บทที่ 438 รางวัลที่สอง
อันโนนิส ‘นักโหราศาสตร์’ หยิบกำไลข้อมือรูปร่างประหลาดออกมาซึ่งบนนั้นมีนาฬิกาฝังอยู่ แล้วเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ขอแสดงความขอบคุณท่านลูเซียน อีวานส์ ผู้นำเสนอแบบจำลองคณิตศาสตร์และการพิสูจน์ ‘เรขาคณิตเลฟสกี’ ซึ่งปลดปล่อยเราจากความโอหังและอคติ และทำให้เราได้เห็นความงามของคณิตศาสตร์จากอีกมุมมองหนึ่ง เขาทำให้เราเห็นถึงความจำเป็นที่ต้องมีสัจพจน์ที่ถูกต้องและตรรกะที่เข้มงวดอย่างเพียงพอ มีเพียงจอมเวทที่มีความกล้าและชาญฉลาดอย่างท่านลูเซียน อีวานส์ เท่านั้นที่สามารถสร้างผลงานยิ่งใหญ่ขนาดนี้”

“…นอกจากนี้ ขอแสดงความขอบคุณท่านลูเซียน อีวานส์ ในการสร้างระบบเรขาคณิตใหม่อีกหนึ่งระบบ และทำให้ระบบเรขาคณิตโดยรวมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยคทาอาร์คานาที่ยี่สิบสอง เราขอยกย่อง ‘เรขาคณิตอีวานส์’ และผลงานอันโดดเด่นแก่วงการคณิตศาสตร์”

ลูเซียนมี ‘คทาแห่งตะวัน’ แล้ว ดังนั้น เขาจึงขอให้กลุ่มหอคอยเปลี่ยนจาก ‘คทาอาร์คานา’ เป็นเครื่องประดับรูปทรงกำไร ‘นาฬิกาข้อมือ’

เมื่อสัมผัสกับนาฬิกาข้อมือสีเทาเงินซึ่งมีลวดลายกลุ่มดาวและเพชรสลักอยู่บนส่วนตัวเรือนสีทอง มือซ้ายของลูเซียนก็ประทับพลังวิญญาณลงในแกนกลางรูปดวงอาทิตย์ที่ล้อมรอบด้วยหมู่ดาวจักราศี

“คทาอาร์คานา ‘เรขาคณิตอีวานส์’ อุปกรณ์ชั้นสมบูรณ์แบบระดับเจ็ด ข้อบ่งชี้การใช้งาน ต้องใช้พลังวิญญาณระดับหกและโลกแห่งปัญญาที่เป็นรูปประธรรม”

“กำไลข้อมือรูปร่างประหลาดนี้บรรจุพลังเวทมนตร์ถาวรสองประการ ได้แก่ การเพิ่มความแม่นยำเมื่อร่าย ‘เวทผูกดวงโหราศาสตร์’ และการเพิ่มพลังความสนใจให้แก่เจ้าของต่ออันตราย ช่วยให้ทุกช่องเชื่อมต่อกับดาวหลักแห่งเทวลิขิตโดยไม่ต้องเข้าสู่สถานะฌานสมาธิ

“เนื่องจากเป็นผลงานของนักเล่นแร่แปรธาตุกลุ่มหอคอย ก็ยังมีพลังดวงดาวและเทวลิขิต ผู้เป็นเจ้าของสามารถร่ายเวทมนตร์ระดับห้า ‘คําสาปมรณะ’ วันละสองครั้ง เวทมนตร์ระดับห้า ‘พรดวงดาว’ วันละสองครั้ง และเวทมนตร์ระดับเจ็ด ‘เวทแทรกแซงเทวะลิขิต’ วันละสามครั้ง

“มกราคม ปี 820 กิตติกรรมประกาศแด่ผลงานอันยิ่งใหญ่ต่อวงการคณิตศาสตร์ของท่านลูเซียน อีวานส์”

“กระแสของเวลาเป็นอิสระ สัมบูรณ์ และเป็นคณิตศาสตร์ ไม่ต่างจากเทวลิขิต เราสามารถสังเกต อ้างอิง ทํานาย และแทรกแซงได้ตามระดับที่เหมาะสม!”

