เลือด บนร่างวินดาและจักรกฤษทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยเลือด พอเชอร์รีนมาลงมาจากรถก็เห็นฉากที่น่าตกใจ
ส่วนสุนันท์ที่อยู่ชั้นบนสุดก็ตกใจนิ่งค้างอยู่ที่นั่น เธอไม่คิดว่าทั้งสองจะตกลงไปจากตรงนั้น…
ทั้งสองถูกส่งไปยังห้องฉุกเฉินทันที ร่างกายของวินดาอ่อนแอเกินไปจึงเสียชีวิตทันที จักรกฤษถูกส่งตัวไปเข้าห้องฉุกเฉินเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง สุดท้ายการช่วยเหลือก็ล้มเหลว เสียชีวิตลงเนื่องจากเสียเลือดมาก…
ตอนที่เธอได้ยินข่าว เชอร์รีนนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวนอกห้องฉุกเฉิน กางเกงของเธอยังคงเปื้อนเลือดสีแดงสด
คุณหมอเดินออกมา ถอดหน้ากากอนามัย ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “คนไข้ตกลงมารุนแรงเกินไป อวัยวะสำคัญได้รับบาดเจ็บรุนแรง บวกกับการที่คนไข้เสียเลือดมากเกินไปจึงเสียชีวิต”
เชอร์รีนถูกออกัสดึงเข้าไปกอดในอ้อมแขน เธอแข็งทื่อราวกับหินแข็งอยู่อย่างนั้นเพียงแต่ข้อต่อนิ้วมือที่กอดเข่ายิ่งบีบยิ่งแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนเล็บของเธอก็เปลี่ยนสีไปหมดแล้ว
ทันใดนั้นเธอก็ผละออกจากอ้อมแขนของออกัสอย่างบ้าคลั่ง เอื้อมมือคว้าเสื้อกาวน์สีขาวตรงหน้าอกของคุณหมอแล้วเขย่า อารมณ์เธอพุ่งด้วยความโกรธ “โกหก! หมอโกหก! พ่อจะตายได้ยังไง! จะตายได้ยังไง!”
คุณหมอถูกเขย่าจนมึนสั่น ออกัสก้าวเข้าไปกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแน่น ให้แก้มของเธอแนบกับหน้าอกเขา กลืนน้ำลาย เส้นเลือดที่หลังมือใหญ่ปูดขึ้นมา
เธอเจ็บ เขาก็เจ็บ เธอเจ็บปวด เขาก็เจ็บปวดด้วยเช่นกัน ความเจ็บปวดในใจเขาไม่น้อยไปจากเธอเลย
เธอหมดแรง ร่างกายของเธออ่อนแอปวกเปียก ภาพตรงหน้าดำมืดเป็นพักๆ
ไม่นานกนกอรก็มาถึงพร้อมกับเพื่อนบ้าน ผมของเธอยุ่งเหยิง สีหน้าของเธอก็ซีดเผือดไร้เลือดฝาด
ในตอนนั้นเองประตูห้องฉุกเฉินก็ถูกผลักเปิดออก พยาบาลก็ผลักรถออกมา จักรกฤษนอนอยู่บนนั้นดูสงบนิ่งไม่หายใจราวกับหลับไป
กนกอรเป็นลมหมดสติไปเนื่องจากเธออายุมากและได้รับการกระตุ้นอย่างหนัก
“แม่คะ แม่คะ แม่เป็นอะไร?” เชอร์รีนผลักออกัสออกแล้ววิ่งไปอย่างสั่นเทา
แต่ออกัสมีไหวพริบ จึงก้าวขาอย่างรวดเร็วเข้าไปรับกนกอรที่หมดสติ พูดด้วยน้ำเสียงที่หยาบกร้าน “หมอ!”
