ตอนที่ 643

The Divine Nine Dragon Cauldron

“เจ้าพันธมิตรซือ เราควรจะไปที่ใดกันดี?”

 

ผู้เฒ่าเฉินเริ่มเรียกเขาว่าเจ้าพันธมิตรเพราะซือหยูได้มาแทนที่หลงจื้อชิงชั่วคราว

 

ทุกคนเริ่มมีกระจิตกระใจขึ้นมาเพราะผู้เฒ่าเฉินเพิ่งจะพูดสิ่งที่พวกเขากังวลที่สุด เพราะพวกเขาได้กลายเป็นคนไร้บ้าน การหาที่ปลอดภัยนับเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง

 

ซือหยูมองผ่านทุกคน คนที่เหลืออยู่ราวหมื่นคนเป็นเด็กหนุ่มสาวมากพรสวรรค์จากทุกมุมในทวีป และแม้พวกเขาจะมีพรสวรรค์ ฐานพลังของพวกเขาก็ยังคงอ่อนแอ การหาพื้นที่ปลอดภัยได้พักนั้นเป็นปัญหาหลัก

 

ซือหยูขมวดคิ้ว

 

“จะไปที่ไหนน่ะรึ? พวกเราเป็นคนทวีปเฉินหลงอยู่แล้วไม่ใช่รึไงกัน คำถามเช่นนี้มิได้น่าขันหรอกรึ?”

 

ผู้เฒ่าเฉินหน้าแดง น่าขันยิ่งนักที่พวกเขาเป็นคนทวีปเฉินหลงจริง แต่พวกเขาก็ถูกผู้รุกรานเข้ามายึดครอง นี่เป็นเรื่องน่าละอายนัก

 

“ท่านเจ้าพันธมิตรซือหมายความว่าเช่นไรรึ?”

 

ผู้เฒ่าเฉินถาม

 

“แน่นอน เราควรจะต้องเอาดินแดนของเราคืนมา”

 

ซือหยูตาเป็นประกายเมื่อตอบ

 

“เจ้าพันธมิตรซือ ท่านอยากจะก่อสงครามกับต่างโลกรึ?”

 

ผู้เฒ่าเฉินทั้งตกใจและหวาดกลัว

 

ซือหยูพยักหน้า

 

“แล้วมีหนทางอื่นอยู่อีกรึ? พวกต่างโลกมันจะยอมคืนดินแดนให้เราดีๆหรือย่างไร?”

 

ทั้งคู่ไม่ได้พูดอย่างเป็นส่วนตัว ดังนั้นทุกคนที่อยู่ที่นี่จึงได้ยินกันหมด พวกเขาเริ่มกระสับกระส่าย ความคิดที่จะต่อสู้ทำให้พวกเขาหวาดวิตก

 

“ท่านคิดจะสู้กับต่างโลกจริงรึ? แม้ตอนที่พวกเราพร้อมเต็มที่ และมีหลายสำนักจากทวีปร่วมด้วย พวกเราก็แพ้หมดท่า แล้วตอนนี้พวกเราจะทำอะไรได้เล่า?”

 

บางคนเริ่มถามออกมาในทันที

 

“ถ้าท่านพูดจริง เจ้าพันธมิตรซือ โปรดคิดอ่านใหม่เถอะ ทั้งพลังและการต่อสู้จริง พวกเราขาดทั้งสองเรื่อง ยากนักที่พวกข้าจะคุ้นชินกับสมรภูมิรบ มิใช่ว่าพวกข้ากลัวตาย แต่พวกข้าไม่อยากจะตายอย่างเปล่าประโยชน์”

 

เขาพูดต่อ

 

“สิ่งสำคัญคือพวกเราต้องหาที่อยู่ที่ปลอดภัยให้ตั้งตัว จากนั้นก็ไม่สายเกินไปที่จะเอาดินแดนของเรากลับคืนมา ตอนนั้นเราก็จะมีกำลังอำนาจมากกว่านี้…”

 

 

ท้ายสุด แม้แต่ผู้เฒ่าเฉินก็หวั่นไหว เขาเริ่มที่จะเคลือบแคลงในการเป็นผู้นำของซือหยู…

 

พวกเขาจะสู้กับคนจากต่างโลกที่มีพลังอำนาจทั้งทวีปได้อย่างไร? พวกเขาจะไม่ตายอย่างไร้ค่าเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟหรอกรึ?

