องเจอดีแน่…” เดิมทีพวกเขาอยากที่จะไปเอาหน้ากับหลงเหมยจิ่ง แต่ดูเหมือนว่าจะช่วยอะไรไม่ได้ซะแล้ว