กนกอรถูกส่งตัวไปที่ห้องพักผู้ป่วย หมอได้ทำการตรวจร่างกาย ไม่มีอะไรร้ายแรง แค่หมดสติไป ตื่นมาก็โอเคแล้ว
จากนั้นเชอร์รีนก็เดินไปที่ห้องผู้ป่วยของจักรกฤษ ออกัสตามเธอไปอย่างใกล้ชิด ขณะกำลังจะเดินเข้าไป ในที่สุดเธอก็พูดว่า “ฉันจะเข้าไปเอง”
เขาเข้าใจอารมณ์ของเธอในเวลานี้ดีกว่าใครๆ จึงไม่ยืนกรานจะเข้าไป เธอเข้าไปคนเดียวก็พอ
ผนังสีขาว ผ้าปูที่นอนสีขาว สีที่เข้าสู่สายตานั้นขาวโพลน ขาวแสบตา ขาวสะดุดตา…
เชอร์รีนยืนอยู่ตรงนั้น มองจักรกฤษที่บนเตียงผู้ป่วย เธออ้าปากหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถส่งเสียงได้
หลังจากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาราวกับทะเลเขื่อนแตกอาบแก้มของเชอร์รีน ความเย็นที่ไม่อาจบรรยายได้ไหลเข้าสู่หัวใจเธอ ประกายแสงสุดท้ายในดวงตาของเธอดับลง
เธอยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของจักรกฤษเบาๆ หัวใจของเธอเหมือนถูกแทงด้วยอาวุธมีคม ไม่สามารถหยุดเลือดไหลได้ หนาวเย็นจนทำให้เธอตัวสั่น
จนถึงตอนนี้ จนถึงขณะนี้ จนถึงนาทีนี้ เธอยังรับไม่ได้เรื่องที่พ่อทิ้งเธอไว้แบบนี้ แบบที่ไม่มีวันหวนกลับมาอีก!
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อตอนเที่ยงวันก่อนหน้านั้นเขายังซื้อลูกพีชสีเหลืองกระป๋อง ซื้อขนมขบเคี้ยวให้เธอ เขายิ้มและมองเธอด้วยความรัก
แต่ตอนนี้มันกลับไปไม่ได้แล้ว กลับไปไม่ได้แล้ว กลับไปไม่ได้อีกแล้ว…
เธอไม่เคยคิดว่าพฤศจิกายนจะหนาวเหน็บหนาวขนาดนี้ หนาวจนทนรับไม่ไหว…
“พ่อคะ ตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาได้ไหมคะ?” เธอคุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาไหลอาบหน้าอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว
ร่างกายเพิ่งผ่านการแท้งลูก ความเจ็บปวดส่วนล่างของร่างกายย่อมไม่เบา ลุกลามปวดขึ้นเป็นพักๆ แต่ความเจ็บปวดนี้จะกดทับความเจ็บปวดทางจิตใจได้อย่างไร?
เธอลืมไปได้อย่างไรว่าตอนที่เธอเลิกงาน ใครเป็นคนขี่จักรยานยนต์ไฟฟ้าพาเธอกลับบ้านโดยไม่มีอะไรมากันลมฝน ต่อให้เขาเปียกปอน ก็ต้องให้เธอแห้ง
เธอจะลืมไปได้อย่างไรว่าหลังจากที่เธอหย่า ใครที่พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ว่า ฉันเลี้ยงลูกสาวตั้งแต่เล็กจนโตมาอย่างดี จากนี้พ่อเลี้ยงดูลูกเอง
แม้ว่าเธอจะถูกเขารับเลี้ยง แต่เขากลับยกโลกทั้งใบให้กับเธอ กลัวว่าเธอจะหิว กลัวว่าเธอจะหนาว กลัวว่าเธอจะอัดอั้นตันใจ ในใจเอาแต่คิดถึงลูกสาวของตน
…
ภาพในอดีตยังคงแจ่มชัดอยู่ในใจ สิ่งที่ต้องเสียไปได้สูญหายไปตลอดกาล ไม่มีวันหวนกลับคืนมา…
“พ่อคะ หนูคิดถึงพ่อ หนูคิดถึงพ่อจริงๆ พ่อลุกขึ้นมามองหนูสักหน่อย มองมาที่หนูสักหน่อยแค่นั้น!”
เสียงเธอแหบแห้งจนแทบไม่รู้เรื่องจนทำให้คนฟังรู้สึกว่าแน่นหน้าอกจนน่าตกใจ มันเศร้ามาก เศร้า…
เพียงแต่น่าเสียดายที่จักรกฤษไม่เคยได้ยินอีกต่อไปแล้ว…
เขาไม่ได้ยินลูกสาวคนโปรดเรียกเขาว่าพ่ออีกต่อไป ไม่ได้ยินอีกต่อไป…
เชอร์รีนคุกเข่าอยู่ตรงนั้น เธอไม่รู้ว่าเธอคุกเข่ามานานเท่าไรแล้ว และเธอไม่รู้ว่าเธอคุกเข่าอยู่นานแค่ไหน แต่เธออยากจะคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ไม่อยากลุกขึ้นอีกตลอดไป!
