ตอนที่ 1615

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,615 : ข่าวที่น่าตื่นตาตื่นใจ

 

“อาจารย์ของเทียนหวู่?”

 

หลังได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนแล้ว เฟิ่งหวู่เต้าอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดด้วยสงสัย

 

มันไม่รู้เลยว่าหลังจากที่มาถึงดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้แล้ว บุตรีคนเดียวของมันเป็นอยู่อย่างไร ไหนเลยจะทราบได้ว่าบุตรีของมันกลับมีอาจารย์ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแล้ว

 

“ลุงเฟิ่งถึงแม้ว่าท่านจะอยู่ที่นิกายหยินหมิงได้ไม่นาน แต่ท่านสมควรรู้เรื่องของประเทศฝูเฟิงมาบ้างใช่หรือไม่?”

 

ต้วนหลิงเทียนมองถามเฟิ่งหวู่เต้า

 

“อืม”

 

เฟิ่งหวู่เต้าพยักหน้า

 

“ในเมื่อท่านรู้ว่าข้าคือแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู เช่นนั้นท่านควรรู้ใช่หรือไม่ว่าไฉนข้าถึงโด่งดังขึ้นมาในประเทศฝูเฟิงได้?”

 

ต้วนหลิงเทียนถามเพิ่ม

 

“เจ้าในฐานะแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู ได้เอาชนะแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอย”

 

ครั้งนี้เฟิ่งหวู่เต้ายังไม่ทันตอบ เป็นหนานกงยี่ที่ตอบขึ้นมาแทน

 

“ใช่”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ก่อนที่จะกล่าวถามอีกคำ “งั้นทุกคนรู้จักแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยกันหรือไม่?”

 

“แน่นอน!”

 

ลูกตาหนานกงยี่เปล่งแสงวูบวาบ “กล่าวถึงแม่นางเฟิ่งผู้นี้ พลังฝึกปรือของนางก้าวหน้าราวปีศาจ..ว่ากันว่านางพึ่งปรากฏตัวได้ไม่กี่ปี ก็สามารถติดอันดับในรายนามนภาเมื่อปีที่แล้ว อีกทั้งยังกลายเป็นสุดยอดอัจฉริยะที่เยาว์วัยที่สุดในประเทศฝูเฟิงที่ติดอันดับในรายนามนภาอีกด้วย! และที่สำคัญที่สุดนางเป็นสตรี!!”

 

“หลังจากเข้าสู่รายนามนภาได้ เพียงแค่ครึ่งปีต่อมานางก็ก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 23 ไม่เพียงแต่นางจะมีชื่อเสียงในประเทศฝูเฟิง กระทั่งยังมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวน”

 

“ผ่านมาครึ่งปี ทุกคนล้วนคิดว่านางมีพลังฝีมือสูงพอที่จะก้าวเข้าสู่ 10 อันดับแรกในรายนามนภา…หากแต่นางกลับพ่ายแพ้ต่อเจ้าเสียก่อน…กล่าวได้ว่านางนั้นโด่งดังนัก และด้วยพลังฝีมือของนางแม้จะแพ้เจ้าแต่คิดจะขึ้นมาอยู่อันดับต้นๆในรายนามนภาอีกครั้งคงมิใช่เรื่องยากเย็นอะไร”

 

“นางเป็นสตรีแท้ๆ แต่กลับทำให้ข้ารู้สึกอับอายนัก ที่สามารถประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้ทั้งๆที่ยังมิได้อายุ 40”

 

วาจาท้ายประโยคหนานกงยี่อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน

 

“เจ้าหนูหลิงเทียน…เจ้าอย่าได้บอกข้าเชียว ว่าแม่นางเฟิ่งผู้นี้…คือ…”

 

เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนจงใจกล่าวถึงแม่นางเฟิ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้เฟิ่งหวู่เต้าตระหนักได้ถึงบางสิ่ง…สองตาของมันทอประกายวูบวาบขึ้นมาด้วยความเหลือเชื่อ

 

ยังเป็นเรื่องที่สุดที่มันจะคาดคิดได้จริงๆ!

