บทที่ 135 เชิญคนห้าคนเพื่อมาช่วยเพื่อน

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 135
เชิญคนห้าคนเพื่อมาช่วยเพื่อน

“เสี่ยวเสวี่ย คนพวกนั้นดูเหมือนจะไม่ลามือ ต่อไปเธอต้องระวังตัวมากกว่านี้นะ ไม่งั้นเราไปส่งเธอกลับบ้านได้นะ…” พี่ใหญ่สมแล้วที่ได้เป็นพี่ใหญ่ เขาสงบนิ่งที่สุด พื้นฐานแล้วเขาเป็นหัวหน้าของคนทั้งห้า

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกอบอุ่นในหัวใจและพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันมีอาจารย์ดี…”

“แต่ศาสตราจารย์ไป๋ก็ปกป้องเธอไม่ได้ตลอดหรอกนะ บางคนก็ไม่ได้กลัวศาสตราจารย์ไป๋หรอกนะ ในโลกนี้ยังมีหลายอย่างที่จัดการได้ด้วยเงินอยู่นะ…” พี่สองเองก็เปิดปากพูด เขาเป็นผู้ชายที่ธรรมดามากๆและดูสุภาพด้วย
“ใช่แล้ว เสี่ยวเสวี่ย เธอใสซื่อและดีเกินไป ยังไม่รู้ว่าผู้คนบ้าได้มากแค่ไหน…” พี่สี่เป็นผู้หญิงสวย ต่างจากพี่ห้าที่ดูน่ารัก พี่สี่ดูจะมีเสน่ห์แบบเซ็กซี่
ทั้งห้าคนนี้ต่างก็มีลักษณะนิสัยเป็นของตัวเองแต่พวกเขาต่างก็เป็นคนที่ตรงไปตรงมากันทุกคน พูดได้ว่าเวลาที่อยู่กับพวกเขา มู่หรงเสวี่ยไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก เธอพูดในสิ่งที่เธออยากจะพูดได้ เหมือนเวลาที่อยู่โม่อ้ายลี่

“ใครบอกว่าฉันใสซื่อกัน?” มู่หรงเสวี่ยไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองใสซื่อและดีเลย หลังจากที่ถูกทรยศในชีวิตที่แล้ว เธอก็จะมองคนที่อยู่รอบตัวด้วยสายตาตัดสินตลอด แน่นอนว่าสำหรับเพื่อนที่เธอไว้ใจ เธอก็จะหันด้านที่แท้จริงเข้าหาพวกเขาเสมอ

แต่เธอไม่ใช่มู่หรงเสวี่ยคนที่ถูกรังแกได้ง่ายๆหรือไม่รู้วิธีเอาคืนอีกต่อไปแล้ว ถ้ามีใครเข้ามายุ่งกับเธอ เธอจะตอบแทนคนพวกนั้นอย่างสาสมเลยทีเดียว นี่เป็นบทเรียนที่เธอได้เรียนรู้จากในชีวิตที่แล้ว

“พวกเราทั้งห้าคนทั้งใสซื่อและเป็นคนดีมากเลยนะ!!! ทั้งห้าคนเลย”

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ ช่างเป็นแก๊งห้าคนที่น่ารักจริงๆ “นี่ก็เลิกเรียนแล้ว ถ้าพวกเธอว่าง ทำไมไม่แวะไปที่บ้านฉันล่ะ ฉันขอเชิญไปกินอาหารค่ำกัน…” เธอเองก็อยากที่จะคุยกับพวกเขาต่ออีกและก็อยากที่จะเป็นเพื่อนกับพวกเขาอย่างจริงจังด้วย

คนทั้งห้ามองหน้ากันเองและก็ตอบออกมาอย่างตื่นเต้น “ไปกันเถอะ แต่ที่บ้านเสี่ยวเสวี่ยมีผู้ใหญ่อยู่ด้วยหรือเปล่า? เราต้องเตรียมของฝากกันก่อนหรือเปล่า?” พี่ใหญ่ถาม

มู่หรงเสวี่ยส่ายหน้า “ไม่ต้องห่วง นี่เป็นวิลล่าส่วนตัวของฉันเอง พ่อแม่ฉันอยู่ที่จังหวัด A กันหมดเลย น้องชายฉันอยู่บ้านคนเดียวงั้นไม่ต้องเตรียมอะไรหรอก…”

