รถม้ามาถึงจวนอ๋องเย่แล้วหยุดจอด ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “กลิ่นยาบนตัวของเขาแรงมาก แต่ตอนที่เขาเข้ามาไม่ได้ทำแบบนี้ พอเข้ามาเขาบอกว่าเป็นหมอประจำจวน ข้าถึงได้รู้สึกว่า กลิ่นยาบนตัวของเขาเพิ่มมากขึ้นทันที และก็เป็นกลิ่นพิษที่เข้มข้นมากมาจากตัวของเขา กลิ่นแบบนี้สูดดมเข้าร่างกาย จะทำให้คนถูกพิษได้
แต่พิษแบบนี้ทำให้คนไม่อยากอาหาร หนักศีรษะวิงเวียน
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ยาพิษ แต่ตอนนี้สุขภาพของเสี่ยวกั๋วจิ้วย่ำแย่ลง กลับเป็นเพราะร่างกายบำรุงหล่อเลี้ยงไม่ดีมาเป็นสิ่งปลุกเร้า”
หวังฮวายอันกล่าวด้วยความตลกขบขันว่า “ดูเหมือนว่าชีวิตน้อยๆของข้าถูกนึกถึงโหยหาเสียแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหวังฮวายอันแล้วกล่าวว่า“ท่านควรที่จะสังเกตเห็นตั้งแต่เนิ่นๆถึงจะถูก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่านไม่มีการป้องกันคนข้างกายเลยแม้แต่นิดเดียว”
“หลี่ฮ่วนจงเคยช่วยชีวิตข้า “ประโยคเดียวของหวังฮวายอันได้อธิบายทุกอย่างแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นนับว่าเข้าใจเรื่องราวมากพอสมควรแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
คนที่มีบุญคุณช่วยชีวิต จะเป็นคนที่มาฆ่าเขาได้อย่างไร
หนานกงเย่ลงรถม้ามา ฉีเฟยอวิ๋นตามลงมาด้วย ตอนที่หวังฮวายอันลงมาหนานกงเย่ประคองข้างหนึ่ง หวังฮวายอันเดินตามเข้าไป เพื่อที่ฉีเฟยอวิ๋นจะได้ดูแลสะดวกเลยมาที่จวนอ๋องเย่เรือนสวนดอกกล้วยไม้ด้านหลัง
วันนี้สวนดอกกล้วยไม้ใหญ่ขึ้นมากแล้ว ไม่เพียงอย่างนี้ ด้านข้างของสวนดอกกล้วยไม้ยังมีอีกที่แห่งหนึ่งเมื่อเทียบกับสวนดอกกล้วยไม้ก็พอกัน เรือนมีสองประตู เมื่อเรือนรับรองมาใช้ฉีเฟยอวิ๋นจะปิดประตูด้านหน้าไว้ และเปิดประตูแปดเหลี่ยมที่สวนดอกกล้วยไม้และเรือนรับรอง ถือว่าเป็นประตูเชื่อมต่อเรือนรับรอง
เรือนยังไม่มีชื่อ ฉีเฟยอวิ๋นยังคิดอยู่ว่าจะเรียกว่าอะไรดี
หาเรือนให้หวังฮวายอันแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเลยไปดูประตูของเรือนรับรองสักหน่อย และยืนอยู่ตรงนั้นคิดพิจารณาว่าจะชื่ออะไร
หนานกงเย่อยู่กับหวังฮวายอันสักพักหนึ่งแล้วออกมาพร้อมกัน มองเห็นฉีเฟยอวิ๋นกำลังยืนมึนงงตรงประตู ก็เลยเดินไปหยุดอยู่ด้านนั้นกับหวังฮวายอัน
“อวิ๋นอวิ๋นอยากจะตั้งชื่อหรือ?” หนานกงเย่กล่าวถาม
“อืม ต้องการอยากจะให้มีชื่อเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นกำลังคิดว่าชื่ออะไรดี
“เรือนชิงเฟิงไหม
หนานกงเย่กล่าวขึ้นมาอย่างราบเรียบ ฉีเฟยอวิ๋นลังเลใจ หวังฮวายอันถามว่า “เจ้าต้องการให้ลูกๆของเจ้ามาอยู่อาศัยที่นี่หรือ?”
