“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยพวกท่านพร้อมที่จะส่งนักสู้คนต่อไปออกมาหรือยัง” ซื่อตงถามพวกเขาหลังจากที่รอมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ไม่นานหลังจากนั้น นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ส่งศิษย์คนอื่นลงไป
อย่างไรก็ตามไม่เหมือนกับรอบก่อน ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไม่ได้ต่อสู้กับศิษยนิกายดอกบัวเพลิงอย่างง่ายดายอีกต่อไป และหลังจากผลัดกันรุกรับไปหลายนาที นิกายดอกบัวเพลิงก็ได้รับชัยชนะครั้งแรกจากการสู้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ข้าขอโทษ ผู้นำนิกายและเพื่อนศิษย์หญิง ข้าสร้างความผิดหวังให้กับพวกท่านทั้งหมด”
ศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกลับมาหาพวกเธอด้วยความรู้สึกหดหู่
“อย่ากังวลเรื่องนั้น ศิษย์น้อง เพียงแค่แพ้ครั้งเดียว พวกเรายังคงเหนือกว่าพวกเขา”
โหลวหลานจีพยักหน้าและกล่าวขึ้น “เพื่อนพ้องของเจ้ากล่าวถูกแล้ว เจ้าพยายามดีที่สุดแล้ว ดังนั้นจึงมิจำเป็นต้องขอโทษ ยิ่งไปกว่านั้นนิกายดอกบัวเพลิงเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ข้ามิคาดว่าจักได้รับชัยชนะง่ายๆจากการต่อสู้กับพวกเขา”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ส่งศิษย์คนอื่นออกไป
หลังจากปะทะกันอีกไม่กี่นาที นิกายดอกบัวเพลิงก็ได้รับชัยชนะอีกครั้งอย่างหวุดหวิด
“เยี่ยมมาก ศิษย์พี่ชาย”
ศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงส่งเสียงเชียร์จากด้านข้าง
“…”
อย่างไรก็ตาม โหวเยินเจียไม่ได้ยินดีด้วย ตามความเป็นจริงเขายืนอยู่ที่นั่นพร้อมขมวดคิ้ว
“อะไรอยู่ในใจท่าน อาจารย์” หญิงสาวสวยพลันถามเขา
โหวเยินเจีหันไปมองศิษย์ส่วนตัวของเขา หลินเชาชาง
“ถึงแม้ว่าพวกเราจะชนะ พวกเราก็เอาชนะได้อย่างยากลำบาก ข้าอดมิได้ที่จักรู้สึกเหมือนกับว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยังคงมีสิ่งน่าประหลาดใจไม้ตายเก็บซ่อนไว้”
“มิว่าพวกเขาจะมีแผนการอะไร ข้าจักมิยอมให้นิกายดอกบัวเพลิงของพวกเราพ่ายแพ้ต่อพวกเขา ต่อเขา อีกครั้ง”
แม้ว่าเธอจะไม่ได้แลกหมัดกับซูหยางด้วยตนเองก่อนหน้านั้น เธอก็ได้เป็นพยานกับความวุ่นวายที่เขาก่อให้กับนิกายของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสียหายที่เขาสร้างไว้ให้กับเหล่าศิษย์
“หลังจากที่การแสดงเล็กน้อยของเขาสร้างภาระทางใจให้หลายคน ศิษย์ของเราก็มิสามารถที่จักสงบใจฝึกฝนได้ตลอดทั้งเดือน เพื่อนของข้าบางคนยังฝันร้ายถึงเรื่องเขาในวันนั้น ข้าจักมิปล่อยให้เขาทำตามใจอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าจักสามารถทำได้”
โหวเยินเจียยิ้มขื่นขมและกล่าวว่า “เจ้าโม้เกินไป”
