วู่เหิงเพิ่งจะได้คิด เขาเบิกบานใจยิ่งนักที่ซือหยูรับเขามาเป็นข้ารับใช้
เพราะถ้าวันหนึ่งเขาต้องมาเผชิญหน้ากับหนุ่มเลือดร้อนผู้นี้ เขาก็อาจจะต้องพบกับชะตาที่อยากจะเลี่ยงเสียให้ได้ เมื่อคิดเขาก็มองซือหยูด้วยความนับถือยิ่งกว่าเดิม
ทุกคนเห็นได้เลยว่าซือหยูมีพรสวรรค์เพียงใด เขาชักจูงให้กลุ่มคนที่เพิ่งจะหมดหวังและพร้อมหนีได้มีพลังขึ้นมา พรสวรรค์ที่ทำให้เขาชี้นำคนนับหมื่นได้เช่นนี้จะต้องมาจากอุปนิสัยแต่เดิมของเขาเอง
คนเช่นนี้จะต้องสำเร็จอีกมากแม้แต่ในเขตกลางก็ตาม! วู่เหิงคิดกับตัวเอง เขาแอบชื่นชมซือหยู
การตอบสนองจากคนนับหมื่นทำให้ฟ้าดินสั่นคลอน ซือหยูได้กลายเป็นผู้ทรงอำนาจ เขาเหมือนกับนายพลที่ไร้เทียมทาน!
แววตาอันเปี่ยมไปด้วยพลังมองไปยังขอบนภาไร้ขอบเขต
“เอาล่ะ คนที่คิดจะรับใช้บ้านเกิดและสหายของพวกเจ้า จงตามข้ามา! เราจะใช้ความกล้าหาญฆ่าผู้รุกรานให้หมดสิ้น!”
ซือหยูตะโกนราวกับเสียงสายฟ้า
“ฆ่า!”
“ฆ่า! มัน!”
“มัน! ต้อง! ตาย!”
เสียงตะโกนเป็นหนึ่งของเหล่าผู้คนดังก้องไปหลายร้อยลี้ ท้องนภาส่งเสียงคำรามไม่หยุด เมฆาครึ้มก้อนใหญ่ได้พุ่งไปยังทวีปเหนือด้วยพลังที่แข็งแกร่ง
ที่ทวีปเหนือ หนึ่งในดินแดนที่มีตำหนักรองของอาณาจักร
เขตชายแดนนั้นมีการคุ้มกันอย่างแน่นหน้าจากทั้งสี่ทิศจากองครักษ์ชุดแดงและชุดม่วง แต่ละคนมีกระบี่คมกริบในมือ สีหน้าเคร่งขรึมของพวกเขาทำให้บรรยากาศตึงเครียด
ในตำหนัก คนของอาณาจักรสวมชุดหลากสี ทุกคนดูเร่งรีบกับการรวบรวมข้อมูล มีคนเดินเข้าออกตำหนักเพื่อรายงานผลจากการต่อสู้ตลอดเวลา
“เจ้าตำหนักหนานกวง การรบวันนี้เป็นอย่างไร?”
