บทที่ 350.1 ลำคลองหมายเหอได้รับแต่งตั้งสายสืบทอดดั้งเดิม ยืมดาบศาลบู๊ วานรขาวสะพายกระบี่ ProjectZyphon
สตรีร่างเล็กเตี้ยสวมชุดหรูหราดั่งฮูหยินตราตั้งคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ริมลำคลองหมายเหอแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
เมื่อตบะและขอบเขตของนางไต่ทะยานอย่างรวดเร็ว เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอจึงสามารถควบคุมชะตาสายน้ำสองริมฝั่งได้อย่างคล่องแคล่วถนัดมือมากขึ้น นี่ก็เหมือนขุนพลฝ่ายบู๊ที่บุกเบิกพื้นที่ ที่ใดที่กีบม้าควบไปถึงล้วนเป็นผืนแผ่นดินของบ้านเมือง
เดิมทีลำคลองหมายเหอก็เป็นลำคลองใหญ่เส้นหนึ่งที่แทบจะทอดขวางกินพื้นที่เกินครึ่งตั้งแต่ตะวันออกจรดตะวันตกของราชวงศ์ต้าเฉวียนอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้อาศัยการหลอมอาวุธชิ้นหนึ่งจึงพอจะฝืนประคับประคองพลังอำนาจของลำคลองหมายเหอเอาไว้ได้ เมื่อนางเผชิญหน้ากับการก่อกวนจากปีศาจลำคลองที่ยังไม่เป็นขอบเขตโอสถทองตนหนึ่งก็ถือว่ากินแรงมากแล้ว หากบุ่มบ่ามเลื่อนจวนปี้โหยวเป็นตำหนักปี้โหยว อีกทั้งราชสำนักยังไม่ยินดีมอบโชคชะตาแคว้นส่วนหนึ่ง แล้วสั่งให้ผู้ฝึกตนของกองโหราศาสตร์เอามาใส่ไว้ในศาลเทพวารี
นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เจ้าแม่เทพวารีท่านนี้ไม่ยอมตอบรับข้อเสนอ เพราะหากป้ายหน้าจวนเปลี่ยนเป็นตำหนักปี้โหยวขึ้นมา คนจากสี่ด้านแปดทิศล้วนต้องอิจฉาตาร้อนและปรารถนาอยากครอบครอง ไม่แน่ว่าป้ายคำว่าจวนและตำหนักสองแผ่นนั้นอาจถูกคนเอามาเผาทำเป็นฟืนในวันนั้นเลยก็เป็นได้
นางเกิดมามีนิสัยโผงผาง ฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดง่ายก็จริง แต่การที่นางสามารถบัญชาการณ์ลำคลองหมายเหอมานานหลายร้อยปี โชควาสนาทุกอย่างล้วนถูกนางกุมไว้ในกำมืออย่างมั่นคง แน่นอนว่านางย่อมไม่ใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา
นางทรุดตัวลงนั่งยอง วักน้ำกอบหนึ่งมาจากลำคลองหมายเหอ ภายใต้แสงจันทร์ น้ำที่อยู่ในฝ่ามือมีริ้วกระเพื่อมเบาๆ เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ปราณวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกเยอะมาก
ก่อนจะไปเยือนจุดพักม้า ตอนแรกก็เป็นแก่นควันธูปจำนวนมากที่ศาลเทพวารีรับไหวไม่ไหวจึงไหลรินย้อนกลับทะลักเข้าไปในศาล แก่นควันธูปที่เดิมทีเป็นสีเงินยวงกลับเปลี่ยนเป็นสีทองอ่อนจาง แต่ละเส้นล่องลอยเข้าไปหารูปปั้นร่างทองที่อยู่ในตำหนักหลัก คำว่าร่างทองนี้ ไม่ใช่ว่าช่างทำรูปปั้นใช้การหล่อทองหรือชุบทอง แต่เป็นรากฐานแห่งวิถีเทพของเทพวารี คือการแสดงออกของมหามรรคาอย่างหนึ่ง ควันธูปเข้มข้นสีทองอ่อนเหล่านั้นค่อยๆ รมไปทั่วเทวรูปร่างทองที่ตั้งอยู่บนแท่นบูชา บนวิถีแห่งเทพ นี่เรียกว่าการ ‘เดินทอง’ ภาพปรากฎการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์สองอย่างเท่านั้น หนึ่งคือผู้ฝึกตนของกองโหราศาสตร์ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ให้ใช้พู่กันพระราชทานด้ามหนึ่งแต้มทองวาดลายลงไปบนร่างทองขององค์เทพบางองค์ ส่วนใหญ่แล้วจะแค่ ‘แต่งแต้มหลายครั้ง’ เท่านั้น และยังมีอีกสถานการณ์หนึ่งคืออริยะลัทธิขงจื๊อ ‘ชี้นำแม่น้ำและภูเขา’ อีกทั้งอริยะลัทธิขงจื๊อที่ว่านี้อย่างน้อยก็ต้องเป็นพวกเจ้าขุนเขาของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา
นอกจากศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอจะได้รับโชควาสนายิ่งใหญ่ไม่คาดฝันนี้แล้ว โชคชะตาสายน้ำของจวนปี้โหยวก็ยิ่งพุ่งทะยาน เมฆมงคลมารวมตัวกันลอยอยู่เหนือศีรษะ
จนสถานที่แห่งนี้แทบจะกลายเป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลในการฝึกตนแห่งหนึ่งแล้ว
การกระทำเช่นนี้ถูกมองว่าเป็นการได้รับแต่งตั้งให้เป็นสายสืบทอดดั้งเดิม!
คือการได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้สืบทอดดั้งเดิมจากฟ้าดินที่กว้างใหญ่อย่างแท้จริง!
ต่อให้เจ้าแม่เทพวารีเป็นคนไม่ละเอียดรอบคอบแค่ไหนก็รู้ว่าพระคุณยิ่งใหญ่ที่มาเยือนโดยที่นางไม่ทันตั้งตัวนี้ไม่เป็นรองจากครั้งแรกที่อาจารย์น้อยเฉินถ่ายทอดความรู้ไขข้อข้องใจให้นางเลย
แม้ตอนอยู่จุดพักม้าจะพูดล้อเล่นว่าจะใช้ร่างกายตอบแทน แต่การที่นางพูดเช่นนี้ อันที่จริงก็เป็นเพราะนางไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนอย่างไร
แผ่นหยกชิ้นนั้น แท้จริงแล้วคือสมบัติพิทักษ์จวนปี้โหยวของนางแล้ว
