ระหว่างการแย่งชิงที่วุ่นวาย ถังน้ำมันถูกชนจนล้มลงกับพื้น ไฟแช็กบนตัวเขาตกลงไปที่พื้นแล้วแตกเป็นเสี่ยงๆโดยไม่ได้ตั้งใจ
เปลวไฟลุกติดขึ้นมา ตามด้วยเปลวเพลิงอันรุนแรง ควันหนาทึบทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นไอจนน้ำตาเล็ด
ทันใดนั้นเปลวไฟก็ลุกหนักกว่าเดิม เลอแปงตะโกนเสียงดังว่า “พี่ใหญ่ ที่นี่กำลังจะระเบิดแล้ว รีบพาพี่สะใภ้ออกไปเร็ว!”
ออกัสอยู่ค่อนข้างใกล้กับประตูหลัง จึงอุ้มเธอเดินออกมา มือใหญ่ถือโทรศัพท์โทรหาโรงพยาบาล
ทันทีที่เลอแปงหันหลังเดินออกไป ที่ประตูหลังกลับเต็มไปด้วยเปลวไฟและควันหนาทึบ ขณะที่เขากำลังจะออกไป เขากลับกลับหลังเข้าไปอีกครั้งเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้
สิงหาล้มลงกับพื้น เปลวเพลิงที่ลุกโชนลุกลามไปที่ร่างกายส่วนล่างของเขา เขามีสีหน้าที่เจ็บปวด แต่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
เลอแปงดึงร่างเขาด้วยมือข้างเดียวแล้วพาออกไปด้วยสีหน้าขมขื่นและเยาะเย้ย เขาอยากจะให้มันตายข้างในจริงๆ!
มีคนอีกไม่กี่คนที่เกือบจะวิ่งหนีออกจากโรงงานร้างแห่งนี้ พวกเขาวิ่งไปได้ไม่ไกลนัก ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น ตามด้วยไฟสีแดงที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
พอขึ้นรถเสร็จก็สั่งให้คนขับสตาร์ท แล้วรถจะวิ่งไปข้างหน้าเหมือนดั่งลูกธนู…
ระหว่างทางบรรยากาศในรถเงียบจนคนในรถอดเกิดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นในใจไม่ได้
ไม่เคยครั้งไหนที่เลอแปงจะรู้สึกกดดัน หายใจไม่สะดวก และอึดอัดจนอยากจะตายในรถมาก่อน
เชอร์รีนหลับตาแน่น เลือดใต้ร่างโชว์เด่น จนทำให้เสื้อผ้าของออกัสกลายเป็นสีแดง เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
เลอแปงไม่กล้าพาสิงหาขึ้นรถคันนี้ และไม่คิดที่จะพาเขาขึ้นรถ ความเลวร้ายทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้นเองทั้งนั้น!
ตัวเองทำเรื่องเลวร้ายเองก็ยังพอว่า แต่กลับดึงให้ครอบครัวมาเกี่ยวข้อง คิดจะเอาชนะหลานๆของตัวเอง แก่ขนาดนี้แล้วกลับเลว!
ตั้งแต่เด็กจนโตสิ่งที่คนได้รับการเคารพเป็นพ่อทำมาหมดแล้วทุกอย่างทั้งสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ!
“หมอล่ะ?” ออกัสถามเสียงเข้ม ทุ้มต่ำ เต็มไปด้วยหมอกควันที่ไม่อาจบรรยายได้
คำสองคำง่ายๆเช่นนี้นำความรู้สึกหนาวเหน็บมาสู่หัวใจ ความหนาวเหน็บนี้ไหลเวียนอยู่ในกระดูก เลอแปงสูดหายใจเข้าแล่วกล่าวว่า “กำลังเดินทางมาแล้ว”
เขาตอบด้วยเสียงแผ่วเบา มือที่เรียวยาวที่กลับสั่นเล็กน้อยของเขาปัดผมที่ยุ่งเหยิงบนหน้าผากของเธอออก
เขารู้ว่าเธอไม่ได้สลบ เธอยังคงมีสติอยู่…
แต่ ณ เวลานี้ไม่มีใครอยากจะพูด ไม่แม้แต่คำเดียว ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไรในเวลานี้ หากพูดอะไรตอนนี้มันคงไม่เหมาะสมนัก
“พี่สะใภ้ ในอนาคตพี่มีลูกได้อีกแน่ พี่กับพี่ใหญ่ยังอายุไม่มาก อีกหน่อยจะมีทุกอย่างที่ควรมีเองในอนาคต…”
ความซีด ความเงียบ และอาการบาดเจ็บของเธอทำให้เลอแปงปวดใจ ราวกับว่าถูกเข็มแทงจนเจ็บปวด
เขาเคยชินกับการเห็นเธอที่มีชีวิตชีวาและสดใสดังปกติ แต่ในเวลานี้เธอที่ไร้ชีวิตชีวาทำให้เขาไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไป
แต่ทว่าสิ่งที่ตอบสนองกลับมาคือความเงียบไม่รู้จบ ในรถมีเพียงเสียงของเขาที่ก้องอยู่ นอกจากนั้นก็เหลือเพียงเสียงหายใจเท่านั้น
ออกัสกอดเธออย่างระมัดระวัง เขารักษาท่วงท่านั้นไว้ตลอดเวลาไม่เคยขยับตั้งแต่เริ่มจนจบ
…
กนกอรป้อนข้าวซารางไปด้วยพลางพึมพำกับว่า “ตาแก่นี่ไปไหนกันแน่ ถึงเวลากินข้าวกลางวันแล้วยังไม่รู้จักกลับมาอีก แค่ไปซื้อหมากรุกก็หายหัวไปทั้งบ่าย!”
