เฉียวเหลียงพยักหน้า บอกให้ถังซีรอเขาที่นี่ แล้วลงจากรถเพื่อจะไปหยิบกระเป๋าให้เธอ ถังซีโบกมือให้เขาและบอกให้กลับมาเร็วๆ เขาเดินไปจากรถ แต่หลังจากก้าวไปสองก้าวเขาก็หันหลังกลับมาทันที ถังซีกะพริบตามองเขา “มีอะไรอีกเหรอคะ”
เฉียวเหลียงโน้มตัวลงมองถังซีด้วยรอยยิ้มกว้าง บอกว่า “มี” จากนั้นก็จูบริมฝีปากเธอ และเอ่ยเบาๆ “ผมจะเอารางวัลของผมก่อน ผมถึงจะไป” จบคำพูดเขาก็ยืนขึ้นแล้วหันหลังเดินไปยังโรงแรม
ถังซียังอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ขณะเฉียวเหลียงเดินห่างออกไป นี่เขากำลังทำเจ้าชู้กับเธอเหรอ!
เธอหน้าแดงก่ำเมื่อนึกถึงสายตาเขาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก เธอยกมือขึ้นปิดหน้า ขณะที่ในจิตใจมีแต่ภาพเฉียวเหลียงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีเสน่ห์เหลือเกิน ‘ผมจะเอารางวัลของผมก่อน…’
ถ้าเฉียวเหลียงเคยเป็นภูเขาน้ำแข็งในใจเธอ ตอนนี้เขาก็กลายเป็นเจ้าชายผู้ทรงเสน่ห์ ที่มีลิ้นอาบด้วยน้ำผึ้ง และเจ้าชู้กับผู้หญิงเก่ง อย่างไรก็ตามเขาเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทางอีกด้านหนึ่ง ลู่หลีเดินตามเหวินนิ่งเข้าไปในลิฟต์ เนื่องจากมีคนจำนวนมากในลิฟต์ทั้งสองจึงถูกดันไปด้านหลัง มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าเหวินนิ่ง และหลังของเขาเกือบจะสัมผัสหน้าอกเหวินนิ่ง เหวินนิ่งรู้สึกอึดอัดมาก เธอหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่มีคนแน่นมากในลิฟต์เธอจึงทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่พยายามขยับถอยหลังให้มากที่สุด ทว่าทุกครั้งที่เธอขยับถอยหลัง ชายคนนั้นก็ขยับถอยหลังตาม… เหวินนิ่งหน้าบึ้ง และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เมื่อมีใครคนหนึ่งดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอดอันอบอุ่น จากนั้นกลิ่นบุหรี่จางๆ ก็ลอยเข้ามาเต็มจมูก เธอเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายที่กอดเธอไว้ในอ้อมแขน…
เวลาช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ เขาอยู่ในวัยสามสิบแล้ว แต่ยังดูเหมือนยี่สิบกว่า ในขณะที่เธอก็อยู่ในวัยสามสิบเช่นกัน เธอยังคงสวย แต่เวลาได้ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าเธออย่างไม่ยอมลดละ…
“สิบปีแล้วนะ” เหวินนิ่งเงยหน้ามองลู่หลีซึ่งก้มมองเธออยู่ เมื่อสายตาของทั้งคู่ประสานกัน สายตาทั้งสองคู่ก็ไม่ยอมขยับไปไหน ทั้งสองจ้องมองกันและกันอย่างลึกซึ้ง ขณะที่ลู่หลีกำลังจะถามเหวินนิ่งว่าเธอหมายถึงอะไร เสียงกระดิ่งสัญญาณก็ดังขึ้น เตือนว่าทั้งสองมาถึงชั้นที่ต้องการแล้ว
ผู้คนในลิฟต์ทยอยกันเดินออกไปทีละคน เหลือเพียงสองคนนี้เท่านั้น เหวินนิ่งยิ้มให้ลู่หลี ผลักเขาออกเบาๆ อย่างสุภาพ แล้วเดินออกจากลิฟต์ ขณะเดินผ่านเขาเธอกล่าวว่า “แต่คุณไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย”
เขาไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา หรือบุคลิกภาพ เขายังคงหล่อเหลา เย็นชา และไม่เข้าใจหัวใจผู้หญิง
ลู่หลีเดินตามเหวินนิ่งออกมา จับแขนเธอไว้ มองไปรอบๆ หาห้องจัดเลี้ยงที่เหวินนิ่งกำลังจะไป แล้วพาเธอไปที่ห้องโถงนั้น พร้อมกับกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับคำชมครับ สารวัตรเหวิน แต่คุณเปลี่ยนไปมาก อย่างเช่นยศของคุณ ใครๆ ต้องอิจฉาคุณแน่ ที่ได้เลื่อนตำแหน่งรวดเร็วอย่างนี้”
เหวินนิ่งยิ้ม เงยหน้ามองลู่หลีและเลิกคิ้ว “ใช่ค่ะ นั่นเป็นเพราะฉันรู้ตัวดีว่าฉันเป็นทหาร
“ฉันจำได้ว่าคุณเอง ผู้เป็นครูของฉันนี่แหละ ที่บอกให้ฉันจดจำตัวตนของตัวเองให้ดี” จบคำพูดเหวินนิ่งก็ดึงมือกลับมาหยิบการ์ดเชิญจากกระเป๋า แล้วส่งให้พนักงานเฝ้าประตู ก่อนจะหันมาควงแขนลู่หลี เดินเข้าไปในงานด้วยกัน