“ที่ผ่านมาเจ้าเห็นหวังชูเหรินหรือไม่ ข้าทิ้งให้ผู้อาวุโสสูงสุดหานไว้ด้านหลังปกป้องทรัพย์สินของพวกเรา แต่ข้าเหมือนนึกมิออกว่าเธออยู่ที่ไหน” เขาพลันถามอีกฝ่าย
“ถ้าข้าจำมิผิด ผู้อาวุโสหวังต้องการที่จะดูการแข่งขันจากที่นั่งผู้ชม”
“บางทีเธอมิต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่พวกเราต่อสู้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” โหวเยินเจียถอนหายใจ
“อาจารย์ทำไมผู้อาวุโสหวังจึงตั้งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไว้สูงเช่นนั้น กระทั่งบีบให้ทั้งสำนักร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเขา” หลินเชาชางถามเขา
“นับวันยากขึ้นเรื่อยๆในการเข้าใจว่ามีอะไรอยู่ในใจเธอ อย่างไรก็ตามข้ามั่นใจว่าเธอมีเหตุผลส่วนตัวในการเชื่อถือนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และข้าก็ปรารถนาที่จะเชื่อความจริงนั้น ถ้ามิใช่เธอนิกายดอกบัวเพลิงคงมิได้อยู่ในตำแหน่งเช่นปัจจุบันนี้”
“ข้าเข้าใจ…” หลินเชาชางพลันเงียบไปหลังจากนั้น
การต่อสู้ระหว่างนิกายดอกบัวเพลิงและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยดำเนินต่อไป
หลายนาทีหลังจากนั้นหลังจากที่ผลัดกันแพ้ชนะไปมานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและนิกายดอกบัวเพลิงตอนนี้ก็เสมอกันด้วยการชนะเก้าครั้งและแพ้เก้าครั้งทั้งสองฝ่าย
“ซูหยาง ย้ายก้นของเจ้าออกมาที่นี่และรับการท้าทายจากข้า” หลินเชาชางตะโกนด้วยเสียงดุร้ายขณะที่เธอยืนอยู่บนเวทีด้วยกลิ่นอายอันกล้าหาญรอบตัวเธอ
ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหันไปมองดูซูหยางซึ่งตอนนี้ยืนอย่างสบายอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
พวกเธอล้วนคิดสงสัยว่าเขาไปล่วงเกินอะไรอัจฉริยะหมายเลขหนึ่งของนิกายดอกบัวเพลิงหลินเชาชาง
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นนางฟ้าหลินมีท่าทางโกรธเช่นนั้น ซูหยางคนนี้ต้องทำอะไรบางอย่างที่ล่วงเกินเธอเป็นอย่างมากแน่”
กระทั่งผู้ชมที่คุ้นเคยกับหลินเชาชางเป็นการส่วนตัวยังสับสนกับสีหน้าปัจจุบันของเธอ
“ทำไมเจ้าจึงมิขึ้นมาบนเวที เจ้ากลัวรึไง เกิดอะไขึ้นกับความกล้าและความโอหังที่เจ้าแสดงให้พวกเราเห็นในวันนั้น” หลินเชาชางตะโกนเสียงดังต่อไป
“นี่น่าขัน” เจ้าซีแสดงรอยยิ้มกับเหตุการณ์นี้
“มีอะไรที่น่าขันรึ” ซีซิงฟางขมวดคิ้ว
“ทุกอย่าง”
เพราะว่าเขาได้สืบสวนเบื้องหลังของซูหยาง เป็นเรื่องธรรมชาติที่เจ้าซีจะรู้เรื่องดราม่าระหว่างนิกายดอกบัวเพลิงกับซูหยาง ต่อให้นิกายดอกบัวเพลิงได้พยามถึงที่สุดในการเก็บเหตุการณ์นั้นเป็นความลับ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงเครือข่ายข้อมูลอันกว้างขวางของตระกูลซีซึ่งได้กระจายครอบคลุมไปทั่วทั้งทวีปได้