ในตำหนัก ชายแก่สวมชุดแดงถามอย่างเคร่งขรึม
ขณะที่เขาพูด ไฝเม็ดโตขยับขึ้นลงที่มุมปาก สตรีวัยกลางคนในชุดสีม่วงนั่งถัดจากเขา
นางไม่ได้งดงามนัก ดวงตาของนางเป็นประกาบเมื่อมองรายงานที่มาถึงอย่างต่อเนื่อง นางสนใจอยู่กับหน้าที่ของตัวเอง
“ผู้ตรวจการไป่หยุน โปรดให้ข้าได้จัดการข้อมูลเถอะ”
นางเงยหน้าไปสบตาเขาก่อนจะก้มลงไปดูรายงานตามเดิม
ชายแก่ชุดแดงที่มีไฝตรงมุมปากคือผู้ตรวจการของอาณาจักรทมิฬ เขาทำหน้าที่ตรวจสอบตำหนักรองทั้งสี่ของอาณาจักร
“ก็ได้ เจ้าอ่านให้ละเอียด ถ้าเจอข้อมูลใหม่ให้รายงานข้าทันที”
ผู้ตรวจการไป่หยุนนั่งลงราวกับเป็นขุนพลคนสำคัญ
เจ้าตำหนักหนานกวงขมวดคิ้วเบาๆ เพราะนางรู้ว่าผู้ตรวจการไป่หยุนไม่พอใจกับผลงานของนาง แต่การต่อสู้นั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยากที่นางจะทำให้ผู้ตรวจการพอใจได้
“ค่ะ”
หนานกวงตอบอย่างเรียบเฉยและก้มลงอ่านรายงานอีกครั้ง เพราะนางต้องวางแผนการรบ
แม้ผู้ตรวจการไป่หยุนจะดูใจเย็น เขาก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาลุกขึ้นหลังจากนั่งได้ไม่นานและยืนมือไพล่หลังมองออกไปภายนอก เขาดูเป็นกังวลและกระวนกระวาย
ในตอนนั้นเอง มีคนตะโกน
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
หนานกวงเป็นคนตะโกน นางเงยหน้าทันที
ผู้ตรวจการไป่หยุนหันไปมองนางอย่างรวดเร็ว
“ว่ามา! มันเกิดอะไรขึ้น?”
“เกรงว่าเราจะต้องทิ้งตำหนักรองของทวีปเหนือในอีกสามวัน”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?”
ผู้ตรวจการไป่หยุนใจหาย
เจ้าตำหนักหนานกวงหยิบเอาชิ้นส่วนผ้่าขึ้นมา
“ตามข้อมูลล่าสุดที่ข้าได้ กองทัพศัตรูมาถึงดินแดนทั้งสิบของตำหนักรองแล้ว กองทัพของพวกมันจะเข้ายึดในอีกไม่นาน”
“ทำไมพวกมันมาเร็วนักเล่า? ถ้าเช่นนั้น คณะวิหคเพลิงที่รับมืออยู่ก็พลาดท่าแล้วสินะ?”
สีหน้าของผู้ตรวจการไป่หยุนเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
“เรื่องใหญ่คือกองทัพพวกมันที่เล็งคณะวิหคเพลิงมาโดยตลอดกลับเปลี่ยนเป้าหมายมาทางใต้ นั่นแสดงว่าคณะวิหคเพลิงล่มสลายแล้ว”
เจ้าตำหนักหนานกวงใจหายเช่นกัน
“คณะวิหคเพลิงควรจะได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนา พลังที่มีแข็งแกร่งจนภูติระดับสองทำลายไม่ได้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะหนอนบ่อนไส้ พวกเขาก็คงจะไม่ถูกทำลายง่ายๆแบบนี้!”
นางพูดต่อ
“ก่อนหน้านี้ พวกต่างโลกโค่นคณะวิหคตเพลิงไม่ได้แม้จะใช้เวลาเนิ่นนาน แล้วทำไมคณะวิหคเพลิงถึงล่มสลายตอนนี้เล่า? จะต้องมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นแน่!”
เจ้าตำหนักหนานกวงรู้สึกแปลกๆ
“เราควรจะถอยออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ตำหนักรองของทวีปเหนือไม่ได้แข็งแกร่งเท่าคณะวิหคเพลิง ถ้าหากมีใครมาถึงก็คงจะใช้เวลาไม่เกินครึ่งเดือนในการมาถึงกลางดินแดน พอถึงตอนนี้เราจะสูญเสียอย่างหนัก”
แต่ผู้ตรวจการไป่หยุนก็ดูจะไม่คิดว่านี่เป็นทางเลือก
“เราจะไม่ถอย! นี่เป็นคำสั่งจากตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืด!”
เขาตะโกน
เจ้าตำหนักหนานกวงชักสีหน้า
“ตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดรึ? พวกเขาตื่นขึ้นมาแล้วรึ?”