“คาเซียส อันโนนิส”

เมื่อสวมนาฬิกาข้อมือแล้ว ลูเซียนหันไปหาเหล่าจอมเวทด้านล่างเวทีและกล่าวกับพวกเขาอย่างมีความหมาย

“นับจากจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณมาจนถึงสภาเวทมนตร์ ก็ผ่านมานับหลายร้อยปี ระหว่างนี้ มีหลายต่อหลายครั้งที่ผลการวิจัยที่ถูกมองข้ามในตอนแรกกลับมาได้รับการยอมรับในวงกว้าง เมื่อจอมเวทพบกับปัญหาที่ใหญ่กว่าในภายหลัง”

“แน่นอนว่าโครงการวิจัยของเราควรเป็นไปในเชิงปฏิบัติ แต่เราก็ควรกระตุ้นเตือนให้จอมเวทซึ่งมีเวลาว่างและแข็งแกร่งพอได้มีความรู้เชิงลึกมากขึ้น และทำโครงการวิจัยที่ก้าวหน้ายิ่งกว่าสิ่งที่เราเข้าใจในปัจจุบัน ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เราถึงจะมีเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ต่อการสำรวจในอนาคตเพื่อเป็นหลักประกันว่าเราจะพัฒนาอย่างไม่หยุดหย่อน”

นีชกา มิลินา แกสตัน ราเชล และอีกหลายๆ คนเริ่มยิ้ม ลูเซียนเป็นคนหัวดื้อมากจริงๆ คนพูดกันว่าระบบเรขาคณิตใหม่ของเขาไม่มีประโยชน์ในการใช้งานเชิงปฏิบัติ เขาจึงตอกย้ำให้เห็นว่าอันที่จริง ระบบของเขาแล้วล้ำหน้าเกินไปที่จะใช้ในปัจจุบัน เขาคิดถูกหรือไม่? ไม่มีใครรู้ได้

ลูเซียนยังไม่หยุด เพราะด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าคนคุ้นเคย “การทดลองดาวจำลองของท่านประธานพิสูจน์ให้เราเห็นถึงความเป็นเหตุเป็นผลในระบบเคลื่อนไหววัตถุท้องฟ้าของเขา และรวมถึงปริศนาลึกลับของจักรวาล เปิดประตูโลกจุลภาคเปิดออกแรกๆ เราได้รู้เป็นครั้งแรกว่าโลกนี้เล็กเพียงไหน แล้วอย่างที่เราเห็นวันนี้ ก็มีโลกที่ทั้งใหญ่เกินกว่าที่เราจะจินตนาการถึง และก็มีโลกที่เล็กเกินกว่าที่เราเคยคาดคิด ทั้งสองกรณีอยู่นอกเหนือความสามารถในปัจจุบันของเราที่จะสังเกตด้วยเวทมนตร์โดยตรง ในช่วงนี้ ข้าเชื่อว่าพวกท่านทุกคนต่างเคยประสบหรือกำลังประสบความสิ้นหวังที่ไม่สามารถทำการทดลองต่อได้ แม้จะมีความคิดและทฤษฎีรองรับก็ตาม”

การศึกษาโลกจุลภาคและมหภาคก็ได้รับความสนใจจากนักเวทจำนวนนับไม่ถ้วน นับเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงเป็นอันดับสองรองจากสงครามวิวาทะระหว่างทฤษฎีคลื่นและอนุภาคของแสง นักเวทส่วนใหญ่ในงานนี้ต่างก็เคยพัวพันกับวิวาทะนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย พวกเขาต่างพยักหน้าเนื่องจากต่างเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ลูเซียนพูดกันทั้งนั้น เมื่อมีการศึกษาเรื่องโลกจุลภาคและมหภาค กลวิธีเวทมนตร์ในปัจจุบันก็มาถึงขีดจำกัด

ใบหน้าของลูเซียนมีรอยยิ้มแสนอ่อนโยนเหมือนเดิมเช่นทุกครั้ง “ดังนั้น คณิตศาสตร์จะกลายเป็นเครื่องมือเดียวที่เราพึ่งพาได้ เราสามารถสังเกตปรากฏการณ์แล้วเราก็จะพบกฎเกณฑ์ของมัน คณิตศาสตร์จะมีบทบาทสำคัญ เมื่อเราใช้ในการสำรวจโลกจุลภาคและมหภาค และจะคอยนำทางเราผ่านความมืดมิดที่อยู่ตรงหน้า!”