“งั้นเราจะไม่เกรงใจแล้วนะ” แล้วพวกเขาก็หยักไหล่เพื่อให้ไปกัน สำหรับมู่หรงเสวี่ยแล้วการจะอยู่วิลล่าคนเดียวดูไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

เพราะมู่หรงเสวี่ยบอกว่าบ้านเธออยู่ไม่ไกล พวกเขาทั้งหมดจึงเดินไปกัน ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มา เพราะพวกเขาแทบจะไม่เคยเดินกลับบ้านแบบนี้เลย พวกเขาเดินหัวเราะกันไปตลอดทางและไม่ช้าก็มาถึงบ้านของมู่หรงเสวี่ย
มู่หรงเสวี่ยสังเกตคนทั้งหมดและเห็นว่าพวกเขาทุกคนต่างก็มีสีหน้าเรียบเฉยและไม่ได้มีทีท่าแปลกใจอะไร เธอแอบคิดอยู่ในใจว่าคนทั้งห้าต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ

สิ่งที่มู่หรงเสวี่ยไม่รู้คือพวกเขาทั้งห้าไม่เคยยอมให้เข้ามาอยู่ในกลุ่มตั้งแต่เล็กๆแล้ว มู่หรงเสวี่ยเป็นคนแรก ตอนแรกเป็นเพราะความสงสัยของพี่ห้าที่เห็นเธอเข้าๆออกๆ พวกเขาเห็นว่า มู่หรงเสวี่ยน่าสนใจกว่าที่พวกเขาคิด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเธอเองก็สนใจในตัวคนทั้งห้าอยู่เหมือนกัน มันเป็นเรื่องยากที่ใครจะยอมรับพวกเขาได้ในเวลาเดียวกัน ในอดีตไม่ใช่ว่าไม่มีใครอยากที่จะเข้ามาในกลุ่มของพวกเขาแต่มันไม่ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะสนิทกับคนแค่คนเดียวหรือสองคนเท่านั้น กลายเป็นว่าพวกเขาจะอยู่กันเองเป็นกลุ่มเล็กๆแค่ห้าคนเท่านั้นและไม่มีใครที่จะเข้ามาระหว่างพวกเขาได้ แน่นอนว่าพวกเขาไม่สนใจเพราะพวกเขาทั้งห้าคนอยู่ด้วยกันมาโดยตลอดและมันจะดีกว่าถ้าไม่มีคนอื่นเข้ามาแทรกแซงพวกเขา

มู่หรงเสวี่ยหยิบรีโมทออกมาเปิดประตู ฮวงฟูอี้รีบวิ่งตรงเข้ามาหาเธอเหมือนอย่างเคยแล้วกอดมู่หรงไว้แน่น “พี่สาว พี่สาวกลับมาแล้ว…”
ครั้งนี้ในที่สุดสีหน้าของคนทั้งห้าก็เริ่มจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถึงแม้มู่หรงเสวี่ยจะบอกว่าเธอมีน้องชายอยู่ที่บ้าน แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าน้องชายของมู่หรงเสวี่ยจะโตขนาดนี้และพวกเขาไม่คิดว่าชายคนนี้จะเป็นน้องชายของมู่หรงเสวี่ย ถ้าบอกว่าเขาเป็นพี่ชายก็ดูว่าจะเหมาะสมกว่าน้องชายซึ่งดูโตกว่าพี่สาวมาก เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้จะโตกว่ามู่หรงเสวี่ยมาก

มู่หรงเสวี่ยเคยชินกับนิสัยของฮวงฟูอี้แล้ว เธอตบหลังของฮวงฟูอี้เบาๆและพูดออกมาว่า “โอเคเสี่ยวอี้ ใจเย็นก่อนนะ วันนี้พี่สาวมีเพื่อนมาด้วย นายต้องทำตัวดีๆกับพวกเขารู้ไหม?”