“อืม”ฉีเฟยอวิ๋นตอบตกลงไปอย่างงั้นแหละ
หวังฮวายอันเสนอความคิดเห็นว่า“เช่นนั้นมิสู้กับชื่อเรือนอู่ฝูนะ”
ฉีเฟยอวิ๋นสีหน้าไร้ความสุขเล็กน้อย กล่าวว่า“วันข้างหน้ายังจะต้องให้กำเนิดอีก จะสามารถเรียกว่าเรือนอู่ฝูได้หรือ?”
“เช่นนั้นก็เรือนชิงเฟิงเถิด คล้ายดั่งลมเย็นสบาย”หนานกงเย่กล่าวขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้า กล่าวว่า“แม้ชิงเฟิงจะสวยงามสง่าแต่ลมไร้ทิศทางการควบคุมดูแล หม่อมฉันไม่อยากให้เขามาแล้วไม่หลงเหลืออะไรไว้เลย ชื่อเรือนจวินจื่อเถิดเพคะ
หวังว่าพวกเขาจะเป็นสุภาพบุรุษที่อ่อนโยน มีความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างสุภาพบุรุษ และอ่อนน้อมถ่อมตนพลิ้วไหวดั่งเหมือนใบไผ่ จิตใจโอบอ้อมอารี”
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ หนานกงเย่พยักหน้ากล่าวว่า“ได้ ชื่อเรือนจวินจื่อแล้วกัน”
“ผ่านช่วงนี้ไปรออากาศอบอุ่นขึ้น เรียกคนให้มาปลูกไผ่ด้านหลัง ข้าหวังว่าพวกเขาจะสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งกำยำ”
“เช่นนั้นก็เป็นเรือนจวินจื่อ ชื่อนี้ข้าก็ชอบ ใบไผ่เขียวชอุ่ม มองแล้วสบายใจสบายตา”
“หม่อมฉันจะเข้าไปดู ท่านอ๋องอยู่เป็นเพื่อนของกั๋วจิ้วเถิดเพคะ“จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นได้เดินเข้าไปตรวจสอบ ภายในเรือนไม่มีผู้ใด ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าภายในเรือนไม่สามารถว่างเปล่าได้ เลยเรียกอาอวี่ไปพบ
อาอวี่รีบไปพบ จากนั้นกล่าวว่า“พระชายา”
“อืม ไปแจ้งให้อวิ๋นจิ่นมาหาข้าที”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่อาอวี่ไปเชิญอวิ๋นจิ่น หวังฮวายอันกล่าวว่า“จวนอ๋องเย่นางเป็นผู้รับผิดชอบดูแลหรือ?”
“อืม ใช่แล้ว”หนานกงเย่เห็นหวังฮวายอันอยากเข้าเรือนจวินจื่อเลยได้เชื้อเชิญเขาเข้าไป
ฉีเฟยอวิ๋นเดินมองห้องหนึ่งรอบแล้วอีกทั้งดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนภายในห้องด้วย
ไม่นานอวิ๋นจิ่นก็มา เห็นหนานกงเย่และหวังฮวายอันเลยถอนสายบัวทำความเคารพ ตามด้วยไปทำความเคารพฉีเฟยอวิ๋น
“นายท่านมีสิ่งใดที่จะรับสั่งหรือเพคะ?”อวิ๋นจิ่นกล่าวถาม
“ที่เรือนไม่ได้มีปัญหาอะไร ยังคงค่อนข้างมีรายละเอียดปลีกย่อย เจ้ามาจัดการ เลือกคนมาสิบคนอายุสิบกว่าขวบ ปรับและสั่งสอนอย่างละเอียด ต้องให้พวกนางเพียบพร้อมด้านขิมพิณโบราณ หมากรุก อักษรวิจิตร และจิตรกรรม และต้องมีความรู้ความสามารถในการเขียน เข้าถึงเรื่องราวได้ และต้องมีศิลปะการต่อสู้ด้วย
อีกอย่าง จัดเตรียมเด็กอายุสิบขวบผู้ชายมายี่สิบคนให้พวกเขาเรียนอักษรบทประพันธ์ เอาเด็กเยอะหน่อย หลังจากนั้นคัดเลือกพวกเขาเข้ามาได้
เด็กเหล่านี้ทั้งหมดจะกลายเป็นทหารคนสนิทของลูกข้าในอนาคตข้างหน้า ต้องปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างจงรักภักดีซื่อสัตย์“
“อวิ๋นจิ่นเข้าใจแล้วเพคะ“
“อีกอย่างหลังจากหกเดือนนี้ ยกเลิกนมจากหญิงอื่นของพวกลูกๆข้าทั้งหมดเลย เอาตั๋วเงินมอบแก่พวกนางอย่างเพียงพอ สั่งการลงไป
หลังจากหกเดือนนี้ใช้นมวัวกับนมแพะแทนนมของหญิงสาวที่ให้นมแทนได้เลย จัดเตรียมอาหารบำรุงแก่พวกเขา เรื่องเหล่านี้ข้าจะเป็นผู้จัดการเอง“
“เพคะ!”