 

“ท่านเจ้าพันธมิตรซือ หากเราปลูกเมล็ดที่ดี เราก็ไม่ต้องกังวลถึงอนาคต เราควรคิดถึงเรื่องระยะยาว เราอาจจะรอให้ท่านเจ้าพันธมิตรหลงตื่นขึ้นมาก่อนหารือเรื่องนี้ก็ย่อมได้ เช่นนั้นคนส่วนใหญ่ก็คงจะเห็นด้วย…”

 

ผู้เฒ่าเฉินแนะนำ

 

ซือหยูใบหน้าเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งเมื่อมองเหล่าผู้คนที่ไม่พอใจและตื่นตระหนกหวาดกลัว ดวงตาของเขาเปล่งแสงอันเยือกเย็น ไม่นานเหล่าหนุ่มสาวที่ส่งเสียงก็เงียบลงหลังจากได้เห็นแววตาของซือหยู

 

“พวกเจ้าพูดกันจบรึยัง?”

 

ซือหยูถามผู้คนอย่างใจเย็น ไม่มีใครกล้าตอบ

 

ซือหยูไม่เก็บซ่อนความผิดหวังในตัวพวกเขา

 

“มีบางสิ่งที่ข้าอยากจะพูดกับพวกเจ้ามานานเหลือเกิน…”

 

เอ๋? เหล่าผู้คนเริ่มร้อนรน

 

“พวกเจ้าคือความหวังของเผ่าพันธุ์มนุษย์จริงๆงั้นรึ?”

 

ซือหยูมองพวกเขาก่อนจะละสายตาไปยังท้องนภากว้างไกล คำพูดของเขาทำให้เหล่าหนุ่มสาวไม่พอใจและสงสัยว่าเขากำลังจะพูดอะไร หลายคนรู้สึกว่ากำลังโดนดูถูก

 

บางคนที่ไม่พอใจยิ่งกว่า เริ่มที่พูดถึงซือหยูในแง่ร้าย…

 

“เจ้าแค่โชคดีที่เกิดก่อนข้าสามปีและได้ไปกระโจมเทพสวรรค์ พรสวรรค์ของข้าก็ไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าเจ้า!”

 

“ข้ายอมรับว่าเจ้ายอดเยี่ยม ชื่อเสียงของเจ้าสั่นคลอนทั้งทวีป แต่เจ้ากลับมาพูดกับพวกข้าอย่างนี้…”

 

 

หนุ่มสาวหลายคนเคยเทิดทูนและอิจฉาซือหยู เพราะพวกเขาจะยอมรับได้อย่างไรว่ามีคนรุ่นราวคราวเดียวกันหรืออายุน้อยกว่าที่ได้ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของทวีป?ฃ

 

ซือหยูพูดต่อคนที่มองเขาในแง่ร้ายอย่างรุนแรง

 

“ตอนที่บ้านเกิดพวกเจ้าถูกศัตรูยึดครอง พวกเจ้าทำอะไรอยู่? ตอนที่สหายพวกเจ้าถูกศัตรูเข่นฆ่า พวกเจ้าทำอะไรกัน? ตอนที่สตรีของพวกเจ้าแปดเปื้อน พวกเจ้าไปอยู่ที่ไหน? พวกเจ้าก็แค่ซ่อนตัวอยู่ในเรือนั่น!”

 

เขามองทุกคนด้วยสายตาเฉียบคม

 

“แล้วพอข้าจะเริ่มการต่อสู้เพื่อฟื้นฟูดินแดนกลับมา ช่วยชีวิตสหายพวกเจ้า เอาผู้หญิงของพวกเจ้ากลับมา แล้วเจ้าตอบข้ายังไง?”

 

คำพูดของซือหยูผ่าเผยและเคร่งขรึม คนที่ได้ยินราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่หู สายฟ้านั้นระเบิดขึ้นในใจ คำพูดของซือหยูทำให้วิญญาณของพวกเขาสั่นคลอน

 

ซือหยูพูดถูก ตอนที่สำนักของแต่ละคนถูกทำลาย ตอนที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องถูกเข่นฆ่าอย่างทุกข์ทรมาน พวกเขาเพียงแค่สังเกตดูอย่างใจเย็นในที่ปลอดภัยที่เรียกว่าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ พวกเขาทำได้แค่มองสหายเจ็บปวดกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น!