เข่าของเธอชา ไร้ความรู้สึกไปตั้งนานแล้ว สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกคืออาการเกร็ง แต่เธอกลับไม่รู้สึกอะไรเลย
เธออยู่ในห้องพักผู้ป่วยไม่ยอมออกไป ส่วนออกัสที่ยืนอยู่หน้าประตูย่อมไม่ไปไหน เขากลัวว่าเธอจะรับไม่ไหว และกลัวว่าเธอจะเศร้าเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ยังอยู่ข้างในเหรอ?” เลอแปงเดินเข้ามา
“อืม…” ออกัสตอบรับเบาๆขณะที่ตายังคงจ้องไปที่ประตูห้อง
“พี่สะใภ้เพิ่งจะแท้ง ร่างกายยังคงอ่อนแอเกินไป พี่ใหญ่ พี่พาพี่สะใภ้กลับไปก่อนเถอะ ไม่อย่างนั้นร่างกายจะล้มลงได้ ร่างกายจะรับไม่ไหวเอาได้นะ”
ริมฝีปากบางของออกัสเป็นเส้นตรง ทำไมเขาจะไม่อยากพาเธอไป แต่เขาจะพาเธอไปได้อย่างไร
เมื่อเห็นเช่นนั้นเลอแปงก็ไม่พูดอะไรอีก ผ่านไปครู่หนึ่ง มุมปากของเขาก็ขยับเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา กลืนกินคำพูดเหล่านั้นลงไป
เขาคิดว่าพี่ชายไม่อยากฟังเรื่องที่เกี่ยวกับพ่อในเวลานี้…
ไฟไหม้ค่อนข้างรุนแรง ไหม้ร่างกายส่วนล่างของเขา หมอจากนี้ขาของเขาต้องใช้ไม้เท้าพยุงรักแร้ เดินได้ไม่ไกล และเดินได้ไม่เร็ว
ทั้งสองคนไม่ได้เดินออกไปไหน รออยู่หน้าประตูห้องผู้ป่วย ตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้เชอร์รีนไม่เคยเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วยเลย และไม่มีท่าทีที่จะออกมาเลยเช่นกัน
หลังเที่ยงคืน ในยามค่ำคืนอากาศหนาวมากต่างจากปกติ ออกัสเหลือบมองเวลา ตอนนี้ตีสองแล้ว
เขาผลักประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดออก เขาเดินเข้าไป เธอคุกเข่าลงกับพื้นผล็อยหลับไปแล้ว ห้องพักผู้ป่วยไม่ได้เปิดฮีตเตอร์ เธอหยิบทุกอย่างที่หาได้ออกมาห่มไว้บนตัวจักรกฤษ
เขายื่นมือออกไปอุ้มเธออย่างระมัดระวัง แต่ก่อนที่เขาจะขยับเชอร์รีนก็ลืมตาขึ้นทันที
“เธอเหนื่อยแล้ว ฉันจะพาเธอไปนอนห้องข้างๆ” เสียงของเขาแผ่วเบา
เชอร์รีนดิ้นผละออกจากแขนของเขาเงียบๆโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็นอนลงข้างจักรกฤษโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เธอเงียบมาก เงียบมากๆ แม้แต่รอยน้ำตาที่แก้มก็ยังไม่แห้ง ใบหน้าเหมือนน้ำนิ่ง รูม่านตาขยาย ไม่มีโฟกัสอะไร
เธอในแบบนี้ ไม่แม้แต่มีลมหายใจดั่งคนมีชีวิต เงียบจนทำให้คนรู้สึกตื่นตระหนก หวาดกลัว
ออกัสรู้สึกปวดใจสุดๆ แต่กลับทำอะไรกับเธอไม่ได้ ในเวลานี้หากจะบังคับเธอไป แล้วจะมีประโยชน์อะไร?
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขอเพียงเธอได้หลับสักครู่ก็ยังดี…
ค่ำคืนที่มืดมิด มืดสนิท เงียบเชียบ เงียบสนิท แสงจันทร์ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ผนังและผ้าปูที่นอนในห้องพักผู้ป่วยขาวขึ้น แสบตาขึ้น
เชอร์รีนนอนลงข้างร่างจักรกฤษที่เสียชีวิตไปแล้ว ร่างที่นอนไม่มีแม้แต่ความอบอุ่น…
เธอไม่กลัว สักนิดก็ไม่กลัว ข้างๆคือพ่อของเธอ แล้วเธอจะกลัวได้อย่างไร?