ราเวนติฟังสุนทรพจน์ของลูเซียนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แม้จะมีแนวคิดคร่าวๆ เกี่ยวกับโลกจุลภาคและมหภาคมาก่อน ลูเซียนก็เป็นคนแรกที่แบ่งโลกออกเป็นสองอย่างชัดเจน และใช้ในการแบ่งแยกภาคส่วนของเวทมนตร์

แล้วจู่ๆ สีหน้าของลูเซียนก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา “โลกที่เราอาศัยอยู่นี้แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากโลกจุลภาคและมหภาค ในอนาคต เราอาจพบว่าทฤษฎีและความเชื่อของเราไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงกับโลกทั้งสองใบ บางทีทุกสิ่งทุกอย่างในโลกทั้งสองใบนั้นจะอยู่นอกเหนือจินตนาการของเราไปไกลมาก และสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นปาฏิหาริย์ในสายตาของเราอาจเป็นเรื่องปกติมากในโลกนั้น”

“เพราะฉะนั้น เราไม่อาจพึ่งพาเพียงตา หู หรือแม้กระทั่งวิญญาณ และเราไม่อาจอาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมาและทฤษฎี คณิตศาสตร์จะเป็นเครื่องมือเดียวของเรา!”

จอมเวทที่อยู่ในงานต่างปรบมือแสดงความนับถือต่อผู้ชนะรางวัล แต่ไม่มีใครสนใจคำพยากรณ์ของลูเซียนอย่างจริงจัง เนื่องจากยังฟังดูไม่มีทางจะเป็นจริงได้ สาขาคณิตศาสตร์เป็นเพียงชุดความรู้หนึ่งในโลกนามธรรม และเข้าใจได้ว่าสามารถค้นพบระบบเรขาคณิตใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึงได้ แต่คงเชื่อได้ยากว่าในโลกความเป็นจริงของอาร์คานาและเวทมนตร์ จะมีปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์หรือทฤษฎีที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นจริง

แม้ว่าสำนักแปลงกาย การอัญเชิญ และส่วนหนึ่งของภาพมายายังไม่อาจเข้าสู่ระบบอาร์คานาในปัจจุบัน จอมเวทก็เชื่อว่ายิ่งมีความเข้าใจลึกซึ้งในร่างกายมนุษย์ กาลและอวกาศ รวมถึงการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สำนักเวทมนตร์เหล่านี้ก็ยังสามารถสร้างความประทับใจให้กับจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ เพื่อที่จะบรรจุลงในระบบได้

ด้วยคำกล่าวของมหาจอมเวทบรูค “สำนักเหล่านี้ควรบรรจุลงในระบบอาร์คานา และจะต้องเกิดขึ้น!”

ณ ตอนนั้น พวกเขาพากันลืมทฤษฎีควอนตัมพลังงานของลูเซียนกันหมดโดยตั้งใจ สมมติฐานที่ดูแลจะบรรจุพลังงานที่สามารถทำลายโลกอาร์คานาได้ทั้งใบ

ณ คฤหาสน์บ้านสวน

ลูเซียนสวมแว่นตาข้างเดียวที่พัฒนาขึ้นด้วยตัวเอง และเปิดเวท ‘สารแม่เหล็กไฟฟ้า’ หลังจากเสียงกระแสไฟฟ้าสักพักหนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงแสดงความประหลาดใจของนาตาชา

“ลูเซียน? ตอนนี้เจ้าอยู่แถวอัลโต้หรือ? อีกแล้วหรือ?”