คนนอกอาจจะรู้จักแค่เจ็ดจ้าวแห่งความมืด มีน้อยคนนักที่จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืด คนที่อยู่ในตำหนักของเจ็ดจ้าวแห่งความมืดก็คือกลุ่มเจ็ดจ้าวแห่งความมืดยุคก่อนๆ
เมื่อเจ็ดจ้าวแห่งความมืดผ่านช่วงเวลาวัยหนุ่มสาว พวกเขาก็จะออกจากกลุ่มจ้าวแห่งความมืด แต่พวกเขายังมีฐานะเป็นศิษย์ของราชาจึงไม่เหมาะสมที่จะมีตำแหน่งในอาณาจักร นั่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาต่อสู้กันเองเพื่อชิงอำนาจ
เมื่อพวกเขาออกจากกลุ่มเจ็ดจ้าวแห่งความมืด พวกเขาก็จะเข้าไปในตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืด พวกเขาจะบ่มเพาะพลังอย่างปลอดภัยและไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องจากภายนอก แน่นอนว่ายกเว้นเสียแต่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น
และตอนนี้ทวีปกำลังพบกับภัยคุกคามครั้งใหญ่ ตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดในตำนานจำต้องเปิดออก ไม่มีใครรู้ว่าเจ็ดจ้าวแห่งความมืดจากยุคก่อนๆจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ทุกคนก็รู้ว่าแต่ละคนข้างในตำหนักนั้นเป็นตัวแทนผู้มีพรสวรรค์จากแต่ละยุคสมัย
โดยเฉพาะตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน ที่พลังวิญญาณของเฉินหลงเพิ่มขึ้นอย่างมาก นั่นทำให้พวกเขามีพลังมากขึ้น! แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาได้กลายเป็นภูติหรือไม่
ตลอดมา ราชาแห่งความมืดยังคงเก็บตัวไร้ข่าวคร่าว ดังนั้นตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดจึงต้องกลายเป็นกำลังหลักในการตัดสินเรื่องราวต่างๆในอาณาจักรทมิฬ
“ใช่แล้ว นี่เป็นคำสั่งจากตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืด ทวีปเหนือคือดินแดนเดียวที่เหลืออยู่ของอาณาจักรทมิฬ ที่อื่นถูกทำลายหมดแล้ว อาณาจักรทมิฬไม่เหลืออะไรแล้ว! พวกเจ้าทุกคนต้องต่อสู้จนตัวตายและห้ามถอยแม้จะอยู่ต่อหน้าศัตรู!”
ผู้ตรวจการไป่หยุนตะโกน
เจ้าตำหนักหนานกวงหน้าซีด นางขบริมฝีปากแดงด้วยความโกรธและไม่เต็มใจ นางตะโกนตอบ
“ตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดอยากจะให้พวกเรารอความตายอยู่ที่นี่ล่ะสิ!”
ผู้ตรวจการไป่หยุนขมวดคิ้วมองนาง
“หืม? เจ้ากล้าตั้งคำถามต่อตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดเรอะ? เจ้าที่เป็นเจ้าตำหนักทางใต้หลบหนีการต่อสู้ สมควรถูกโทษประหาร ตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดไว้ชีวิตเพราะเจ้าภักดีต่ออาณาจักร เจ้าเลยได้มาแทนที่หลิงเสี่ยวเทียน เจ้ามีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะความเมตตาจากตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืด ทั้งอย่างนั้นเจ้าก็ยังมีความรู้สึกไม่เต็มใจเช่นนี้เรอะ?”