 

“ท่านลุงเฟิ่ง ดูเหมือนว่าท่านจะเดาได้แล้ว…”

 

เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นอาการของเฟิ่งหวู่เต้า เขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาพร้อมกล่าว “ถูกแล้ว แม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยคนนั้น ก็คือเฟิ่งเทียนหวู่บุตรีของท่านเอง”

 

เปรี๊ยง!

 

วาจานี้ไม่ว่าจะดังเข้าหูเฟิ่งหวู่เต้า ป๋ายลี่หงหรือใครอื่น ก็ประหนึ่งอัสนีบาตฟาดผ่าดังลั่น!

 

“เป็นเทียนหวู่จริงๆ!!”

 

ลูกตาของเฟิ่งหวู่เต้าทอประกายวูบวาบไปด้วยความตื่นเต้น ร่างยังสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ยากจะหยุดยั้ง

 

“อะไรนะ! แม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอย คือเฟิ่งเทียนหวู่งั้นเรอะ!?”

 

ป๋ายลี่หง ซื่อหม่าฉางฟง เฉินเฉ่าช่วยและคู่แฝดหนานกงโพล่งออกมาพร้อมกัน

 

แม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยคือตัวตนระดับใด พวกมันไหนเลยจะไม่ทราบได้!

 

หากปราศจากต้วนหลิงเทียนสักคน นางก็คือสุดยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับ 1 ของประเทศฝูเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

 

ถึงแม้นางจะพ่ายแพ้ลงภายใต้เงื้อมมือของต้วนหลิงเทียน แต่นางก็แค่ลดหลั่นลงไปกลายเป็นสุดยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับ 2 ของประเทศฝูเฟิงเท่านั้น!

 

อย่างไรก็ตามอัจฉริยะสุดยอดฝีมือนางนั้น ที่แท้กลับเป็นเฟิ่งเทียนหวู่ บุตรีที่เฟิ่งหวู่เต้ารวมถึงพวกมันกำลังตามหา!

 

จะไม่ให้พวกมันตกใจได้อย่างไรไหว?

 

“แม่นางเฟิ่ง คือแม่นางเทียนหวู่งั้นหรือ!?”

 

ขณะเดียวกันทางด้านโฉดคลุมทองกับฉงเฉวียนก็หันหน้ามองสบตากันด้วยความตกใจ

 

เฟิ่งเทียนหวู่ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับพวกมันเลย

 

อย่างไรก็ตามพวกมันไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าเวลาพึ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ปี สตรีโฉมงามที่หลงรักนายน้อยหรือเจ้านายของพวกมันจะประสบความสำเร็จมหาศาลขนาดนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าต้วนหลิงเทียนเลยด้วยซ้ำ!

 

เมื่อเห็นสีหน้าอาการตกตะลึงของทุกคน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร

 

เพราะสุดท้ายแล้ว กระทั่งเขาทันทีที่รู้ว่าแม่นางเฟิ่งคือเทียนหวู่ เขาเองก็ตกตะลึงตาค้างเช่นกัน

 

“หวู่เต้า ข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย!”

 

ป๋ายลี่หงเป็นคนแรกที่คืนสติ เร่งแสดงความยินดีกับเฟิ่งหวู่เต้าทันที

 

ซื่อหม่าฉางฟงและคนอื่นๆก็เร่งรุดแสดงความยินดีออกมาเช่นกัน และสุดท้ายเป็นซื่อหม่าฉางฟงที่กล่าวปิดท้าย “พี่ใหญ่เฟิ่ง ข้าว่าชีวิตนี้ท่านคงมิมีอันใดให้เสียใจอีกแล้ว เพราะท่านมีบุตรีอันประเสริฐเช่นนี้!”