ในยุคบรรพกาล ลำคลองหมายเหอเคยเป็นหนึ่งในสามลำน้ำหลักสายใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทรของใบถงทวีป ภายหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นมหาสมุทรกลายเป็นผืนนา แม่น้ำลำคลองกลายเป็นถนน การสั่งสมตกตะกอน การอุดตันขัดขวาง ฯลฯ ยิ่งนานขนาดของลำน้ำใหญ่ก็เล็กลงเรื่อยๆ สุดท้ายจึงเหลือแค่ช่วงหนึ่งซึ่งก็คือลำคลองหมายเหอแห่งนี้ ในอดีตจวนปี้โหยวคือซากปรักของ ‘วังมังกรในแม่น้ำลำคลอง’ แห่งหนึ่ง ส่วนแผ่นหยกชิ้นนั้นก็คือสมบัติล้ำค่าที่นางหาเจอจากซักปรักของวังมังกร ผ่านมาหมื่นปีสีสันของมันก็ไม่แปรเปลี่ยน เพราะเกิดจากการรวมตัวกันของแก่นแม่น้ำลำคลองที่กลายเป็นสิ่งของจับต้องได้จริง ยิ่งเป็นรูปธรรมของโชคชะตาแห่งสายน้ำของฟ้าดินแถบหนึ่ง จากนั้นจึงถูกราชามังกรเฒ่าเอามาหล่อหลอมเป็นแผ่นหยก คิดดูแล้วในยุคโบราณอันห่างไกลที่วังมังกรยังคงดำรงอยู่นั้น แผ่นหยกชิ้นนี้ก็น่าจะเป็นของรักที่ราชามังกรเก็บไว้ติดตัวอยู่เสมอ
นางบอกเฉินผิงอันว่าหลังจากจดจำคาถาเต๋าตระกูลเซียนบทนั้นได้แล้วให้รีบทำลายแผ่นหยกทิ้งทันที อันที่จริงก็แค่คิดอยากจะหยอกล้อเขาเท่านั้น
เพราะเว้นเสียจากว่าเฉินผิงอันเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตบนเท่านั้น ถึงจะมีความสามารถทำลายแผ่นหยกนั้นได้
แต่การที่จะหล่อหลอมมันให้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ในเมื่อได้ครอบครองคาถาเต๋าที่ ‘หนึ่งก้าวกลายเป็นเซียน’ บทนั้นแล้ว นางเชื่อว่าขอแค่เฉินผิงอันตั้งใจ ย่อมมีความหวังไม่น้อยแน่นอน
นางเดินหนึ่งก้าวเข้าไปในลำคลองหมายเหอ เดินไปบนผิวน้ำ ประหนึ่งเทพธิดาที่ถูกกล่าวถึงในนิทานเรื่องประหลาด
ข้อบกพร่องเดียวในความสมบูรณ์แบบก็คือปีศาจลำคลองตนนั้นต้องสมคบคิดกับเทพภูเขาบางคนที่อยู่ใกล้เคียง แอบขึ้นฝั่งแล้วไปหลบซ่อนตัวในภูเขาบางแห่งแล้ว ถึงได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เจ้าแม่เทพวารีทิ้งตัวหงายไปด้านหลัง นอนอยู่บนผิวน้ำทั้งอย่างนั้น ปล่อยให้ร่างของตัวเองล่องลอยไปตามกระแสน้ำตอนล่าง
ผีพรายที่ตายเพราะจมน้ำติดตามเจ้าแม่เทพวารีท่านนี้ล่องลอยไปยังศาลเทพวารีเป็นขบวนใหญ่อยู่ใต้น้ำ
นางพลันยกมือกุมหน้า ท่าทางเขินอายไม่กล้าสู้หน้าคน “คำพูดน่าอายแบบนั้น คุณหนูในห้องหอตระกูลใหญ่คนใดจะกล้าพูดกันเล่า”
ยังดีที่เพียงไม่นานความฮึกเหิมของนางก็กลับมา นางลุกขึ้นนั่ง กล่าวอย่างลิงโลดว่า “รีบให้คนไปเชิญช่างที่เมืองเซิ่นจิ่งมาสร้างเทวรูปอันใหม่! คนงามเพราะแต่ง เทพงามเพราะเครื่องประดับทอง! ส่วนเว้าส่วนโค้งตรงหน้าอกเทวรูปให้นูนเด่นเกินจริงสักหน่อย ส่วนขาก็สามารถยาวได้อีกนิด!”
