บทที่ 507 บุตรชายทั้งห้ากราบไหว้อาจารย์

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 507 บุตรชายทั้งห้ากราบไหว้อาจารย์
หลังจากที่หวังฮวายอันอยู่ต่อ อาการของเขาก็ค่อย ๆ คงที่ แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็สั่งว่าไม่อาจประมาทได้ ดังนั้นจึงให้หงเถาคอยดูแลหวังฮวายอัน

ทางด้านจวนแม่ทัพก็พาเด็ก ๆ กลับมา แต่ในห้องมีควัน จึงพาไปที่จวนอ๋องเย่

ในตอนนี้เด็ก ๆ ก็อายุครบร้อยวันแล้ว แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้ทำอะไร

แต่ในวังยังคงมีของกำนัลส่งมาให้

ฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วัน จึงให้แม่ทัพฉีอยู่ต่ออีกสามสามวัน แม้ว่าเด็ก ๆ จะยังอายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบ แต่พวกเขาก็สามารถแยกจากฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ได้แล้ว และหนานกงเย่ก็รู้สึกว่าทั้งสองต้องการพื้นที่ส่วนตัว ดังนั้นแม่ทัพฉีจึงอยู่ที่เรือนจวินจื่อ และให้แม่ทัพฉีดูแลเด็ก ๆ ทั้งห้าคน และฉีเฟยอวิ๋นก็เต็มใจ

เนื่องจากแม่ทัพฉีเป็นทาสของบุตรสาว เมื่อมีหลานชายจึงกลายเป็นทาสของหลานชายด้วย

เมื่อไม่ได้เจอหลาน ๆ เพียงแค่วัน เขาก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ

ฉีเฟยอวิ๋นจัดเก็บห้องในเรือนจวินจื่อ และอวิ๋นจิ่นก็พักอยู่ในเรือนนี้ด้วย

ความแตกต่างคือแม่ทัพฉีพักอยู่ในห้องด้านใน และอวิ๋นจิ่นพักอยู่ในห้องด้านนอก

ในตอนแรกค่อนข้างจะไม่สะดวก แต่เมื่อแม่ทัพฉีเคยชินแล้ว เขาก็ไม่ได้สนใจ

อวิ๋นจิ่นเข้า ๆ ออก ๆ และคอยรับรับใช้แม่ทัพฉีในชีวิตประจำวัน แม่ทัพฉีไม่ชิน จึงทำด้วยตนเอง แค่ให้อวิ๋นจิ่นดูแลเด็ก ๆ ก็พอแล้ว

หนึ่งเดือนผ่านไป อากาศเริ่มหนาวมากแล้ว และหิมะก็ปกคลุมทั่วทั้งลาน ฉีเฟยอวิ๋นตื่นไปดูเด็ก ๆ แต่เช้า จากนั้นก็ออกไปดูหวังฮวายอัน

ระยะนี้หวังฮวายอันอาการดีขึ้น และฉีเฟยอวิ๋นก็เริ่มไปทำอย่างอื่นบ้างแล้ว

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีเรื่องจะคุยกับพระองค์เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นฉวยโอกาสตอนที่กำลังทานอาหารพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

“เรื่องอะไรรึ?” หนานกงเย่เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น

“เจ้าใหญ่และลูกคนอื่น ๆ อยู่ที่เรือนจวินจื่อ พวกเขาโตขึ้นทุกวัน หม่อมฉันจึงมีเรื่องอยากจะคุยกับพระองค์”

“อืม”

“เมื่อพวกเขาอายุได้หนึ่งขวบ หม่อมฉันอยากให้พวกเขาเริ่มเรียนหนังสือเพคะ แต่หม่อมฉันยังหาใครไม่ได้ ท่านอ๋องทรงรู้จักผู้มีความรู้มากมาย ไม่ทราบว่าพอจะมีใครที่สามารถมารับหน้าที่นี้ได้หรือไม่เพคะ”

หนานกงเย่ครุ่นคิด:“มีอยู่คนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่”

“ท่านราชครูจวิน?” ฉีเฟยอวิ๋นคิด และยังเป็นคนที่หนานกงเย่พอใจด้วย หนานกงเย่ส่ายหัว

ฉีเฟยอวิ๋นงุนงง:“ไม่ใช่ท่านราชครูจวิน เช่นนั้นเป็นใครกันเพคะ?”

“หวังฮวายอัน!”