 

“ถ้าพวกเจ้าคืออนาคตของเฉินหลง ข้าก็ต้องพูดว่าเฉินหลงไร้อนาคตไปแล้ว!”

 

คำพูดของซือหยูโหดร้าย แต่มันก้องกังวาลอยู่ในใจทุกคน

 

“คนที่เป็นความหวังของเฉินหลงคือคนที่สละตัวเอง หลั่งเลือด สู้จนหมดลมหายใจสุดท้ายเพื่อสหายและครอบครัว!”

 

คำพูดของเขาแทงใจดำของทุกคน พวกเขาเอาแต่ใช้สถานะที่เป็นความหวังของมนุษย์ในเฉินหลงเก็บซ่อนความขี้ขลาดและเป็นสุขอยู่กับการปกป้องของพันธมิตร แต่พวกเขาทุกคนล้วนถูกซือหยูเปิดโปงอย่างไร้ปรานี

 

แม้ว่าจะมีคนมากกว่าหมื่นคนที่นี่ ที่นี่ก็เงียบกริบไร้เสียงใด คำพูดของซือหยูทำให้พวกเขาพูดไม่ออก เพราะซือหยูพูดถูก พวกเขาเป็นแค่พวกตาขาว

 

ผู้เฒ่าเฉินถอนหายใจเบาๆ เขาไม่รู้จะพูดอะไรออกมา แต่เขาก็เห็นด้วยกับซือหยู และที่ซือหยูพูดนั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกับเหล่าหนุ่มสาวเท่านั้นแต่เป็นเหล่าผู้เฒ่าที่อยู่บนเรืออย่างสุขสบายด้วย แม้ว่าทวีปจะระส่ำระสาย พวกเขาก็ไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามเลย

 

การมีชีวิตบนเรือที่ไม่เคยลงจอดมาตลอดหมื่นปีทำให้พวกเขาเฉยเมยต่อภัยคุกคาม พวกเขาได้กลายเป็นคนขี้ขลาดโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในกระดองเต่า!

 

“ท่านเจ้าพันธมิตร ให้ข้าเข้าร่วมศึกนี้ด้วยเถอะ”

 

เสียงอันแหบพร่าดังแทรกเข้ามา คนที่พูดเป็นชายที่ตัวสั่นแม้จะอายุแค่สามสิบปี แต่เขาก็ดูเหมือนกับชายวัยกลางคนแล้ว

 

แขนเสื้อด้านซ้ายที่ว่างเปล่าพัดปลิวตามแรงลม มันทำให้เรื่องเศร้าในอดีตเล่าใหม่อีกครั้ง ใบหน้าซีดของเขามีหนวดยุ่งอยู่เต็ม แม้ว่าเขาจะดูหล่อเหลา ท่าทางของเขาก็ดูสิ้นหวังและไม่สง่างาม ดวงตาของเขาแดงก่ำไปด้วยเส้นโลหิตที่แตก

 

สายน้ำตาหลั่งไหลออกจากดวงตาข้างขวา น้ำตาอาบแก้มก่อนจะหยดลงสู่ธรณีทิ้งไว้เพียงความเปียกชื้นที่แก้ม มีเพียงดวงตาข้างเดียวเท่านั้นที่หลั่งน้ำตาได้เพราะตาซ้ายของเขาได้มืดบอด

 

“นายน้อยตู้หมิงจากเสาใต้!”

 

มีคนจำเขาได้ในทันที

 

มีคนเริ่มเล่าเรื่องความหลังของตู้หมิงออกมา

 

“เสาใต้ถูกทำลายในแค่คืนเดียว ไม่มีใครเลยที่รอดออกมาได้นอกจากเขา! แล้วการกวาดล้างก็เกิดขึ้นในวันที่ตู้หมิงแต่งงาน! ภรรยาของเขาตัดคอตัวเองเพื่อรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ พ่อแม่ล้วนตายจมกองโลหิต! เขาเป็นคนเดียวที่หนีออกมาได้ แต่เขาก็เสียแขนซ้ายกับตาซ้ายไปด้วย เขาไม่เคยพูดอะไรออกมาเลยตั้งแต่มาถึงพันธมิตรผู้คุมสวรรค์”

 

ตู้หมิงผู้โดดเดี่ยวปลีกตัวออกจากเหล่าผู้คน

 