ลู่หลีไม่ได้โกรธ หรือหันหลังเดินจากไปอย่างที่เธอคิด เขายิ้มและกล่าวอย่างสุภาพ “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่สารวัตรเหวินยังจำคำพูดของผมได้”
รอยยิ้มบนใบหน้าเหวินนิ่งนิ่งขึงไปทันที เธอหายใจเข้าลึกๆ แล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็หยิบแชมเปญสองแก้วจากถาดที่บริกรยกมาเสิร์ฟ ส่งแก้วหนึ่งให้ลู่หลี “แต่ฉันเกลียดคำพูดเหล่านี้ เพราะมันทำให้ฉันสูญเสียคนที่ฉันรัก”
ลู่หลีกำลังจะรับแก้วแชมเปญ มือเขาชะงักไปชั่วคราวเมื่อได้ยินประโยคนี้ แต่สีหน้านั้นไม่แสดงความรู้สึกใดๆ “จริงเหรอ ผมเสียใจที่ได้ยินอย่างนี้”
เหวินนิ่งเห็นสายตานิ่งเฉยของลู่หลี และประกายความเศร้าวาววับในดวงตาเธอ จากนั้นเธอก็เหน็บแนมว่า “ใช่สิ คุณควรจะเสียใจ เพราะว่าเป็นเพราะคุณ”
“ผมขอโทษจริงๆ” ลู่หลีกล่าว “แต่ผมคงไม่สามารถคืนคนรักของคุณให้คุณได้ เพราะผมควบคุมจิตใจผู้ชายคนไหนไม่ได้”
เหวินนิ่งมองลึกลงไปในดวงตาเขา แต่เขาละสายตามองไปรอบๆ ห้องโถง จากนั้นก็มองกลับมาที่เหวินนิ่ง “วันนี้ภารกิจของคุณคืออะไร”
“ค่ะ ภารกิจของฉันในวันนี้ยากมาก เพราะฉะนั้นโปรดช่วยฉันทำภารกิจนี้ให้สำเร็จด้วยนะคะ คุณลู่” เหวินนิ่งกล่าว แล้วควงแขนเขา “ช่วยฉันทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ เพื่อชดใช้ความผิดที่คุณทำให้ฉันสูญเสียผู้ชายที่ฉันรักมากที่สุดไป”
ลู่หลีกำมือแน่น เวลาผ่านไปครู่ใหญ่กว่าเขาจะพยักหน้ารับ “ตกลง แต่ผมขอให้นี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายนะ สารวัตรเหวิน จากนี้ไปผมหวังว่าเราจะไม่ติดต่อกันอีก และถึงแม้ว่าเราจะได้พบกันหลังจากนี้ ได้โปรดแกล้งทำเป็นไม่รู้จักผม”
เหวินนิ่งยิ้ม เงยหน้ามองลู่หลี “นั่นขึ้นอยู่กับว่า คุณลู่จะสามารถทำภารกิจในวันนี้ให้สำเร็จได้หรือเปล่า”
ลู่หลีขมวดคิ้ว และเมื่อถึงตอนนี้ก็มีคนหลายคนเดินเข้ามาหาคนทั้งสอง ชายวัยกลางคนในหมู่คนเหล่านั้นทำหน้าบึ้งใส่พวกเขา เหวินนิ่งเลิกคิ้วเมื่อเธอเห็นชายคนนั้น “เห็นไหมคะ ผู้ชายคนนั้นคือเป้าหมายของภารกิจในวันนี้ ภารกิจจะเสร็จสิ้นเมื่อผู้ชายคนนั้นถูกจัดการ แต่ถ้าเราไม่สามารถจัดการกับผู้ชายคนนั้นได้สำเร็จ ฉันต้องขอโทษที่ไม่สามารถทำตามความต้องการของคุณได้ค่ะ คุณลู่”
ลู่หลีมองไปที่ชายวัยกลางคน ซึ่งตามมาด้วยชายหนุ่มคนหนึ่ง หญิงวัยกลางคนสองคน และชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่ง เขาขมวดคิ้ว กล่าวเบาๆ ว่า “ผมสงสัยว่า เมื่อไหร่กันที่ตำรวจสากลเลือกที่จะจัดการกับผู้บริสุทธิ์”
เหวินนิ่งเลิกคิ้วไม่พูดอะไร เธอเชิดคางขึ้นด้วยรอยยิ้ม มองกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอ และควงแขนลู่หลีไว้ ราวกับจะแสดงว่าเธอเป็นเจ้าของเขา ลู่หลีขมวดคิ้วมองหน้าหญิงสาวที่กอดแขนเขาไว้แน่น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผมจะจู่โจมผู้ชายคนนั้นได้ยังไง ถ้าคุณกอดแขนผมไว้แบบนี้”
“จู่โจมเหรอคะ” เหวินนิ่งเงยหน้ามองลู่หลีแล้วเลิกคิ้ว “นี่คุณเข้าใจวัตถุประสงค์ของฉันจริงๆ หรือเปล่า”
ลู่หลีกำลังจะพูดอะไรอีกบางอย่าง เมื่อเขาได้ยินเสียงชายวัยกลางคนกล่าวเสียงดังด้วยความโกรธ “เหวินนิ่ง! พ่อขอให้ลูกมาร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำคืนนี้ แต่ไม่ได้ขอให้ลูกมากับผู้ชาย!”
เหวินนิ่งยิ้ม มองกลับไปที่ชายวัยกลางคนผู้ซึ่งกำลังโกรธ แล้วเอนตัวเข้าหาลู่หลีพร้อมกับกล่าวด้วยท่าทางน่ารักว่า “พ่อคะ หนูพาแฟนมางานเลี้ยงนี้ด้วยไม่ได้เหรอคะ”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งกับหญิงวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังชายคนนั้นก็หน้าบึ้งทันที และมองหน้าชายที่พูดกับเหวินนิ่งเมื่อกี้ พร้อมกับถามว่า “เหวิน นี่มันเกิดอะไรขึ้น”