“คัดเลือกคนใบหน้าสวยสดงดงาม มีความรู้อีกทั้งเข้าถึงเรื่องราวได้เข้ามา ซึ่งมีอายุประมาณราวสิบสี่สิบห้าปี ต้องสะอาดสะอ้านสวยงาม เพื่อมาดูแลชีวิตประจำวันของพวกเขา
ย้ายหมอประจำจวนโจวกลับมา รับผิดชอบดูแลพวกเขา
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าคืออี๋เหนียงของพวกเขา”
ฉีเฟยอวิ๋นกำลังสั่งกำชับ หนานกงเย่ก็รั้งไว้ว่า”หยุดก่อความวุ่นวาย”
อวิ๋นจิ่นก็ต้องตกใจเช่นกัน หนานกงเย่เดินมาอยู่ตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋น และกล่าวว่า“ข้าเป็นอย่างนี้ดีมากแล้ว ไม่ได้ต้องการอี๋เหนียงอนุภรรยาอะไรทั้งนั้น”
ฉีเฟยอวิ๋นใบหน้าเต็มไปด้วยความตลกขบขัน กล่าวว่า “ท่านอ๋องกำลังฝันหวานอะไรหรือเพคะ?ใครบอกว่าอวิ๋นจิ่นจะต้องแต่งงานกับท่านอ๋อง อีกอย่าง อนาคตผู้ใดได้อวิ๋นจิ่นเป็นภรรยาจะต้องมีเงื่อนไขสามอย่างเพคะ อย่างที่หนึ่งคือต้องรักใคร่กัน อย่างที่สองต้องเป็นภรรยาเอก อย่างที่สามฝั่งชายที่มาขอแต่งจะต้องมีอวิ๋นจิ่นเป็นภรรยาผู้เดียวตลอดชั่วชีวิต อีกทั้งห้ามมีหญิงผู้อื่นหรือคนที่เขามีความเกี่ยวข้องพัวพัน หากมีสิ่งหนึ่งในนั้นไม่สามารถเติมเต็มเงื่อนไขได้ ต่อให้อวิ๋นจิ่นตอบตกลงแต่งงาน หม่อมฉันก็ไม่มีทางตอบตกลงเพคะ”
หนานกงเย่หน้าเสียเล็กน้อย กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องก่อความวุ่นวายเรื่องเรียกอี๋เหนี่ยงอนุภรรยาอะไรนั่นนะแล้ว”
“ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว ข้าเห็นอวิ๋นจิ่นเป็นพี่น้อง แน่นอนว่าต้องเรียกอี๋เหนียง แต่หากท่านอ๋องรู้สึกว่าเช่นนี้ไม่เหมาะสม อย่างนั้นก็แค่ไม่เรียกอี๋เหนียงก็จบแล้วเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองอวิ๋นจิ่น แล้วกล่าวขึ้นอีกว่า”เรียกอวิ๋นจิ่นว่าอาหญิงเถิดนะเพคะ”
“อันนี้…..”หนานกงเย่กำลังจะตอบตกลง ก็แค่มีน้องสาวเพิ่มขึ้นมาเท่านั้นเอง เขาไม่ได้ข้องใจอะไร แต่ทว่าอวิ๋นจิ่นกลับไม่ยอม
“นายท่าน เช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ อย่างนั้นเรียกว่าป้าก็พอแล้วคล้ายดั่งเรียกป้าซีน่ะเพคะ หากซื่อจื่อเรียก ก็เรียกหม่อมฉันว่าป้าจิ่นก็ได้เพคะ”
“…..”ฉีเฟยอวิ๋นคิดอยู่สักพักหนึ่ง กล่าวว่า“ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ เช่นนั้นเอาตามที่เจ้าว่าแล้วกัน เรียกว่าป้าจิ่น