“คุณยาย ทำไมคุณตายังไม่กลับมาอีกคะ คุณตาบอกว่าจะเอาเค้กก้อนเล็กๆมาฝากหนู” ซารางก็กำลังมองหา
ขณะที่เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาจะโทรหา โทรศัพท์กลับดังขึ้น กนกอรรีบรับสายแล้วพูดว่า “ตาเฒ่าหายหัวไปไหนมา?”
แน่นอนว่าเสียงที่ดังขึ้นมาไม่ใช่เสียงของจักรกฤษ แต่กลับเป็นเสียงผู้หญิง เสียงนั้นคุ้นหูมาก เป็นเสียงของวินดา “คุณหญิงกนกอรใช่มั้ยคะ?”
“ทำไมเธอถึงรับสายล่ะ? แล้วตาเฒ่าอยู่ไหน?”
“คุณหมายถึงคุณจักรกฤษใช่ไหมคะ? สิงหาลักพาตัวเชอร์รีน แล้วให้เธอบริจาคไขกระดูกเพื่อทำแท้ง ส่วนคุณจักรกฤษก็ลักพาตัวฉันเพื่อให้สิงหาปล่อยเชอร์รีนไป ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ดาดฟ้าโรงพยาบาลแล้ว…”
ได้ยินเช่นนั้นกนกอรก็เกือบเป็นลมหมดสติลงบนพื้น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างห้ามไม่อยู่ แม้แต่มือที่ถือโทรศัพท์ก็สั่น ใบหน้าของเธอก็ซีดเซียว
สิงหาลักพาตัวเชอร์รีนเพื่อไขกระดูก ต้องการให้เชอร์รีนแท้ง ส่วนจักรกฤษยังมาลักพาตัววินดาอีก เธอรู้สึกว่าเลือดทั่วร่างของเธอพุ่งไปที่ศีรษะ สิ่งที่เห็นตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำ เธอเวียนศีรษะ
เมื่อเธอกดหมายเลขโทรหาจักรกฤษอีกครั้ง เสียงเตือนก็ดังขึ้นว่าอีกฝ่ายปิดเครื่องไปแล้ว
ด้วยความกลัวจนใจเต้นรัว อกสั่นขวัญแขวน ความดันของกนกอรจึงพุ่งขึ้นจนถึงจุดสูงสุด มือที่ถือโทรศัพท์ของเธอสั่นเทาพยายามกดโทรหาเชอร์รีน คิดไม่ถึงว่าเลยจะโทรติดจริงๆ
เมื่อได้ยินเสียงของเชอร์รีน ความดันของกนกอรก็ดีขึ้นมาบ้าง “เชอร์รีนลูก ถูกสิงหาลักพาตัวไปใช่มั้ย บอกความจริงกับแม่มา”
เสียงอ่อนแรงของเธอตอบมาว่า “ใช่ค่ะ แต่ตอนนี้ได้รับการช่วยเหลือแล้ว แม่ไม่ต้องกังวลนะคะ”
“เชอร์รีน! พ่อแกน่ะบ้าไปแล้ว พอรู้ว่าลูกถูกลักพาตัว เขากลับรีบโรงพยาบาลเพื่อลักพาตัววินดา ตอนนี้พ่อยังไม่รู้ว่าลูกได้รับการช่วยเหลือแล้ว โอเค แม่รู้แล้ว แม่จะไป ไปโรงพยาบาล…”
เธอรับร้อนจนไม่ทันระวัง ขณะที่หมุนตัวนั้นหัวจึงกระแทกกับกำแพง เธอล้มลงไปกองกับพื้นอย่างเวียนหัว หน้ามืดเห็นดาว ลุกไม่ขึ้นชั่วขณะ
ในรถ
เชอร์รีนลืมตาขึ้น ขอให้คนขับขับรถให้เร็วขึ้น เร็วขึ้น และเร็วขึ้น
เธอไม่คิดเลยว่าพ่อจะโง่ขนาดนี้ และเธอไม่คิดว่าพ่อจะทำเพื่อได้จนถึงขั้นนี้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะลักพาตัวคนอื่นเพื่อเธอ!