หลังจากนั้นเมื่อหลินเชาชางเหนื่อยกับการรอคอยซูหยางตอบสนอง เธอได้ด่าเขาเสียงดัง “รีบขึ้นมาบนเวที ไอ้คนไร้สมรรถภาพทางเพศ”
“…”
เมื่อผู้ชมได้ยินเช่นนั้น พวกเขาเกือบทั้งหมดพลันระเบิดเสียงหัวเราะ
“ถึงกับถูกนางฟ้าหลินเรียกว่าเป็นคนไร้สมรรถภาพทางเพศ…. ข้าคงจักไปให้พ้นจากสถานที่นี้ในทันทีและมิเผยโฉมหน้าให้โลกเห็นอีกหากว่าข้าเป็นเขา”
“นางฟ้าหลินพูดถูก เจ้าจะกลัวอะไร รีบยอมรับการท้าทายของเธอเหมือนลูกผู้ชายเสียที”
“ซูหยาง…”
โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยสีหน้าพิกล เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงยังเฉยตลอดช่วงเวลานี้
“ไร้สมรรถภาพทางเพศ ไร้สมรรถภาพทางเพศ ไร้สมรรถภาพทางเพศ”
ผู้ชมเริ่มท่องถ้อยคำนั้นเสียงดัง
“เงียบ”
ฉับพลันนั้นเสียงอันทรงพลังก็ดังขึ้นในสนามประลอง จนทำให้ทั้งสถานที่นั้นสั่นสะเทือน
เมื่อผู้ชมได้ยินเสียงนี้และรับรู้ถึงความแข็งแกร่งอันลึกล้ำที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง พวกเขาก็หุบปากลง
อย่างไรก็ตามเสียงนั้นไม่ได้มาจากซูหยาง กลับกันมาจากหญิงสาวคนหนึ่ง
“เจ้า…” เจ้าซีหันไปมองดูซีซิงฟางด้วยไม่อยากจะเชื่อ เหมือนว่าจนคำพูด
หลังจากเงียบไปได้ชั่วขณะหลังจากนั้น ซูหยางก็พลันก้าวเท้าออกไปด้านหน้าหนึ่งก้าว
“เจ้าฟังดูเหมือนจักค่อนข้างมั่นใจเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าไร้สมรรถภาพทางเพศ ราวกับว่าเจ้ามั่นใจเช่นนั้น ข้ามิถือที่จะรับคำท้าทายของเจ้า แต่ข้ามิเล่นไปตามบทของเจ้าโดยมิมีอะไรตอบแทน”
ซูหยางหยุดเดินหน้าเขตต่อสู้และจ้องมองหลินเชาชางด้วยสีหน้าจริงจัง
“เจ้าต้องการอะไร” หลินเชาชางถามเขา
“นั่นง่ายดายมาก ถ้าเจ้าชนะ ข้าจักให้ทุกสิ่งที่อยู่ในถุงผ้านี้” ซูหยางนำเอาถุงผ้าเล็กๆออกมาและพลันเทสิ่งที่อยู่ในนั้นทุกอย่างลงบนพื้น
เมื่อหลินเชาชางเห็นเม็ดยาร้อยกว่าเม็ดกลิ้งอยู่บนพื้น คิ้วของเธอก็เลิกขึ้นด้วยความงุนงง
อย่างไรก็ตามเมื่อเธอตระหนักว่าพวกมันเป็นยาประเภทไหนกัน ดวงตาเธอก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก
“พ-พวกนั้นเป็น…” โหวเยินเจียไม่อยากเชื่อสายตาตนเองและเกือบทำให้หัวใจกระดอนออกมาจากปากเมื่อเขาเห็นยาเหล่านั้น
“เกิดบ้าอะไรขึ้นเจ้าถึงได้รับโอสถสู่ปฐพีมากมายเช่นนี้” เขาร่ำร้องเสียงดัง
“เจ้าจักให้ยาทั้งหมดเหล่านี้แก่ข้าถ้าข้าชนะงั้นรึ” หลินเชาชางฝืนกลืนน้ำลายที่ท่วมปากเธอก่อนที่จะพูด
“ใช่แล้ว” ซูหยางยิ้มและกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามถ้าข้าชนะการต่อสู้ครั้งนี้ เจ้าจักต้องลิ้มลองด้วยตนเองว่าข้าเป็นไอ้คนไร้สมรรถภาพทางเพศหรือไม่…”