ออกัสไม่ได้หลับตา ระหว่างนั้นเขาไปห้องของกนกอร เธอก็ยังไม่ตื่นเช่นกัน ยังคงสลบอยู่
ในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น หลังกนกอรตื่นถึงจะไปห้องพักผู้ป่วย เมื่อเห็นสภาพแบบนั้นของจักรกฤษ เธอก็ร้องไห้ไม่หยุด ร้องไห้จนแทบขาดใจ
ผ่านเรื่องราวด้วยกันมานานเท่าไร ผ่านความทุกข์ยากมาแสนนานขนาดไหน ตอนนี้บอกไม่อยู่แล้วก็ไม่อยู่แล้ว แล้วจะให้เธอไม่ปวดร้าวจนแทบจะขาดใจได้อย่างไร
ใบหน้าของเชอร์รีนซีดเซียว ดวงตาคล้ำ ริมฝีปากแห้งผาก เธอยื่นมือออกไปพยุงกนกอร แต่ถูกกนกอรผลักออกอย่างแรง ในสายตามีความโกรธแค้น
เธอมองเห็นความโกรธแค้นในสายตาได้อย่างชัดเจน ริมฝีปากของเธอสั่นเทา ร่างกายสั่นเล็กน้อย เธอไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า ไม่กล้าที่จะก้าวขึ้นอีกแม้แต่ก้าวเดียว
…
การตายของจักรกฤษส่งผลกระทบต่อกนกอรอย่างหนัก ไม่นานเธอก็ทนไม่ไหวจนล้มป่วย
ลองนึกภาพ หากคุณไม่กินหรือดื่มหนึ่งวัน เอาแต่ร้องไห้ จะมีใครกี่คนที่จะทนไหว?
เธอล้มป่วย เชอร์รีนยังคงแบกไว้ ยังคงรักษากำลังสุดท้ายของเธอ เพื่อดูพิธีเผาศพของจักรกฤษ ทำพิธีศพให้เขา
ออกัสอยู่ข้างๆเธอตลอด สามสี่วันที่ผ่านมาเธอไม่พูดอะไรเลย แค่ทำในสิ่งที่เธอต้องทำ
เธอชาไปแล้ว ไม่รู้สึกอะไร สั่งให้ตัวเองให้ทำทั้งหมดด้วยความมึนชา
ในวันฝังศพ เชอร์รีนถือโกศไว้ตลอดทางไม่ยอมคลายมือ คนที่มาส่งศพล้วนเป็นบรรดาญาติ
เธอเดินช้ามากๆ ราวกับกำลังเดินอยู่บนปลายมีด ทุกครั้งที่เธอก้าวไปข้างหน้านำพามาซึ่งรู้สึกเจ็บปวดเกินจะทน
พ่อที่ทั้งสูงทั้งใหญ่ สามารถปกป้องเธอจากลมฝน แต่ตอนนี้เหลือเพียงขี้เถ้าเพียงน้อยนิดในโกศ
แม้ว่าเธอจะตัวเล็กมาก แต่เธอกอดเท่าไรก็ไม่เพียงพอ จะกอดยังไงก็อาลัยอาวรณ์ที่จะคลายมือ เธอรู้ว่านี่เป็นการเดินทางครั้งสุดท้าย
หลังจากที่โกศถูกฝัง ทุกอย่างจะถูกตัดลงจริงๆแล้ว ไม่เหลืออะไร
กนกอรไม่สามารถทนมองได้อีกต่อไป แย่งชิงเอาโกศออกจากมือเธออย่างแรง ใบหน้าและดวงตาแดงก่ำ “เขาตายไปแล้ว ยังจะไม่ปล่อยให้เขาได้กลับไปพักใต้ผืนดินอีก!”
เธอไม่ยอมปล่อยมืออย่างบ้าคลั่ง กนกอรยกมือขึ้นตบหน้าเธออย่างแรง
ออกัสไม่รู้จะทำยังไงให้ความเจ็บปวดในหัวใจของเธอลงสักครึ่งหนึ่ง ถ้าเขาทำได้ เขาเต็มใจที่จะทำทุกอย่าง
ดินที่กอบจากมือค่อยๆกลบโกศ ปิดปังโกศได้อย่างสมบูรณ์ กนกอรหายใจไม่ทันเป็นลมลมพับไปอีกครั้ง
กนกอรถูกพาตัวไป บรรดาญาติและเพื่อนฝูงก็ไปแล้ว เชอร์รีนล้มนั่งลงที่หน้าป้ายหลุมฝังศพ
เมื่อกี้อากาศยังดีๆอยู่ แต่ขณะนี้ลมพัดมา ชั่วพริบตาเมฆก็ปกคลุมอย่างหนาแน่น จากนั้นฝนห่าใหญ่ก็เทลงมา
เธอเปียกปอนไปทั้งตัว เธอตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แต่กลับไม่สนใจ เธอเปิดกระเป๋าแล้วหยิบของที่อยู่ข้างในออกมา