หนานกงเย่ลุกขึ้นยืน ฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้นยืนตามเขาด้วย:“ท่านอ๋อง อันที่จริงหม่อมฉันก็เคยนึกถึงคนผู้นี้เพคะ นอกจากท่านราชครูจวินแล้วก็นึกได้แค่คนผู้นี้”

“อืม แต่คนผู้นี้นิ่งเฉยมาก หากให้เขามาสอนพวกเขา เกรงว่าจะเลอะเทอะไปหน่อย หากวันหน้าต้องการให้พวกเขาเรียบง่าย คงจะเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ต้าเหลียงคงไม่ถูกทำลายด้วยมือของพวกเขา

แต่หากให้ท่านราชครูจวินมาสอน ประการแรกคือไม่เป็นไปตามกฎระเบียบ และครูของซื่อจื่อจะเป็นท่านราชครูขององค์จักรพรรดิไม่ได้อย่างเด็ดขาด

แต่คนอื่น ๆ นั้นหาได้หายากและข้าก็ไม่พอใจ”

“แล้วท่านอ๋องตวนล่ะเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าอ๋องตวนก็ใช้ได้

“ฮึ พี่รองเป็นผู้ที่เคร่งในกฎระเบียบ หากเขามาเป็นครูของพวกเขา ข้าก็คงไม่มีความสุข”

“……” สองสามีภรรยาหารือกันอยู่ในเรือนเป็นเวลานาน อันนี้ไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ได้ และเลือกใครไม่ได้

“ข้าจะเป็นคนนิ่งเฉยได้อย่างไร?” ประตูถูกเปิดออกและหวังฮวายอันก็เข้ามาจากด้านนอก ฉีเฟยอวิ๋นสะดุ้งตกใจ

สีหน้าของหนานกงเย่ทรุดลง:“ท่านมาแอบฟังได้อย่างไร?”

“พอใจ!”

หวังฮวายอันเหลือบมองหนานกงเย่อย่างไม่สบอารมณ์ และเดินไปตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น:“ตั้งแต่สมัยโบราณ ครูของบรรดาซื่อจื่อจะเชิญใครมาเป็นก็ได้ แต่ต้าเหลียงนั้นแตกต่างออกไป สามารถเชิญผู้ที่พึงพอใจมาได้

แต่ต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถด้านวรรณกรรม หากต้องการแค่เรียนหนังสือ ข้าก็สามารถสอนได้”

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบไปมองหนานกงเย่:“ท่านอ๋องว่าอย่างไรเพคะ?”

“อวิ๋นอวิ๋นคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

“มิทราบว่าความสามารถด้านวรรณกรรมของกั๋วจิ้วเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”

“ให้คนมาเตรียมเครื่องเขียนเถอะ” หวังฮวายอันโกรธ

ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าละเลยและรีบให้คนไปจัดเตรียม หวังฮวายอันเป็นเลิศในด้านการดีดพิณ หมากรุก และศิลปะภาพวาด ฉีเฟยอวิ๋นพึงพอใจ เมื่อมองแวบแรก ตัวอักษาของเขา หยิ่งผยองเช่นเดียวกันกับเขา เขาคมในฝัก และมีความสามารถด้านวรรณกรรมที่ดีเยี่ยม

“หม่อมฉันพอใจมากเพคะ แต่ไม่รู้ว่ากั๋วจิ้วจะสอนพวกเขาได้หรือไม่ หากพวกเขาโตแล้ว และพวกเขาไม่เต็มใจก็ยากที่จะพูด”

“หากข้ายังไม่ตาย ข้าก็จะสอนพวกเขา”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลำบากกั๋วจิ้วแล้วเพคะ หม่อมฉันจะหาวันที่เหมาะสม และจัดพิธีให้พวกเขาได้กราบไหว้อาจารย์ และถือโอกาสเชิญให้กั๋วจิ้วมาตั้งชื่อให้แก่พวกเขาด้วย”

ฉีเฟยอวิ๋นเคยได้ยินหนานกงเย่กล่าวว่านอกจากชื่อจริงแล้ว ยังมีชื่อเรียกที่ให้ครูใช้เรียกอีกด้วย

“ข้าต้องคิดดูก่อน เอาอย่างนี้ พวกเจ้าไปเตรียมเรื่องการกราบไหว้อาจารย์ ข้าจะกลับไปคิดดูก่อน”

หลังจากที่พูดจบ หวังฮวายอันก็กลับไปที่ห้อง ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็จัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว

เมื่อคืนนางได้หารือกับหนานกงเย่แล้ว และมาพูดวันนี้ เพื่อให้หวังฮวายอันสมัครใจมาเป็นครูของลูก ๆ นาง

เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าเว่ยหลินชวนก็ไม่เลว แต่หนานกงเย่ไม่ชอบที่เว่ยหลินชวนเป็นคนบอบบาง และเทียบกับหวังฮวายอันไม่ได้เลย

แม้ว่าหวังฮวายอันจะไม่มีวิทยายุทธ แต่เขาก็ผู้โดดเด่นในฝูงชน เขาไม่ได้อ่อนแอ เพียงแค่สุขภาพไม่ดีเท่านั้น

จากคำพูดของหนานกงเย่ คนเดียวที่สามารถเทียบกับราชครูจวินได้ก็คือหวังฮวายอัน และกลอุบายของเขาก็ไม่มีผู้ใดเทียบได้

ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน

หลังจากที่เตรียมการแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ให้อาอวี่ไปเชิญคนมา อ๋องตวนและภรรยา เว่ยหลินชวนและภรรยา รวมทั้งแม่ทัพฉีและฉีกั๋วกงของจวนกั๋วกง

เมื่อทุกคนมาถึงแล้ว พิธีกราบไหว้อาจารย์ก็เริ่มขึ้น

มีโต๊ะไม้อยู่ข้างหน้า หวังฮวายอันนั่งลงก่อน ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่แต่งกายเรียบร้อย และทั้งสองก็นำถ้วยน้ำชามาตรงหน้าหวังฮวายอัน จากนั้นก็คำนับและถวายน้ำชา เพื่อแสดงความกตัญญู

หวังฮวายอันรับน้ำชาของทั้งสองคนมาดื่ม จากนั้นหนานกงเย่ก็กล่าวว่า:“รบกวนแล้ว!”

“รบกวนกั๋วจิ้วแล้วเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นก็กล่าวด้วยเช่นกัน

ทั้งสองถอยออกไป อวิ๋นจิ่นอุ้มเจ้าใหญ่มาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าหวังฮวายอัน หวังฮวายอันหยิบชาดสีแดงขึ้นมา แล้วใช้พู่กันแต้ม จากนั้นก็จุ่มลงไปในหมึก แล้วหยิบกระดาษสีแดงแผ่นหนึ่งมาเขียนคำว่า:จื่ออี้

อวิ๋นจิ่นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและรีบขอบคุณ จากนั้นก็อุ้มเจ้าใหญ่ออกไป

หงเถาอุ้มเจ้ารองเดินไปที่โต๊ะ หวังฮวายอันเขียนคำว่า:จื่อเซิ่ง

ลี่ว์หลิ่วอุ้มเจ้าสามเดินไปข้างหน้า:จื่อยวน

อาอวี่อุ้มเจ้าสี่เข้าไป:จื่อเหริน

ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มบุตรชายคนสุดท้องเดินไปหาหวังฮวายอัน หวังฮวายอันเงยหน้าขึ้นและยกมือขึ้นมาลูบหัวของเจ้าห้า เจ้าห้าเบือนหน้านี้ ฉีเฟยอวิ๋นบอกให้เขาเป็นเด็กดี แต่เขากลับหลับตาและร้องไห้

และทำให้ทุกคนตกใจ

หวังฮวายอันหยุดชะงัก เดิมทีเขาจะเขียนคำว่าจื่อมั่ว แต่เขียนตัวอักษรหวัด

แววตาของหวังฮวายอันทรุดลง เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าห้าที่กำลังร้องไห้อย่างไม่สบายใจและถามเขาว่า:“หรือว่าเจ้าอยากจะชื่อจื่อฮวน?ชื่อจื่อมั่วดี ๆ เจ้าก็ไม่ชอบ”

ในฐานะครู หวังฮวายอันจึงดุอย่างรุนแรงและกล่าวเสริมว่าจื่อมั่วเป็นชื่อเรียกที่เขาชอบมากที่สุด และตั้งใจเก็บไว้ให้เจ้าห้าดดยเฉพาะ แต่ในเมื่อเจ้าห้าร้องไห้เช่นนี้ เขาจึงไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็เรียกว่าจื่อฮวน

เจ้าห้าหยุดร้องไห้และหันไปยิ้มให้หวังฮวายอัน

หวังฮวายอันขมวดคิ้วและเหลือบไปมองพู่กันที่อยู่ในมือ:“เจ้าอยากจะชื่อจื่อฮวนงั้นรึ?”

เจ้าห้าหลับตาลงและนอนหลับไปในอ้อมแขนของฉีเฟยอวิ๋น

บริเวณโดยรอบเงียบกริบ!