ผีพรายที่มีสติปัญญาบางส่วนซึ่งล่องลอยอยู่ใต้น้ำเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ ไม่นึกเลยว่าในโลกนี้จะมี…เจ้าแม่เทพวารีที่น่าสนใจขนาดนี้
……
เส้นทางขึ้นเหนือของขบวนตระกูลเหยาพบเจอเรื่องที่ชวนให้คนไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีอยู่หลายครั้ง
ผู้กล้าในยุทธภพคนหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงพกทวนแปดอัญมณีขนาดเล็กกะทัดรัดที่ทำจากเหล็กอันหนึ่งมาเยือนด้วยความเลื่อมใส บอกว่าต้องการมาขอความรู้วิชาทวนที่เลื่องลือไปทั่วชายแดนจากตระกูลเหยา
คนผู้นี้เรียกสหายมาด้วยอีกสิบกว่าคน พวกเขาหยุดม้าอยู่บนทางหลวงอย่างพร้อมเพรียงกัน เขานั่งอยู่บนหลังม้าสูง หมุนควงทวนแสดงทักษะลูกเล่นให้ดูหนึ่งรอบ จะบอกว่าเขามีฝีมือแค่งูๆ ปลาๆ ก็ไม่ได้ ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองขั้นสาม ฝึกฝนมาหลายสิบปีย่อมต้องมีฝีมืออยู่บ้าง เพียงแต่ว่าการประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้ในยุทธภพแบบนี้ เมื่อเทียบกับวิชาทวนเหล็กของตระกูลเหยาแล้วย่อมอยู่กันคนละชั้น เพียงแค่ชั่วพริบตา ฝ่ายหลังก็สามารถแบ่งผลรู้เป็นรู้ตายได้แล้ว
ตอนนั้นเหยาเจิ้นนั่งอ่านตำราพิชัยยุทธ์อยู่ในห้องโดยสารรถม้า เขาแค่รู้สึกว่าน่าขำ ไม่ได้ถือสาเหล่าชายชาตรีในยุทธภพที่อยากมีชื่อเสียงจนบ้าคลั่งเหล่านี้ เหยาจิ้นจือออกคำสั่งคำเดียว กองทัพม้าตระกูลเหยาก็ปลดธนูเบาลงอย่างเงียบเชียบ ทำเอาคนกลุ่มนั้นตกใจรีบเผ่นหนีออกไปจากถนนทางหลวง รอจนขบวนเดินทางตระกูลเหยาจากไปไกลแล้วถึงได้กล้าพูดจ้อไม่หยุด บ่นว่ากองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาเป็นแค่หมอนปักลายบุปผา มีแต่ชื่อเสียงจอมปลอม ขนาดความมั่นใจในการประลองวิชาทวนให้รู้กันว่าสูงหรือต่ำก็ยังไม่มี
ผลกลับกลายเป็นว่าวันนั้นคนกลุ่มนี้ถูกทางการจับกุมตัว เหล่าพี่น้องที่ร่วมความทุกข์ยากกันมาจึงต้องกินข้าวแดงร่วมกันจนอิ่ม
ภายหลังมีผู้ตนอิสระห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง อายุไม่มาก ประมาณยี่สิบปี พยายามที่จะขอมาเป็นข้ารับใช้ผู้ติดตามตระกูลเหยาให้ได้ แต่กลับไม่กล้าสร้างเรื่อง เขาบอกประวัติความเป็นมาของตัวเองคร่าวๆ รวมไปถึงคุยโวถึงวิชาเซียนที่ตัวเองเชี่ยวชาญอย่างเหมาะสม จากนั้นจึงคุกเข่าอยู่นอกโรงเตี๊ยมของจุดพักม้า แทะแผ่นแป้งแห้ง ดื่มเหล้าชั้นเลว รอฟังการจัดการจากตระกูลเหยา เหยาเจิ้นให้คนนำเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาให้เขา ผู้ฝึกตนอิสระหน้าแดงด้วยความอับอาย แต่ก็ยังรับเงินแล้วจากไป