ชั้นบนสุดของโรงพยาบาล
จักรกฤษและวินดายืนตรงข้ามกัน ทั้งสองยืนอยู่ที่ขอบชั้นบนสุด
ขณะที่วินดาโทรหากนกอร จักรกฤษปัดโทรศัพท์ลงด้วยมือข้างหนึ่ง โทรศัพท์ตกลงกับพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาสั่งให้เธอโทรหาสิงหา ไม่ได้ให้เธอโทรหาที่บ้าน
แม้จะบอกว่าเป็นการลักพาตัว แต่จักรกฤษก็ไม่ได้ทำอะไรกับวินดา ยิ่งไม่ได้จับเธอมัดไว้ เขาเพียงขู่เธอเท่านั้น
ถ้าสิงหาไม่ปล่อยเชอร์รีน กล้าทำร้ายเชอร์รีนแท้งลูก เขาจะไม่ยอมปล่อยเธอไปและผลักเธอลงจากที่นี่อย่างแน่นอน
นี่เป็นเพียงการขู่ จักรกฤษไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้มาก่อน ครั้งนี้เขาถูกบังคับ เขาโทรหาออกัสไม่ติด หากแจ้งความโทรหาตำรวจก็กลัวว่าจะทำให้สิงหาโกรธแล้วลงมือกับเชอร์รีนไวขึ้น
ดังนั้นวิธีเดียวของเขาคือขู่ บังคับวินดาให้โทรหาสิงหาให้ปล่อยเชอร์รีนไป
วินดาเห็นว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะลักพาตัวจริงๆ จุดประสงค์แค่เพื่อให้สิงหาปล่อยเชอร์รีน
การทำเช่นนี้กับลูกบุญธรรมก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนมีความสัมพันธ์ที่ดี
ส่วนสิงหาสามารถทำถึงขั้นนี้ให้กับเธอได้ ก็เป็นคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดี เธอก็อยากโทรหาสิงหาให้ปล่อยเชอร์รีน แต่โทรศัพท์ไม่สามารถติดต่อได้
สิงหามีความรู้สึกที่ดีต่อเธอ เธอไม่สามารถไม่ใส่ใจสิงหาได้ หากข่าวการลักพาตัวของสิงหาแพร่ออกไป ทั้งชีวิตของเขาจะถูกทำลาย!
สิงหาเป็นผู้ชายคนเดียวในโลกที่สามารถปฏิบัติกับเธอดีขนาดนี้ แม้ว่าเธอจะไม่รู้สึกอะไร ก็ไม่สามารถตัดขาดไมตรีอย่างไร้เยื่อใยได้
ในตอนนั้นเองมีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา จากนั้นสุนันท์ก็เดินขึ้นมาพร้อมกับบิดมือล็อคประตูชั้นบนสุด
“คุยที่นี่เถอะ วิวไม่เลวเลย” จากนั้นสุนันท์ก็เดินเข้ามาหาทั้งคู่ด้วยคำพูดที่โหดร้าย “ไม่เจอกันไม่กี่วัน ทำไมสาวงามในอดีตถึงเหี่ยวแห้งถึงขั้นนี้ได้ ดูวิกผมพวกนี้สิ ช่างไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย แม้แต่ตะเข็บที่หัวก็ไม่มี”
วินดาเอามือลูบผมบนศีรษะ ไม่ได้สนใจเธอ
“ดูหน้านี่อีกทีสิ ดูรอยฟกช้ำรอบดวงตาแล้วดูผิวสิ น่าเกลียดจริงๆ!”
ไม่เจอไม่กี่วัน วินดาสามารถตกต่ำมาถึงจุดนี้ได้ สุนันท์ย่อมรู้สึกชอบอกชอบใจ สบายอารมณ์
วินดาได้เห็นหน้าตาปัจจุบันของเธอแล้วผ่านกระจก ซึ่งมันคล้ายกับที่สุนันท์บรรยายไว้ แต่ภายในไม่กี่วันเธอก็ดูแก่ขึ้นหลายปี
สุนันท์หัวเราะ รอยยิ้มที่มุมปากของเธอขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ “แกชอบอ่อยผู้ชายไม่ใช่เหรอ? สภาพตอนนี้แกจะไปอ่อยผู้ชายยังไง!”