เรือนนี้ไม่ต้องใช้คนมากมาย แต่มีที่เหมือนกัน เจ้าต้องค้นหาเอาคนคนหนึ่งมา คนผู้นี้คุณูปการทางด้านทหารต้องล้ำเลิศ อีกทั้งบุคลิกก็ต้องไม่ธรรมดา ข้าต้องการหาราชครูที่มีฝีมือเก่งกาจผู้หนึ่งให้แก่พวกเขา”
“อวิ๋นจิ่นได้เริ่มค้นหาคนผู้นี้แล้ว แต่ยังหาไม่ได้ เพียงแค่ได้ยินมาว่าทุกแห่งทุกหนน่านน้ำทะเลสาบมีหอทิงเฟิง ได้ยินมาว่าหัวหน้าของหอทิงเฟิงบทบาทยอดเยี่ยมเก่งกาจ สามารถไปถามได้เพคะ”
“ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาหอทิงเฟิงเป็นตำนานในทั่วทุกสารทิศมาโดยตลอด น้อยที่คนจะรู้จักคนผู้นี้ ส่วนพบเจอก็น้อย
ข้อมูลของแม่นางอวิ๋นจิ่นว่องไวและมีประโยชน์มาก คิดไม่ถึงว่าจะรู้จักคนผู้นี่”หวังฮวายอันกล่าวอย่างอดไม่ได้ที่จะตะลึงกับความสามารถของอวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “เป็นเพียงแค่เรื่องในหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เป็นที่ตลกขบขันต่อกั๋วจิ่วแล้วเพคะ”
“แม่นางอวิ๋นจิ่นยินดีที่จะเข้าร่วมกองสอดแนมหรือไม่?”หวังฮวานอันไม่มีทางพลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน
อวิ๋นจิ่นรีบกล่าวว่า“ชาตินี้ทั้งชาติอวิ๋นจิ่นก็เป็นคนของนายท่านเพคะ นายท่านมีชีวิตอวิ๋นจิ่นก็มีชีวิตรอด หากนายท่านตายอวิ๋นจวิ่นก็ตาย ไม่มีนายคนที่สองเพคะ”
“อวิ๋นจิ่นเป็นผู้ที่จิตใจซื่อสัตย์ไม่เป็นสอง เช่นนั้นข้าขอคืนคำพูดเมื่อครู่นี้ก็แล้วกันนะ”
“ขอบคุณกั๋วจิ้ว”
อวิ๋นจิ่นมองไปทางฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นกล่าวว่า “ หัวหน้าของหอทิงเฟิงเป็นทายาทรุ่นที่สามของหัวหน้าหอ คนภายในหอทิงเฟิงเล่ากันถึงความสามารถของเขาว่าเป็นที่เก่งกาจที่สุด เขาเป็นผู้ที่ไร้เยื่อใย เขารักเงิน เพียงแค่เอาเงินมา ก็สามารถยินยอมที่จะจัดการทุกเรื่องไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม ส่วนบุคลิกของเขาหม่อมฉันยังคงต้องการไปสืบเสาะ”
“อืม”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องพินิจพิจารณา มองไปทางหนานกงเย่และกล่าวขึ้นว่า “ท่านอ๋องว่าอย่างไรเพคะ?”
“อวิ๋นอวิ๋นตัดสินใจเถิด”
“……”ฉีเฟยอวิ๋นมองไปในเรือน เลยคิดวางแผนตัดสินใจอย่างต่อเนื่อง