เมื่อส่งสัญญาณผ่านดาวเทียม เสียงของนางฟังดูแปลกไปเล็กน้อย และคุณภาพของการสื่อสารก็ไม่ดีนัก

“เปล่า กระหม่อมติดต่อหาพระองค์จากระยะไกลมากผ่านทางดาวจำลอง” ลูเซียนยิ้ม คุณภาพของการติดต่อเป็นไปตามที่เขาคาดไว้ และยังสามารถพัฒนาต่อได้ในภายหลัง หลังจากพวกเขามีประสบการณ์มากขึ้น

ในการใช้ประโยชน์จากดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร การระบุตำแหน่ง และการติดตามอย่างเหมาะสมไม่ใช่งานง่ายๆ เมื่อมีการใช้งานในวงกว้างมากขึ้น ปัญหาก็ยิ่งปรากฏมากขึ้นๆ และปัญหาบางอย่างจะทำให้มหาจอมเวทต้องปวดหัว เพราะพวกเขาอาจไม่สามารถหาเหตุผลเบื้องหลังปัญหานั้นได้

อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็เป็นไปตามที่ลูเซียนคาดการณ์ไว้ทั้งหมด!

เขามีวัตถุประสงค์สำคัญสองประการในการผลักดันเรื่องแผนดาวเทียม นอกเหนือจากการพิสูจน์ระบบวัตถุท้องฟ้าของดักลาสแล้ว ประการแรก ก็เพื่อให้ได้สนทนากับนาตาชา และประการที่สอง เพื่อก่อให้เห็นปัญหาชัดเจน ดังนั้น รากฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษและทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปจึงสามารถเป็นรูปเป็นร่างได้

แม้หนังสือที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ในห้องสมุดพวกจิตของเขายังไม่เปิดผนึกออก ลูเซียนก็รู้ถึงความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั้งสองแบบที่มีต่อดาวเทียม เช่น การขยายขนาดของเวลาจากความเร็วสัมพันธ์ และการขยายขนาดของเวลาจากความเข้มสนามโน้มถ่วง และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปัญหาก็เกิดจากทฤษฎีทั้งสองนี่เอง

เนื่องจากเขาใช้ดาวเทียมที่โคจรแบบสัมพันธ์ จึงอาจมองข้ามเรื่องการขยายขนาดของเวลาจากความเร็วสัมพันธ์ได้ ลูเซียนเพียงแต่ต้องหาวิธีจัดการกับสนามโน้มถ่วง นอกจากนี้ เพราะระบบดาวเทียมยังเป็นแบบพื้นฐานมาก และมีผู้ใช้เพียงไม่กี่คนในตอนนี้ เขาก็ยังสามารถสนทนากับนาตาชาได้

นาตาชายังคงเงียบอยู่สักพักก่อนจะถามออกมา “ดาวเกิดใหม่วันนั้น… เป็นดาวเคราะห์จำลอง? มิน่า พระสันตะปาปาถึงใช้พลัง ‘พระเจ้าเสด็จ’…”

แล้วนาตาชาก็นึกถึงพระจันทร์สีเลือด แล้วนางก็ถามขึ้นด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย “เจ้าทำกันหรือ?”

“กระหม่อมเป็นคนเสนอแผน ท่านดักลาสก็นำเสนอทฤษฎีและสร้างมันขึ้น” ลูเซียนตอบอย่างจริงใจ

นาตาชาเดาะลิ้น “ข้ารู้อยู่แล้ว! นี่คือความคิดเจ้า ข้ารู้สึกเหมือนข้าจะตามความคิดทั้งหมดของเจ้าไม่ทัน แล้วเจ้าก็ชอบเปลี่ยนความคิดให้เป็นความจริงเสมอ! การคบเจ้าเป็นสหายนี่มีแต่เรื่องประหลาดใจ แต่ข้าก็ยังกังวลว่าสักวันหนึ่ง เจ้าจะหลอกข้าเอาเสียง่ายๆ แต่การได้คุยกับเจ้าแบบนี้ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนเราไม่ได้อยู่ไกลกัน ข้าชอบนะ”

“กระหม่อมติดต่อพระองค์ทันทีที่สามารถทำได้” ลูเซียนพูดอย่างกำกวม เขาเขินอายเกินกว่าจะบอกออกไปตรงๆ ว่าการสนทนากับนางเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักในการปล่อยดาวเทียม

“ฮ่าๆ นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เจ้าจำ… ข้าได้” นาตาชาหัวเราะ แล้วเสียงของนางก็เงียบไป อาจเป็นเพราะคุณภาพของสัญญาณ หรืออะไรบางอย่าง