“พูดพอแล้วรึยัง?” วินดาไม่อยากทะเลาะผู้หญิงที่มีความรู้ต่ำกว่าคนนี้
สุนันท์เป็นผู้หญิงที่ไร้สมองที่เธอเคยเห็น ส่วนเธอจะควบคุมสิงหาได้หรือเปล่าขึ้นก็อยู่กับความสามารถของเธอ
“ยังไม่พอ ทำไมเหรอ ในเมื่อกล้าทำก็ยังกลัวถูกคนอื่นนินทา แกลองดูสภาพหัวล้านของแกตอนนี้สิ ว่ามันน่าเกลียดน่าชังขนาดไหน เดินไปตามถนนก็เป็นแค่เรื่องตลกของคนอื่น ไม่แน่ว่าอาจจะคนชี้แกแล้วเรียกแกว่าสัตว์ประหลาดก็ได้!”
วินดาเยาะเย้ย “ฉันเป็นแบบนี้แล้วจะทำไม? ก็หน้าตาแบบนี้ของฉันนี่แหละ สิงหาถึงไปลักพาตัวเชอร์รีนเพื่อให้บริจาคไขกระดูกให้ฉัน! ฉันไม่ปฏิเสธว่าตอนนี้เธอสวยกว่าฉันจริงๆ ฉันน่าเกลียดขนาดนี้ยังสามารถทำให้สิงหาทำเพื่อฉันถึงขั้นนี้ได้ เธอสวยขนาดนี้ จะทำให้สิงหาทำเพื่อเธอได้ถึงขั้นไหนล่ะ?”
“แก—” สุนันท์หายใจไม่ออก กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง สิงหาลักพาตัวเชอร์รีนเพื่อผู้หญิงคนนี้
“ฉันเกลียดเวลาที่มีคนบอกว่าฉันขี้เหร่ ไม่ต้องให้เธอมาชี้นิ้วบอก ไม่ว่าตอนนี้เธอจะสวมใส่ชุดที่สวยหรูขนาดไหน แต่งเนื้อแต่งตัวประณีตขนาดไหน ก็ไม่ได้ทำให้สิงหาชายตามองได้ ฉันที่ไม่ได้ทำอะไรเลยแต่กลับทำให้เขายอมทำทุกอย่างเพื่อฉัน ดังนั้นต่อให้เธอสวยแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
คำพูดของวินดาเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม
สุนันท์โกรธมากจนหายใจไม่ทัน สิงหาเป็นความเจ็บปวดของเธอ และเห็นได้ชัดว่าคำพูดของวินดาทำให้เธอโกรธ เธอหอบอย่างหนักแล้วพุ่งเข้ามาผลักร่างวินดา
ตอนนี้ร่างกายของวินดาอ่อนแอจนสุดขีด ไม่สามารถต้านต่อการผลักได้ เธอผลักแล้วผลักอีกทำให้วินดาล้มลงไปกองที่พื้น
วินดาถูกเธอผลักไปที่ขอบชั้นบนสุด เธอล้มลงตรงนั้น สุนันท์ก็ยังเดินเข้าไปอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อเห็นเช่นนั้น จักรกฤษก็พูดอย่างเฉียบขาด “พอแล้ว!”
สุนันท์ถูกตำหนิก็รู้สึกไม่พอใจ เธอยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับ ท่าทางจนตรอกของวินดาในตอนนี้ ทำให้เธอรู้สึกพอใจอย่างมาก เพียงพอที่จะทำให้เธอไม่จำเป็นต้องลงไม้ลงมือกับเธออีก
วินดาหอบเล็กน้อย มือของเธอวางอยู่บนพื้นเพื่อจะพยุงตัวยืนขึ้น แต่ทันใดนั้นเท้าซ้ายของเธอก็ลื่น ตัวเธอสั่น แล้วตกลงไป
ชั่วพริบตา ร่างของจักรกฤษพุ่งไปข้างหน้า รีบเอื้อมมือออกไปคว้าข้อมือของเธออย่างรวดเร็ว เพื่อพยายามดึงเธอขึ้นมา แต่เท้ากลับบังเอิญเหยียบท่อเหล็ก ทำให้เสียหลักแล้วตกลงตรงลงไปชั้นล่างอาคาร วินดากรีดร้องเสียงแหลม ร่างของทั้งสองลอยอยู่ในความว่างเปล่าตกลงไปในแนวดิ่ง
ชั้นบนสุดคือชั้น 6 ตกลงไปแบบนี้..