บทที่ 350.2 ลำคลองหมายเหอได้รับแต่งตั้งสายสืบทอดดั้งเดิม ยืมดาบศาลบู๊ วานรขาวสะพายกระบี่ ProjectZyphon
ทะยานเมฆหลายร้อยลี้เดินทางมาห้ามปรามคนทะเลาะกันครั้งนี้ทำให้เทพอภิบาลเมืองเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ อารมณ์กำลังย่ำแย่สุดขีด ใจนึกอยากจะกระทืบทั้งศาลพ่อปู่ลำคลองและศาลเทพภูเขาให้พังราบเป็นหน้ากลองไปตามๆ กัน
เรื่องที่เทพภูเขาและแม่น้ำต่างก็ข้ามเขตแดนบุกไปยังเขตของผู้อื่นโดยพลการเป็นเรื่องที่อ่อนไหวอย่างมาก หากมีคนเอาไปฟ้องที่ว่าการกรมพิธีการของเมืองหลวง จุดจบของเทพอภิบาลเมืองอย่างเขาที่นั่งอยู่ในบ้าน หายนะกลับร่วงจากฟ้ามาเยือนนี้ย่อมไม่ได้ดีไปกว่าเจ้าโง่ที่ไม่รู้หนักเบาทั้งสองคนนั้นสักเท่าไหร่
เทพอภิบาลเมืองมองเจ้าสารเลวทั้งสองที่ตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวกลับจวนไป มองเห็นคนของตระกูลเหยาที่อยู่ริมลำคลอง ร่ายวิชาดูลมปราณแค่ครั้งเดียวก็รู้สึกบาดตา ในใจสั่นสะท้าน คิดจะพลิ้วกายลงไปหยั่งเชิงตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย เพียงแต่ว่าข้ารับใช้ของคนเหล่านั้นช่างไร้มารยาทยิ่งนัก ผู้ฝึกลมปราณสองคนถึงกับชักดาบออกมาโดยตรง ประกาศว่าห้ามเข้าใกล้ ไม่อย่างนั้นจะมองเป็นการลอบสังหาร เทพอภิบาลเมืองโมโหจนแทบจะเรียกองค์เทพใต้บังคับบัญชาสองคนนั้นกลับมาเล่นงานต่อ โชคดีที่ได้รับควันธูปมานานหลายปี ยังพอจะมีความสามารถในการควบคุมอารมณ์อยู่บ้าง สุดท้ายจึงได้แต่จดจำใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยเหล่านั้นไว้จนขึ้นใจ แล้วกลับไปยังเขตการปกครองของตนเองด้วยสีหน้ามืดทะมึน
ระหว่างที่ขบวนใหญ่เดินทางย้อนกลับมา เหยาเจิ้นขยับมาอยู่ข้างกายเหยาจิ้นจือ เอ่ยถามเสียงเบาว่า “เหตุใดถึงไม่รับน้ำใจคนอื่นขนาดนี้?”
เหยาจิ้นจือกล่าวอย่างจนใจ “การเข้าร่วมงานเลี้ยงกับพวกขุนนางท้องถิ่นตลอดทางที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่หากเกี่ยวพันไปถึงเทพอภิบาลเมืองและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะยิ่งอธิบายได้ยาก ท่านปู่คงไม่อยากให้ยังไม่ทันไปถึงเมืองเซิ่นจิ่งก็ถูกขุนนางทัดทานของหกกรมถวายฎีกาอย่างลับๆ แล้วกระมัง? ต่อให้ฮ่องเต้จะเห็นเป็นเรื่องตลก แต่ทว่าตั้งแต่วงการขุนนางไปจนถึงพวกชาวบ้านจะต้องเกิดคลื่นลมมรสุมขึ้นอีกระลอกหนึ่งแน่นอน ถ้าเช่นนั้นใต้หล้ามีใครบ้างที่ไม่ชอบดูเรื่องสนุก? พวกเราเดินทางมาครั้งนี้ก็ไม่ใช่เพราะมาชมเรื่องสนุกหรอกหรือ? ยังจะต้องสนใจด้วยหรือว่าเทพภูเขาและพ่อปู่ลำคลองสองท่านนั้นใครถูกใครผิด?”