ฮวงฟูอี้ปล่อยมือ ในตอนนี้เขาเห็นผู้ชายและผู้หญิงทั้งห้าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่หรงเสวี่ย ร่องรอยของความเป็นปรปักษ์ฉายในดวงตาของเขา เขาไม่อยากที่จะแบ่งพี่สาวกับคนมากมายเลยจริงๆ แต่พี่สาวบอกให้เขาทำตัวดีๆดังนั้นเขาจะเสียมารยาทไม่ได้ เขาจึงเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า เขาไม่สนใจคนพวกนั้นและพาเธอเข้าบ้าน

เมื่อมู่หรงเสวี่ยถูกดึงออกไป เธอก็ไม่ลืมที่จะคุยกับคนพวกนั้น “ฉันขอโทษทีนะ น้องชายฉันได้รับอุบัติเหตุและเดี๋ยวอีกไม่นานก็จะดีขึ้น อย่าสนใจเลยนะ เชิญเข้ามาก่อน ทำตัวตามสบายเลยนะ…”

พวกเขาไม่สนใจและก็เห็นได้ชัดว่าท่าทางของฮวงฟูอี้ไม่ปกติ พวกเขาไม่ใช่คนที่สนใจอยากจะขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของคนอื่นอยู่แล้ว นอกจากนี้ความเชื่อใจของมู่หรงเสวี่ยก็ทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้พวกเขาต่างก็ต้องช็อคไปกับความหล่อเหลาของฮวงฟูอี้ มันยากที่จะนึกภาพว่ามีคนที่รูปร่างหน้าตาสมบูรณ์แบบขนาดนี้อยู่บนโลกด้วย แม้แต่พวกเขาที่คิดว่าเคยเจอคนที่หน้าตาดีมาหมดแล้วก็ตาม นี่คือความงามที่แท้จริง

อย่างไรก็ตามพวกเขาก็แปลกใจอยู่ไม่นานแล้วก็กลับมาเป็นปกติ ความงามไม่ได้มีความหมายอะไร ในโลกนี้ยังมีอย่างอื่นอีกตั้งมากมายที่สำคัญมากกว่าความงาม

หลังจากที่เข้าไปในวิลล่า มู่หรงเสวี่ยก็ออกห่างจากมือของฮวงฟูอี้และพูดเสียงเบา “เสี่ยวอี้ วันนี้พี่สาวมีเพื่อนมาด้วย งั้นทำไมนายไม่ไปเล่นเองก่อนล่ะ? นายจะไปดูทีวีหรือเล่นอะไรที่อยากเล่นก็ได้…” ปกติแล้วเมื่อมู่หรงเสวี่ยกลับมา เธอก็แทบจะตัวติดอยู่กับฮวงฟูอี้ตลอดเพราะเขาติดเธออย่างมากและแทบจะไม่เคยห่างไปไหนเลยแต่ไม่ใช่วันนี้ เธอต้องเตรียมอาหารค่ำให้เพื่อนใหม่ดังนั้นเขาจึงอยากให้เธอไปดูทีวีหรือทำอย่างอื่นก่อน

“พี่สาว…” ฮวงฟูอี้ทำปากแบนอย่างไม่พอใจพร้อมจับมือมู่หรงเสวี่ยอย่างไม่เต็มใจ

มู่หรงเสวี่ยมีทีท่าเย็นชา ไม่ได้โกรธเพียงแต่เพราะเธอรู้สึกว่าฮวงฟูอี้ตัวติดกับเธอมากกว่าช่วงแรกๆ ก่อนหน้านี้เขาเคยเชื่อฟังทุกอย่างที่เธอบอก ตอนนี้เขาเริ่มที่จะทำตามที่ขอเพียงแต่เขาแสดงท่าทางไม่พอใจออกมาด้วย แต่มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าเธอไม่ใช่พี่สาวแท้ๆของเขา เมื่อเขาฟื้นความทรงจำได้ เดี๋ยวเขาก็จากไป อย่างไรก็ตามเธอเองก็รู้สึกเศร้าที่ต้องสูญเสียน้องชายไป ดังนั้นเธอจึงไม่อยากให้สนิทสนมกันมากเกินไป ถ้าถึงเวลานั้นเธอก็คงไม่รู้ว่าจะทำยังไง คงเหมือนกับตอนพ่อแม่ของเธอ

ฮวงฟูอี้มองสีหน้าเย็นชาของมู่หรงเสวี่ย เขาประหลาดใจมาก เขาดึงมือกลับมาและมองไปที่เธอด้วยสีหน้ากังวลใจ พี่สาวเขาไม่เคยเย็นชากับเขาขนาดนี้ เขารู้ว่าพี่สาวรักเขา เขาจึงเรียกร้องมากขึ้นเรื่อย ๆ เขามีความสุขกับความรู้สึกที่พี่สาวยอมเขา แต่วันนี้เพราะมีเพื่อนของพี่สาวแวะมา พี่สาวจึงเย็นชากับเขาซึ่งทำให้เขารู้สึกหดหู่และกลัวเล็กน้อย…