ตำหนักเจ็ดจ้าวแห่งความมืดเริ่มใช้อำนาจตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนรึ? เจ้าตำหนักหนานกวงเข้าใจแล้วว่าทำไมนางจึงถูกย้ายจากใต้ขึ้นเหนือ
แต่เจ้าตำหนักหนานกวงต้องระวังตัว แต่ตอนนี้นางมิอาจพูดถึงความยากลำบากที่ทวีปเหนือต้องเจอ
หากไม่พูดถึงเรื่องการหายตัวไปของหลิงเสี่ยวเทียน ดินแดนห้าเขตในสิบที่ว่างเปล่าก็ทำให้นางปวดหัวอยู่แล้ว เจ้าตำหนักรองครึ่งหนึ่งถูกฆ่าตาย
รองเจ้าตำหนักลำดับแรกเฉินคง รองเจ้าตำหนักสองหลิวลี่ รองเจ้าตำหนักสามอังฟาง รองเจ้าตำหนักเสี่ยวกวง รองเจ้าตำหนักซางเจี้ยน ทุกคนตายหมด พวกที่เหลือคือเฟิงฉิง ซื่อเหยา ฮั่วฉีที่เป็นรองเจ้าตำหนักลำดับท้ายๆ
เรื่องที่แย่ที่สุดก็คือรองเจ้าตำหนักทุกคนถูกสังหารด้วยคนคนเดียว คนคนนี้คือรองเจ้าตำหนักที่หายตัวไป รองเจ้าตำหนักหยินหยู!
“ในปีนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะการกระทำของผู้ตรวจการไป่ฮีกับจ้าวไป่ลั่ว รองเจ้าตำหนักหยินหยูก็คงไม่หายตัวไปจนถึงวันนี้ เขาคืออัจฉริยะที่แท้จริงที่พรสวรรค์ไม่ต่ำไปกว่าเจ็ดจ้าวแห่งความมืด”
ตอนนี้ ด้วยข่าวการตายของไป่ลั่วกับเฉินยิ่ง เหตุที่เกิดขึ้นในปีก่อนๆมิใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าความจริงคืออะไร
ผู้ตรวจการไป่หยุนถาม
“แล้วจะอย่างไร? เขาก็แค่เด็กคนเดียว มันสร้างความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้หรอก”
ผู้ตรวจการไป่หยุนไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องนี้มากนัก
“หารือเรื่องที่ต้องทำตอนนี้เถอะ ไม่ว่าอะไรจะเกิด เราจะถอยไม่ได้! ยังเร็วไปสำหรับการถอย เรายังมีเวลาก่อนที่ศัตรูจะขึ้นมาจากทางใต้ ต่อให้พวกมันมาถึงแล้ว พวกมันก็ต้องใช้เวลากว่าจะมาถึงที่นี่…”
“รายงาน!”
จู่ๆก็มีเสียงดังจากภายนอก
ชายหนุ่มสวมชุดเขียวที่ดูแตกต่างจากคนส่งสารคนอื่นถือเพลิงสีฟ้ารีบปรี่เข้ามา ทหารทุกคนหลีกทางให้เขาด้วยความตกใจ
ผู้ตรววจการไป่หยุนเลิกคิ้ว
“ข้อความวิญญาณคราม นี่มันข้อความด่วนที่สุด!”
หนานกวงใจหาย
“ทำไมมันถึงถูกส่งมากัน?”