ยิ่งขยับเข้าใกล้เมืองเซิ่นจิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ ข่าวที่เหยาเจิ้นเดินทางมารับตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหมก็แพร่ไปทั่วราชสำนักเร็วขึ้นเท่านั้น
จากนั้นก็มีผู้ฝึกตนสำนักการทหารท่าทางตกอับคนหนึ่ง เขากำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ ร่างกายกำยำล่ำสัน มาขวางทางขบวนเดินทาง ป่าวประกาศว่าขอแค่ตระกูลเหยามีคนที่เอาชนะเขาได้ เขาจะไสหัวจากไปทันที จากนั้นเส้ายวนหรานลงมือทีเดียว เขาก็ต้องไสหัวไปทันใด
สิ่งที่ดึงดูดความสงสัยใคร่รู้ของขบวนเดินทางตระกูลเหยาได้จริงคือสองเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเทพภูเขาลงน้ำ และเทพวารีขึ้นภูเขา
เพียงแต่ว่าเทพแห่งภูเขาและแม่น้ำสองท่านนี้ไม่อาจเทียบเคียงกับระดับขั้นของเทพวารีหมายเหอได้ คือองค์เทพของท้องถิ่นในระดับปลายแถวที่สุด เทพภูเขาผู้นั้นดูแลพื้นที่ในรัศมีร้อยลี้ ส่วนเทพวารีคือพ่อปู่ลำคลองที่รับผิดชอบดูแลลำคลองเส้นหนึ่งที่ยาวสองร้อยลี้ ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเพื่อนบ้านกัน ความสัมพันธ์ไม่ถือว่าปรองดอง มักจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นเสมอ เพียงแต่ว่าในอดีตเป็นเพียงแค่การทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ แค่ด่าฝ่ายตรงข้ามข้ามเขตชายแดนของภูเขาและลำน้ำไปเท่านั้น แต่ผลกลับกลายเป็นว่าช่วงที่ผ่านมานี้ เป็นเพราะผู้มีจิตศรัทธาคนสำคัญคนหนึ่งเปลี่ยนสถานที่จุดธูปจากศาลเทพภูเขาไปที่ศาลเทพวารี นั่นเกี่ยวพันกับว่าเงินอย่างน้อยหนึ่งแสนตำลึงของทุกปีจะเข้ากระเป๋าของใคร เทพภูเขาน้อยจึงบอกให้เทพเจ้าที่คนหนึ่งที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาแอบไปเกลี้ยกล่อมให้ผู้มีจิตศรัทธาคนนั้นเปลี่ยนใจ คาดไม่ถึงว่าพ่อปู่ลำคลองจะมาเจอเข้าพอดี จึงเล่นงานเทพเจ้าที่เสียจนหน้าตาเปรอะเปื้อนมอมแมม ด้วยความโมโห เทพภูเขาจึงพกขวานคู่สองเล่มใหญ่ข้ามอาณาเขตไปยังลำคลอง พวกเขาต่อสู้กันจนน้ำในลำคลองหลายสิบลี้เกิดคลื่นลูกยักษ์ถาโถม ชาวบ้านแตกตื่นฮือฮา เทพวารีหรือจะยอมเสียหน้า หอบหุ้มเอาน้ำในลำคลองไหลย้อนกลับขึ้นไปบนภูเขา จู่โจมเข้าใส่ศาลเทพภูเขาโดยตรง
ตอนนั้นขบวนเดินทางตระกูลเหยากำลังเร่งเดินทางอยู่ริมลำคลองพอดี ข้ารับใช้จักรพรรดิสองคนและผู้ฝึกตนติดตามกองทัพจึงคุ้มครองเหยาเจิ้นและสามเหยาไปชมเรื่องสนุก
เฉินผิงอันเองก็ติดตามพวกเขาไปด้วย คนฝ่ายเขามีแค่เผยเฉียนกับจูเหลี่ยนที่ตามมา
ดังนั้นจึงได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่พ่อปู่ลำคลองกระทำการรุนแรงบีบคั้นศาลเทพภูเขาอย่างดุดัน
ทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่าสังหารกันอยู่พักหนึ่ง เทพภูเขาได้เปรียบทางด้านชัยภูมิ โจมตีให้พ่อปู่ลำคลองถอยร่นกลับลงไปในน้ำ พ่อปู่ลำคลองจึงบังคับมวลน้ำข้นคลั่กมาเอาคืน ยิ่งสู้ก็ยิ่งห้าวหาญ