 

ในตอนนี้เอง เฟิ่งหวู่เต้าก็พึ่งดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้

 

อย่างไรก็ตามมันไม่ได้แสดงอาการดีใจเหมือนคนอื่น

 

“เพียงไม่กี่ปีที่ผ่าน เทียนหวู่กลับมีความก้าวหน้าขนาดนี้…เช่นนั้นช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านนางต้องผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากถึงขนาดไหนกัน…”

 

เฟิ่งหวู่เต้ากล่าวออกด้วยความปวดใจ

 

ความยากลำบากและอุปสรรคทั้งหลายล้วนเคี่ยวกำหล่อหลอมให้คนเป็นยอดคน

 

เฟิ่งหวู่เต้าเชื่อว่าเบื้องหลังความสำเร็จของบุตรีมัน มิได้ง่ายดายดั่งหนทางที่โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบเป็นแน่ และนางต้องทรมานทั้งเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย นั่นทำให้มันรู้สึกปวดใจนัก

 

หากทำได้มันก็หวังให้บุตรีอยู่อย่างมีความสุข ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยไร้กังวลใดๆ ไม่ใช่ทุ่มทั้งชีวิตเพื่อความแข็งแกร่ง มันแค่หวังเพียงให้นางมีชีวิตอันสงบสุขเท่านั้น

 

นี่คือความจริงจากใจของผู้เป็นบิดา

 

“เอาล่ะพวกเรากลับไปที่เมืองหลวงกันก่อนเถอะ”

 

เมื่อเห็นความคาดหวังอันแรงกล้าในสายตาเฟิ่งหวู่เต้า ต้วนหลิงเทียนหันไปมองสบตาป๋ายลี่หง ก่อนที่จะพาเฟิ่งหวู่เต้าและทุกคนเดินทางกลับด้วยความรวดเร็ว

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเดินทางกลับ ข่าวอันน่าตื่นตระหนกก็เริ่มแพร่กระจายออกมาจากนิกายหยินหมิง

 

ยอดฝีมือขอบเขตเซียนทั้ง 2 คนของนิกายหยินหมิง อาวุโสสูงสุดตกตาย ส่วนประมุขนิกายหนีหาย

 

อีกทั้งผู้อาวุโสระดับสูง ทั้งชนชั้นรองประมุขก็ถูกฆ่าตาย!

 

เหล่าอาวุโสที่เหลือทั้งศิษย์ที่มีระดับพลังฝึกปรือสูงเข้าหน่อยต่างเร่งรุดหลบหนีกันอย่างจ้าละหวั่น ด้วยกลัวจะชักนำเภทภัยมาสู่ตัวหากยังรั้งอยู่ที่นิกายหยินหมิง!

 

เพียงเวลาแค่ชั่วพริบตา นิกายหยินหมิงก็พังทลายลงเป็นเสี่ยงๆ!

 

เรื่องที่น่าประหลาดใจก็คือ แม้นิกายหยินหมิงจะล่มสลายลง หากแต่ไม่มีผู้ใดหาญกล้ามาควบคุมสายแร่หินเซียนระดับ 7 ในความครอบครองของนิกายหยินหมิงเลย กระทั่งทรัพย์สมบัติของนิกายหยินหมิงยังถูกทิ้งเอาไว้ไม่มีใครกล้าแตะ เพราะไม่มีใครรู้ว่ายอดฝีมือที่ทำลายนิกายหยินหมิงจนย่อยยับขนาดนี้จะย้อนกลับมาเอาหรือไม่…

 

“นิกายหยินหมิงล่มสลายแล้ว?”

 

“ถึงแม้นิกายหยินหมิงจะเป็นขุมพลังชั้น 7 ที่อ่อนด้อยที่สุดในประเทศฝูงเฟิงและไม่มีอะไรเทียบได้กับขุมพลังชั้น 6 แต่จะอย่างไรก็คือขุมพลังชั้น 7! นอกจากนี้ยังมีขอบเขตเซียนดูแลอยู่ถึง 2 คน มิคิดเลยว่าจะล่มสลายลงในเวลาไม่ถึงวัน!”