การสนทนาของทั้งคู่เป็นไปอย่างออกรสออกชาติ และกินเวลานานมากจนกระทั่งพลังวิญญาณของทั้งนาตาชาและลูเซียนไม่อาจส่งผ่านอุปกรณ์ติดต่อได้อีกต่อไป

“เอาล่ะ ข้าสังเกตว่าพระคาร์ดินัลหลวงซาร์ดหายตัวไปจากสาธารณะ ตั้งแต่เหตุการณ์พระจันทร์สีเลือด ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่” นาตาชาส่งคำเตือนถึงลูเซียน

ลูเซียนพยักหน้า ขณะที่เขารู้สึกถึงความร้อนของแว่นตาข้างเดียวที่สวมอยู่ “หากดูจากสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาทำตัวไม่เหมือนเดิม เดี๋ยว… กระหม่อมจะใส่วงเวทวิทยาการเข้ารหัสบนอุปกรณ์ส่งสารแม่เหล็กไฟฟ้าทันทีที่ทำได้ มิฉะนั้นการสนทนาของเราอาจถูกจับได้โดยง่าย”

“ก็ดี” นาตาชาไม่รู้เรื่องแม่เหล็กไฟฟ้ามากเท่าไร แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าลูเซียนจะดูแลเรื่องนี้เอง

หลังจบการสนทนา ลูเซียนก็เห็นแอนนิคเดินมาหาเขา ห้อมล้อมด้วยนักเวทฝึกหัดคนอื่นๆ นักเวทฝึกหัดทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน

“อาจารย์ บทความของแอนนิคได้ตีพิมพ์ในอาร์คานา! เขาเป็นจอมเวทยระดับสองแล้ว!”

เนื่องจากการอ้างอิงถึงการศึกษาเรื่องรังสีแคโทด แอนนิคก็อยู่ไม่ไกลจากการเลื่อนขั้นระดับต่อไป หลังจากได้คะแนนความน่าเชื่อถือห้าสิบคะแนนครั้งนี้ เขาก็กลายเป็นนักเวทระดับสองโดยปริยาย

“จริงหรือ? ขอข้าดูหน่อย” ลูเซียนรู้สึกยินดีมากและรับวารสารมาดู เมื่อมองผ่านๆ ตรงตารางสารบัญ เขาก็เห็นชื่อของอาร์ทิล บทความของเขาเป็นบทความสุดท้ายของวารสารฉบับนี้และยังคงเป็นบทความอภิปราย บทความนั้นชื่อ

รางวัลสำหรับทฤษฎีที่อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก

“…จากบทความของแอนนิค เราจะเห็นว่ากระแสไฟฟ้า ซึ่งเกิดจากการร่ายเวทแสงบนวัตถุโลหะ ประกอบด้วยอิเล็กตรอน ซึ่งก่อคำถามที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อแสงอยู่ภายใต้ความถี่ที่เหมาะสม ไม่ว่าเราจะพยายามเพิ่มความเข้มข้นของ ‘คลื่น’ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกและอิเล็กตรอนก็ไม่มีทางเกิด ทำไม? และทำไม เมื่อเราเพิ่มความเข้มข้นของพลังงานของแสงที่มีความถี่เดียวกัน จึงมีการปล่อยอิเล็กตรอนออกมามากขึ้น แต่เป็นลึกตอนที่มีความเข้มข้นเดียวกัน? เห็นได้ชัดว่าขัดแย้งกับทฤษฎีคลาสสิคคลื่นของแสง”

“…ข้าขอเสนอคะแนนอาร์คานาห้าหมื่นคะแนนเป็นรางวัลให้กับผู้ค้นหาคำอธิบาย โดยเฉพาะจากท่านผู้สนับสนุนทฤษฎีคลื่น! ลองใช้จินตนาการของท่าน!”

เมื่อเห็นประกาศที่สอง ลูเซียนก็เงียบลง เขากำลังพิจารณาว่าควรตอบโต้อะไรสักอย่างเพื่อเริ่มปลูกความคิดลงในสมองของเหล่าจอมเวทหรือไม่