ข้อมูลแบ่งเป็นสามประเภทตามสี สีเหล่านั้นคืออำพัน มรกต และสีคราม
สีครามบ่งบอกถึงข้อมูลระดับสูงสุด สีอำพันคือข้อมูลระดับต่ำสุด มันมักจะเป็นข้อมูลสำคัญเรื่องการเคลื่อนไหวของศัตรู สีมรกตคือข้อมูลระดับกลางที่สำคัญ เช่นทิศทางการเคลื่อนไหวของศัตรู ข่าวที่มีระดับแบบนี้จะถูกเจ้าตำหนักเปิดดูได้เท่านั้น
ข้อมูลระดับสูงสุดเช่นนี้ไม่ถูกส่งมาเลยตั้งแต่ที่ทวีปเหนือถูกบุกรุก! และตอนนี้มันปรากฏขึ้นมา นั่นหมายถึงเรื่องร้ายแรงที่พวกเขากำลังจะเจอ! ผู้ตรวจการไป่หยุนกับเจ้าตำหนักหนานกวงสีหน้าแย่ลงอย่างมาก
ชายหนุ่มที่มีเพลิงในมือรีบเดินมาหาทั้งสอง เขาดูหวาดกลัวมาก เจ้าตำหนักหนานกวงรับเพลิงด้วยมือและอัดพลังชีวิตลงไป
เพลิงดับมอดลง แต่เพลิงก็แทนที่ด้วยดาราเพลิงที่วาดภาพบนกลางอากาศ ภาพแม่น้ำโลหิตได้ถูกขีดเขียนจากดาราเพลิงนั้น
ในแสงดารามีพื้นที่เต็มไปด้วยซากศพ เสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งของคนที่กำลังหนีดังออกมา มีภาพคนที่หนีด้วยน้ำตาไหลพราก
ฟึ่บ
แสงดาราได้กลายเป็นสีแดงเมื่อเหล่าเด็กๆที่หนีไม่ทันถูกบั่นคอ โลหิตของเขากระจายไปทั่วภาพแสง
ในความโกลาหล ทุกคนจะเห็นร่างชุ่มโลหิตที่หัวเราะพร้อมกับเหยียบย่ำแสงดารา จากนั้นก็เกิดเสียงแตก ม่านแสงได้แตกเป็นเสี่ยง
ภาพขุมนรกนี้ทำให้เจ้าตำหนักหนานกวงกับผู้ตรวจการไป่หยุนสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง
“นี่มันเขตเฟิงฉิง…รองเจ้าตำหนักเฟิงฉิงเพิ่งจะตายจากการต่อสู้…”
นางจดจำคนที่ถูกบั่นคอได้ นั่นคือรองเจ้าตำหนักเฟิงฉิง!
“ศัตรูมาถึงเร็วอย่างนี้ได้ยังไง?”
ผู้ตรวจการไป่หยุนตกใจ
“แต่เรายังมีเวลา เขตเฟิงฉิงอยู่ส่วนนอก ต้องใช้เวลาก่อนที่พวกมันจะมาถึงใจกลาง…”
“รายงาน!”
จากนั้นก็มีเสียงอันร้อนรนดังขึ้นมาอีกจากบนฟ้า ชายหนุ่มสวมชุดสีเขียวถือเพลิงครามในมือกำลังบินเข้ามา
“ข้อความวิญญาณคราม…”
เจ้าตำหนักหนานกวงหน้าซีดอีกครั้ง
เพลิงครามถูกส่งถึงมือนางอย่างรวดเร็ว นางมือสั่นเมื่อดับไฟและพบม่านแสงฉายภาพ
เพลิง โลหิต ซากศพ แม่น้ำโลหิต…เสียงร่ำไห้ เสียงตะโกน เสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายดังขึ้นมาอีกครั้ง
“เขตซื่อเหยา…ไปแล้ว…”
เจ้าตำหนักหนานกวงรู้สึกราวกับถูกเข็มแทงหัวใจ
ผู้ตรวจการไป่หยุนสูดหายใจเข้าลึก
“เป็นไปได้ยังไง? เขตซื่อเหยาอยู่อีกด้านของทวีป ศัตรูจะโจมตีจากสองด้านพร้อมกันได้ยังไง?”
“รายงาน!”
“รายงาน!”
มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากด้านนอกอีกสองเสียง ทุกคนชักสีหน้า นั่นก็เพราะพวกเขายังเห็นอีกหลายคนที่กำลังบินเข้ามา
มีแปดคนที่พุ่งตรงมายังพวกเขา ทั้งหมดมาด้วยรายงานด่วน…
“เขตซางเจี้ยน แตกพ่าย”
“เขตเฉินคง แตกพ่าย”
“เขตหลิวลี่ แตกพ่าย”
“เขตอังฟาง แตกพ่าย”
…
สุดท้าย เมื่อหนานกวงได้เพลิงอีกลูก มือของนางสั่นอย่างแรงจนไม่มีพลังจะมองดูข้อความภายใน แปดในสิบเขตถูกทำลายพร้อมกัน!