ตู้หมิงพูดอีกครั้ง

 

“ข้าเสียท่านพ่อ ท่านแม่ หยางเอ๋อของข้าตายอย่างทุกข์ทรมาน ข้าจะต้องอยู่รอดต่อไปและหนีไปเรื่อยๆงั้นรึ? ข้าจะต้องซ่อนอยู่ในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ไปตลอดรึ? เรื่องเหล่านี้มันถูกต้องแล้วรึ? แล้วใครกันจะล้างแค้นให้พ่อแม่ข้าถ้าไม่ใช่ข้า? ใครกันจะชดใช้โลหิตของหยางเอ๋อ?”

 

เขาส่ายหน้าและกำหมัดร้องขอซือหยู

 

“ท่านเจ้าพันธมิตร โปรดให้ข้าร่วมสงครามครั้งนี้ด้วย แม้ข้าจะอ่อนแอ ข้าก็จะใช้มือข้างที่เหลือสละชีวิตข้ามันแม้สักคนก็ยังดี!”

 

เสียงร่ำไห้ที่แหบพร่าของเขาดำเนินต่อไปอย่างเป็นจังหวะ คนรอบข้างราวกับได้มองวีรบุรุษที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ด้วยตา คนที่มุ่งมั่นจะสละชีวิตจนโลหิตหยดสุดท้ายหลั่งรินลงสู่เบื้องล่างและล้างแค้นให้กับญาติพี่น้องและคนรัก และคนที่เขาให้ความสำคัญ

 

ภาพอันตระการตาประทับลงในใจของทุกคน และในตอนนี้ ชายผู้นี้คือความหวังโดยแท้จริง! ความเป็นวีรบุรุษของเขาจุดประกายแสงในใจของผู้คนขึ้นมา…

 

“ท่านเจ้าพันธมิตร ข้าจะร่วมศึกนี้ด้วย! ข้าจะใช้กระบี่ในมือและโลหิตที่เจ็บปวดล้างแค้นให้ท่านอาจารย์”

 

“ข้าด้วย! ศิษย์พี่ของข้าดูแลข้าดั่งพี่น้องร่วมสายโลหิต ศิษย์พี่ยังตายเพื่อข้า ข้าจะต่อสู้กับพวกมันด้วยชีวิต!”

 

“ใช่แล้ว! ข้าจะไม่ปล่อยให้เลือดศิษย์น้องข้าต้องไหลจมธรณีไปเฉยๆ!”

 

“ข้าด้วย”

 

“ข้าก็ด้วย”

 

“ข้า…”

 

ไม่นานก็มีคนมากขึ้นเรื่อยๆเข้าร่วม ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จและได้รู้ถึงความหมายของชีวิต และในตอนนี้ พวกเขาได้กลายเป็นความหวังของมวลมนุษย์อย่างแท้จริงแล้ว

 

เสียงของคนนับหมื่นประสานเป็นหนึ่งราวกับสายฟ้าที่คำรามใส่ท้องนภา แม้แต่ผู้เฒ่าเฉินก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นคนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเช่นนี้!

 

แม้แต่เขาเองก็มีใจฮึดสู้ขึ้นมาด้วย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาก หัวใจที่เต้นตามปกติได้เร่งจังหวะขึ้น

 

“ท่านเจ้าพันธมิตร ได้โปรดใช้ชีวิตของตาแก่คนนี้ตามแต่ต้องการเถอะ”

 

รอยยิ้มเบ่งบานบนใบหน้าแก่ชราของผู้เฒ่าเฉิน เขาหัวเราะอย่างเป็นสุขและสงบใจ

 

วู่เหิงใจสั่นเมื่อได้เห็นคนนับหมื่นที่เป็นหนึ่งเดียว ใบหน้าของเขานิ่งไป

 

เขาสัมผัสได้ถึงจิตใจอันทรงพลังและมุ่งมั่นที่ปะทุออกมาจากคนทั้งหมื่นคนนี้ เขาไม่เคยเห็นความตั้งมั่นที่น่ากลัวแบบนี้มาก่อน! ถ้าหากมาจากคนเพียงคนเดียวก็คงจะไม่น่ากลัวนัก แต่เมื่อนับคนได้หมื่น…พวกเขาก็พร้อมที่จะทำให้ทุกคนตัวสั่น!