เหยาเจิ้นคิดตามนิดเดียวก็กระจ่าง แล้วก็รู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ในใจแม่ทัพผู้เฒ่ารู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง หากเหยาจิ้นจือเป็นผู้ชาย ให้นางอยู่ต่อที่ชายแดน เขาก็วางใจแล้ว
เผยเฉียนเก็บปลาแม่น้ำมาได้กองใหญ่ ผลคือเฉินผิงอันไม่ยอมรับไว้ นางจึงได้แต่จับหางปลาแล้วทยอยขว้างลงไปในลำคลองทีละตัว ทำเอานางเหนื่อยจนเหงื่อแตกเต็มหลัง
มาถึงเมืองฉีเฮ้อที่เป็นทั้งเขตการปกครองและเป็นมณฑลแห่งหนึ่งก็ถือว่าอยู่ใกล้กับเมืองหลวงต้าเฉวียนในระยะประชิดแล้ว
เขตการปกครองแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ชื่อของเขตการปกครองมาจากตำนานเล่าลือว่ามียอดฝีมือผู้ฝึกตนท่านหนึ่งขี่นกกระเรียน (ฉีเฮ้อ ชื่อของเมือง) บินทะยานไปจากที่นี่ ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือ ในเขตการปกครองมีภูเขาลูกเล็กอยู่แห่งหนึ่งที่ทัศนียภาพไร้ซึ่งความมหัศจรรย์ใดๆ แต่เพียงเพราะเป็นสถานที่ที่เซียนผู้นั้นขี่กระเรียนบินทะยาน ทุกปีจึงมีนักประพันธ์และปัญญาชนจำนวนนับไม่ถ้วนเดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ บริเวณโดยรอบภูเขาล้วนเป็นเรือนพักที่คนมีเงินและมีอำนาจของเมืองหลวงซื้อที่ดินไว้แล้วสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นมา พื้นที่ทุกชุ่นล้วนเป็นเงินเป็นทอง
เทพอภิบาลเมืองคนก่อนหน้านี้น่าจะอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ เพียงแต่เหยาเจิ้นยังไม่ถึงขั้นต้องกริ่งเกรงเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครองแห่งหนึ่ง
เจ้ากรมพิธีการที่ควบคุมเรื่องการเคลื่อนย้าย การลดขั้นและเพิ่มขั้นของเทพอภิบาลเมืองในหนึ่งแคว้นมีระดับขั้นและเงินเดือนไม่ต่างจากเขา แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้าเฉวียนยังให้ความสำคัญกับฝ่ายบู๊ เจ้ากรมกลาโหมไม่ใช่ตำแหน่งว่างเปล่าจอมปลอมอะไร ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เป็นเก้าอี้อันดับหนึ่งที่แม่ทัพฝ่ายบู๊ทุกคนหวังจะได้นั่งยามแก่ชรา
ยังคงหยุดพักที่โรงเตี๊ยมของจุดพักม้า นี่ก็คือกฎของราชสำนัก จุดพักม้าในเมืองกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่มาก ถึงขั้นไม่เป็นรองจวนของโหวหรืออ๋องเลย เพื่อต้อนรับเหยาเจิ้น คนสนิทของจวนผู้ว่าฯ และเจ้าเมืองต่างก็วิ่งวุ่นไปเยือนจุดพักม้าอยู่หลายรอบ เก็บกวาดจุดพักม้าจนแทบจะสะอาดเอี่ยม