เจ้ามาข้าไป ต่างคนต่างร่ายวิชาอภินิหาร ยอดเขางดงามแห่งหนึ่งถูกน้ำท่วมกลบทับจนเละเทะ ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนหักโค่นล้มระเนระนาด
นอกสนามรบ เทพเจ้าที่และภูตผีปีศาจบนภูเขา พลทหารกุ้งหอยปูปลาริมลำคลองและผีพรายข้ารับใช้ต่างก็โบกธงร้องตะโกน แต่ละคนแผดเสียงจนแหบแห้ง มองดูเหมือนจะเหนื่อยกว่าคนที่ต่อสู้กันบนภูเขาด้วยซ้ำ อีกทั้งต่างฝ่ายยังงัดข้อกันเอง ริมลำคลองเอากลองใหญ่หนังกลองสีแดงออกมาตั้ง ลั่นกลองเพิ่มบารมีให้แก่นายท่านพ่อปู่ลำคลองของตน เสียงกลองดังปานเสียงฟ้าผ่า บนภูเขาก็รีบย้ายธงสูงหลายจั้งผืนหนึ่งออกมาโบกสะบัดเต็มแรง ส่งเสียงดังฟึ่บฟั่บ
เส้ายวนหรานยืนอยู่ข้างกายเหยาจิ้นจือ ช่วยนางอธิบายเรื่องวงในเกี่ยวกับองค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำ ถ้อยคำที่เลือกใช้ชวนฟัง เด็กสาวเหยาหลิ่งจือที่อยู่ด้านข้างฟังอย่างเพลิดเพลิน เพียงแต่ไม่รู้ว่าพี่หญิงเหยาจิ้นจือที่อยู่ใต้ผ้าคลุมหน้าจะคิดอย่างไร
เผยเฉียนรีบวิ่งไปเก็บปลาที่ดิ้นกระแด่วๆ อยู่ตรงริมฝั่งขึ้นมา แบบนี้สบายกว่าตกปลาเองเยอะเลย
เรื่องวุ่นวายในครั้งนี้ถูกระงับด้วยฝีมือของเทพอภิบาลเมืองในเขตการปกครองที่ทะยานลมมาเยือนด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ เขาหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ ด่าองค์เทพทั้งสองท่านเสียจนไม่เหลือชิ้นดี
ชุดขุนนางที่เทพอภิบาลเมืองท่านนี้สวมใส่เป็นชุดที่กรมพิธีการต้าเฉวียนตัดเย็บให้เป็นพิเศษ ลายปักด้านหน้าและด้านหลังเหมือนชุดขุนนางของโลกมนุษย์ แต่จะเป็นระดับขั้นไหนก็อยู่ที่ว่าเป็นลายอะไร เพียงแต่ชุดขุนนางของเทพอภิบาลเมืองนั้นจะเป็นสีดำทั้งหมด นี่มีความหมายว่ากษัตริย์ในโลกมนุษย์ได้เดินทางไปเยือนโลกมืด พันธนาการพวกภูตผีปีศาจมากมายที่ออกมาในยามค่ำคืน เมื่อเทียบกับศาลเถื่อนที่กระจายอยู่หลายพื้นที่ใต้หล้า ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดอย่างห้ามไม่ได้แล้ว เทพอภิบาลเมืองจำเป็นต้องได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนัก อีกทั้งยังแทบจะไม่มีสถานการณ์ที่ ‘ได้มาโดยมิชอบ’ ดำรงอยู่ ไม่ว่าแซ่ใดที่เป็นผู้ครองแคว้น สำหรับเทพอภิบาลเมืองที่จำเป็นต้องตั้งรกรากอยู่ในเมืองแล้วล้วนควบคุมได้ง่ายที่สุด อีกทั้งเทพอภิบาลเมืองยังมีความจงรักภักดีต่อราชสำนักมาตั้งแต่ถือกำเนิด
เฉินผิงอันมองความวุ่นวายในภูเขาและแม่น้ำแถบนี้ด้วยหัวใจที่สงบนิ่ง