 

“นิกายหยินหมิงไปเหยียบเท้าผู้ใดเข้ากันแน่?”

 

……

 

ในขณะเดียวกัน เหล่าผู้คนที่อยู่ใกล้ๆที่ตั้งของนิกายหยินหมิงก็กล่าวถึงเรื่องนี้กันถ้วนหน้า และบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นกันนัก ว่านิกายหยินหมิงไปล่วงเกินขุมพลังใดมากันแน่

 

ไม่นานข่าวอื่นๆก็แพร่กระจายออกมา

 

ในวันเดียวกันกับที่ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายหยินหมิงตกตาย ประมุขอย่างอี้เฟิงหนีหาย กลุ่มศิษย์ของนิกายหยินหมิงได้เห็นปรมาจารย์ต้วน แขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถูบุกเข้ามา อีกทั้งไม่เพียงบุกเข้ามาถ่ายเดียว ยังฆ่าชนชั้นครึ่งก้าวเซียนอันเป็นรองประมุขกับอาวุโสระดับสูงไปอีก 2 คน!

 

“เป็นฝีมือของตระกูลซือถูงั้นเหรอ?”

 

“สมควรเป็นเช่นนั้น…ข้าสงสัยนักว่านิกายหยินหมิงไปล่วงเกินตระกูลซือถูเรื่องอะไรกันแน่ ถึงขั้นต้องลงมือทำลายนิกายกันเช่นนี้”

 

“จะอย่างไรก็เป็นขุมพลังชั้น 7 เช่นกัน มันง่ายนักหรือที่ตระกูลซือถูจะกวาดล้างนิกายหยินหมิง?”

 

“เหอะ! นิกายหยินหมิงมันก็แค่ขุมพลังชั้น 7 ที่อ่อนด้อยที่สุดในประเทศฝูเฟิงของพวกเรา เจ้าจักเอาไปเทียบกับตระกูลซือถูได้อย่างไร? ตระกูลซือถูก็นับเป็นขุมพลังชั้น 7 ระดับแนวหน้าของประเทศ นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์กับตระกูลราชวงศ์อีก นิกายหยินหมิงไม่คู่ควรยกมาเทียบด้วยซ้ำ!”

 

……

 

ไม่นานข่าวลือเรื่องตระกูลซือถูทำลายนิกายหยินหมิง ก็เริ่มแพร่กระจายออกไปเรื่อยๆ เนื่องจากมีศิษย์นิกายหยินหมิง รวมถึงทาสที่หลบหนีออกมามากมายเห็นต้วนหลิงเทียนบุกมาเข่นฆ่าผู้คนกับตา ในวันที่นิกายล่มสลาย

 

ในเมื่อต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวเช่นนี้ ด้วยฐานะแขกกิตติมศักดิ์ เช่นนั้นหมายความว่าสมควรมียอดฝีมือตระกูลซือถูติดสอยห้อยตามมาด้วย!

 

อย่างไรก็ตามการแพร่กระจายของข่าวลือชุดนี้ ยังช้ากว่าความเร็วในการมุ่งหน้ากลับเมืองหลวงของต้วนหลิงเทียนและป๋ายลี่หง

 

ด้วยความที่เฟิ่งหวู่เต้าร้อนใจและคิดถึงเฟิ่งเทียนหวู่มาก ต้วนหลิงเทียนและป๋ายลี่หงจึงใช้ความเร็วสูงในการเหินบิน เพียงเวลาไม่กี่วันก็รุดกลับมาถึงเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงในที่สุด

 

เมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังตระกูลซือถูทันที

 

“ท่านปรมาจารย์ต้วน”

 

หลังจากเห็นต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามา เหล่าผู้เฝ้าประตูของตระกูลซือถูก็เร่งโค้งคารวะทักทายด้วยความเคารพ พวกมันไม่กล้าหย่อนคล้อยท่าทีปฏิบัติแม้แต่น้อย

 

ล้อกันเล่นหรือไร!