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกใจอ่อนเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าของเขา จริงๆแล้วเขาก็อายุเพียงแค่ห้าขวบเท่านั้นเองแล้วเขาจะเข้าใจความยุ่งเหยิงของตัวเองได้ยังไง? นี่จะมากกับเขาไปหน่อยหรือเปล่า? ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงอ่อนโยน “ฟังนะ พี่สาวกำลังยุ่ง นายไปดูทีวีก่อนนะ…” แล้วเธอก็เอื้อมมือออกไปลูบที่หัวของเขา ฮวงฟูอี้พยักหน้า ครั้งนี้เขาไม่กล้าที่จะเสียมารยาท จริงๆแล้วเขากลัวที่จะต้องเห็นท่าทางแบบนั้นของมู่หรงเสวี่ยอีก ดังนั้นเขาจึงเดินไปที่ห้องนั่งเล่นอย่างเชื่อฟัง เปิดทีวีและกดปุ่มทีวีอย่างเบื่อๆ

มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจอย่างโล่งอกและพูดอย่างจนปัญญากับพวกเพื่อนๆที่เห็นท่าทางของเธอ “ฉันแค่บอกให้เขาไปดูทีวี ทำไมพวกเธอต้องทำหน้าเหมือนเห็นผีขนาดนั้นล่ะ?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันแค่คิดว่ามันน่าสนใจดี ไม่คิดเลยว่า เสี่ยวเสวี่ยจะเป็นพี่สาวที่อ่อนโยนขนาดนี้…”พี่สามพูด
“อย่ามาล้อฉันเล่ย อีกอย่างนะพวกเธอไปนั่งได้ตามสบายเลยนะ นั่งตรงไหนก็ได้ ฉันจะไปเตรียมอาหารค่ำ…”

“เสี่ยวเสวี่ยทำอาหารได้ด้วย น่าทึ่งจริงๆ!” ทั้งห้ามีสายตาที่เปล่งประกายราวกับจะมีดาวมากมายหลุดออกมา

“เรามาถูกที่แล้ว และตอนนี้ก็จะได้ลาภปากอีกด้วย เทพธิดาแห่งมหาวิทยาลัยการแพทย์ทำอาหารได้ด้วย คนอื่นต้องอิจฉาพวกเราแน่ๆ ฮ่าฮ่าฮ่า” พี่สี่พูดอย่างมีความสุขถึงพวกคนที่ขี้อายมัวแต่แอบมองมู่หรงเสวี่ยแต่ไม่กล้าที่จะเข้ามาทักทายก็เลยไม่ได้เป็นเพื่อนกับเสี่ยวเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะและปล่อยให้พวกเขาเข้ามาในครัวได้ตามใจ คนทั้งห้าไม่ได้อยากที่จะช่วย

เธอคิดว่ามันคงจะมีประโยชน์มากถ้าขอให้พวกเขาช่วย เพราะพวกเขาแต่ละคนก็ทำอาหารได้ พวกเขาเดินเข้ามาในครัวตามสบาย
แต่บ้านของมู่หรงเสวี่ยก็เหมือนกับเธอ ทุกอย่างเป็นสีขาวหมดซึ่งดูสะอาดและสบายตาอย่างมาก ให้ความรู้สึกเรียบง่ายและอบอุ่น

พวกเขาไม่ได้เข้าไปคุยกับฮวงฟูอี้เพราะพวกเขาต่างรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยต้อนรับเท่าไร แล้วยังไงล่ะ? ยังไงซะพวกเขาก็ไม่ได้มาหาเขาอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสนใจความคิดของเขา

คนทั้งหมดทำตัวตามสบายอย่างมากและพวกเขาต่างก็กลิ้งไปมาราวกับว่าอยู่บ้านตัวเอง หลังจากนั้นสักพักพวกเขาก็หาไพ่เจอและเอามาเล่นเกมกัน

หลังจากที่เข้าไปในครัว มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไปที่มุมที่หลายคนมองไม่เห็น เธอเอื้อมมือเข้าไปในตู้และแกล้งทำเป็นหยิบบางอย่างออกมา อันที่จริงเธอหยิบผลไม้ออกมาจากมิติลับ เธอล้างผลไม้ หันเป็นชิ้นและจัดลงจาน แล้วเธอก็ยกออกไปให้พวกเพื่อนที่กำลังสนุกกันอยู่