เมื่อเทียบกับสิ่งที่ตนพบเห็นและได้ยินมาจากการหาประสบการณ์ในเมืองเล็กหลงเฉวียนและระหว่างการเดินทางสองครั้งแล้ว เหตุการณ์ตรงนี้ก็เป็นแค่การทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ เท่านั้น ไม่อาจพูดได้ว่าตลก เพียงแต่ว่าเขาไม่มีความรู้สึกเหมือนตอนที่เดินขึ้นภูเขาพีอวิ๋นของบ้านเกิดเป็นครั้งแรกแล้วเห็นได้ภาพภูเขาและแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่
จูเหลี่ยนยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ในบรรดาข้ารับใช้ทั้งสี่คน คนตระกูลเหยามีความประทับใจต่อคนผู้นี้อย่างลึกล้ำ เพราะเมื่อเทียบกับอีกสามคนที่เหลือ ผู้เฒ่าหลังค่อมคนนี้เหมือนผู้ติดตามคนหนึ่งจริงๆ บวกกับที่ทุกคนต่างก็เคยได้เห็นและได้ยินผลงานของคนทั้งสี่ที่เปิดฉากเข่นฆ่าในโรงเตี๊ยม จึงพอจะรู้ว่าหญิงสาวงามเลิศล้ำที่สะพายกระบี่คนนั้นคือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ท่านหลูที่บุคลิกองอาจห้าวหาญคือปรมาจารย์ในการใช้ดาบ เว่ยเซี่ยนผู้เงียบขรึมคือหนึ่งบุรุษที่ตั้งตนเป็นด่านหน้า ขัดขวางการโจมตีจากกลุ่มผู้ฝึกลมปราณของราชวงศ์ ส่วนตาเฒ่าหน้าตาใจดีคนนี้กลับลงมือได้อย่างเหี้ยมโหดที่สุด ในขณะที่ศึกใหญ่ปิดฉากลง บนพื้นรอบตำแหน่งที่ผู้เฒ่ายืนอยู่ล้วนมีแต่เศษซากโครงกระดูก
จูเหลี่ยนไม่ได้หันไปมองเฉินผิงอัน
ในหลายๆ ครั้ง ใจคนไม่จำเป็นต้องใช้ตามอง
จูเหลี่ยนยิ่งรู้สึกสนใจใคร่รู้ในเขตการปกครองหลงเฉวียนแห่งนั้น รวมไปถึงถ้ำสวรรค์หลีจูก่อนหน้าที่จะมาเป็นเขตการปกครองหลงเฉวียนว่าเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบแบบใดกันแน่ ถึงได้สามารถทำให้เฉินผิงอันที่อายุน้อยแค่นี้กลายมาเป็นเหมือนคนที่ผ่านคลื่นมรสุมครั้งใหญ่ในโลกมนุษย์มานาน จนยากที่จะเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมไหวในจิตใจได้อีก
อายุน้อยๆ แต่หัวใจกลับนิ่งสนิทดุจบ่อน้ำเก่าแก่
นี่ย่อมทำให้เขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าแก่เกินวัย มีกลอุบายลึกล้ำอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่จูเหลี่ยนกลับไม่คิดอย่างนี้ เฉินผิงอันที่พร้อมจะทำความดีกับผู้อื่นในทุกเรื่องกลับมอบความรู้สึกที่คลุมเครือเลือนรางให้แก่เขา ราวกับว่าในจุดลึกของบ่อน้ำโบราณซึ่งเป็นสภาพจิตใจของเฉินผิงอันนั้นมีเจียวหลงที่ชั่วร้ายตัวหนึ่งแหวกว่ายให้เห็นเงาร่างผลุบโผล่
เพียงแต่ว่าเจียวหลงที่ไม่มีใครรู้จักตัวนี้น่าจะถูกพันธนาการจากกฎเกณฑ์พิธีการ และการแบ่งแยกความดีความเลวอยู่ใต้บ่ออย่างแน่นหนา ต่อให้อยากจะลอยขึ้นมาสู่ผิวน้ำ แต่แค่โผล่หัวขึ้นมาก็ยังทำไม่ได้
จูเหลี่ยนไม่กล้าคาดเดาเรื่องอื่น แต่แน่ใจในเรื่องหนึ่ง จุดลึกในหัวใจของเฉินผิงอันต้องมีความยึดมั่นที่ยิ่งใหญ่มากซึ่งเขาวางไม่ลงอยู่สองอย่าง
—–