 

กระทั่งผู้นำตระกูลซือถูของพวกมัน ยังเคารพนับถือท่านปรมาจารย์ต้วนผู้นี้นัก

 

นับประสาอะไรกับพวกมันยามเห็นชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ ยังจะหละหลวมได้หรือ?

 

“อ่า”

 

ต้วนหลิงเทียนยิ้มรับคำทักทายพร้อมพยักหน้าให้ผู้เฝ้าประตูเบาๆ ก่อนที่จะพาป๋ายลี่หง เฟิ่งหวู่เต้า และคนอื่นๆเข้าไปในตระกูลซือถู

 

ถึงแม้ว่าคนที่ต้วนหลิงเทียนพามาจะแลดูมอมแมมกันไม่น้อย แถมยังแปลกหน้าแปลกตา แต่ผู้เฝ้าประตูก็ไม่กล้าหยุดตรวจอะไร

 

เพราะพวกมันรู้ดีว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเพียงใด นอกจากนี้แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ถือสาหาความ แต่พวกมันก็ไม่กล้าล่วงเกินตัวตนที่กระทั่งคุณชายใหญ่กับผู้นำยังให้ความเคารพ…

 

หากพวกมันกล้าให้คนของต้วนหลิงเทียนหยุดและทำการตรวจสอบอะไรขึ้นมา เกรงว่าทันทีที่คุณชายใหญ่หรือผู้นำตระกูลล่วงรู้ แม้อาจไม่ถึงฆ่าตาย แต่พวกมันก็ต้องเก็บข้าวเก็บของระเห็จออกจากตระกูลซือถูแน่แท้…

 

“เอ่อ…เมื่อครู่ ท่านต้วนกระทั่งส่งยิ้มแถมพยักหน้าให้พวกเราเลยหรือ…ช่างเป็นคนที่อัธยาศัยดีนัก!”

 

ผู้เฝ้าประตูคนหนึ่งกล่าวออกด้วยอารมณ์ซาบซึ้ง “ก่อนหน้านี้มีสหายของคุณชายรองคนหนึ่งมา พลังฝีมือของมันเห็นได้ชัดว่าอ่อนด้อยกว่าท่านปรมาจารย์ต้วนหลายขุมฐานะก็เทียบกันไม่ติด แต่มันเชิดหน้าถือตาเสียทำราวกับเห็นพวกเราเป็นข้าทาส…คนสองคนกลับแตกต่างกันได้มากมายถึงเพียงนี้”

 

“ข้าเองก็อยู่ด้วยวันนั้น…อย่างที่ว่า คนน่ารังเกียจมักเป็นตัวปัญหา”

 

ผู้เฝ้าประตูอีกคนกล่าว

 

“ฮ่าๆๆ…เป็นอย่างที่เจ้าว่า สหายของคุณชายรองคนนั้น เทียบกับท่านปรมาจารย์ต้วนมิได้เลย”

 

ผู้ดูแลประตูอีกหลายคนหัวเราะออกมา

 

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นจนจบมีผู้ดูแลประตูคนหนึ่งที่ไม่ได้กล่าวใดออกมาสักคำ

 

ทันใดนั้นสองตามันก็กระพริบวูบวาบขึ้นมา ก่อนที่จะเร่งกล่าวกับคนอื่นๆ “พี่ชายทั้งหลาย ข้ารู้สึกว่าจุดรอคอยของข้าเริ่มคลายตัวลงคล้ายจะมีความก้าวหน้า…ข้าขอลาไปบ่มเพาะพลังครู่หนึ่งได้หรือไม่ แล้วข้าจะรีบกลับมาหาพวกท่านทันทีที่เสร็จเรื่อง”

 

“โอ้ เจ้าไปเถอะน้องชาย”

 

ผู้เฝ้าประตูคนอื่นๆพยักหน้าและคิดว่าเรื่องเพียงเท่านี้ก็ไม่นับเป็นอะไร แถมพวกมันเองก็เคยเจอสถานการณ์เดียวกันมาก่อน