เรื่องมาถึงขั้นนี้ เหยาเจิ้นก็ได้แต่รับน้ำใจไว้ แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น คำที่ว่าน้ำใสเกินไปปลาก็อยู่ไม่ได้ใช้ได้ดีเป็นพิเศษในวงการขุนนาง
โดยทั่วไปแล้ว ในราชสำนักสามารถยอมรับขุนนางตงฉิน ขุนนางกังฉิน ขุนนางผู้มีความสามารถ ขุนนางผู้โง่เขลาและพวกหญ้ายอดกำแพงมากมาย มีเพียงอย่างเดียวที่ยอมรับไม่ได้ก็คือบุคคลที่เป็นดั่งอริยะผู้มีคุณธรรม
นั่นก็เหมือนการเอากระจกส่องมารมาแขวนไว้เหนือราชสำนัก ข้อบกพร่องหลากหลายชนิดของเหล่าเสาหลักแห่งแคว้นจะเปิดเผยสู่สายตาผู้คนอย่างแจ่มชัด
ในใจของแม่ทัพเฒ่าเต็มไปด้วยความปลงอนิจจัง หลักการการอยู่ร่วมกับคนบนโลกเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลานสาวเหยาจิ้นจือของเขาพูดให้ฟังตอนอายุสิบสี่สิบห้าปี
บางครั้งเหยาเจิ้นก็จะเย้ยหยันตัวเอง ตนสู้อุตส่าห์สั่งสมประสบการณ์ในชีวิตที่มาจนอายุปูนนี้ หรือจะต้องกลายเป็นหญ้าเลี้ยงม้าที่ใช้เลี้ยงม้าศึกจริงๆ?
ยังดีที่ในขบวนเดินทางมีเฉินผิงอัน
การเดินทางขึ้นเหนือของเหยาเจิ้นครั้งนี้ เขาชอบที่จะคุยเล่นกับคนหนุ่มผู้นี้ที่สุด
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันได้ประลองฝีมือกับเหยาเซียนจือตามสัญญาและให้คำชี้แนะเขาไปบ้างแล้ว เหยาเซียนจือเห็นคำพูดของเฉินผิงอันเป็นมาตรฐานหลัก ตอนที่กลับไปพูดคุยกับท่านปู่จึงรู้สึกเศร้าโศกอย่างมาก บอกว่าวรยุทธ์ที่ตนเล่าเรียนมาชั่วชีวิตนี้ล้วนไปอยู่บนร่างสุนัขหมดแล้ว เหยาเจิ้นจึงถามเขาว่า คำว่า ‘ชั่วชีวิตนี้’ ของเจ้าหมายถึงกี่ปีกันล่ะ เหยาเซียนจืออึ้งงันพูดไม่ออก ทำเอาเหยาจิ้นจือที่นั่งต้มชาอยู่ด้านข้างขำขัน แม้ว่าเหยาจิ้นจือจะเล่นหมากล้อมไม่ชนะหลูป๋ายเซี่ยง แต่เรื่องการต้มชานี้ นางถือว่ามีฝีมือระดับแคว้นเลยทีเดียว
ในสถานที่ที่มีแต่เม็ดทรายหยาบกระด้างอย่างชายแดน ตระกูลเหยาที่ชายหญิงแต่ละรุ่นล้วนเป็นวีรบุรุษผู้องอาจห้าวหาญ สามารถอบรมสั่งสอนสตรีที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และความสามารถพิเศษเช่นนี้ได้อย่างไร?
อยู่ดีๆ เหยาเซียนจือก็โพล่งประโยคหนึ่งออกมา “พี่หญิงจิ้นจือ ข้าไม่ชอบเส้ายวนหรานผู้นั้น ข้าชอบเฉินผิงอัน”
เหยาจิ้นจือยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าชอบหรือไม่ชอบ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”
เหยาเซียนจือยังจะพูดอะไรต่อ แต่กลับถูกเหยาจิ้นจือถลึงตาใส่ ทำเอาเขาตกใจจนรีบกลืนคำพูดที่มารออยู่ตรงปากกลับลงท้องไป
เหยาเจิ้นหัวเราะชอบใจอย่างไม่มีมาดเจ้าประมุขตระกูลเหยาเลยแม้แต่น้อย
เหยาจิ้นจือพูดด้วยประโยคเรียบง่ายประโยคหนึ่งว่า “ท่านปู่ หากไม่ผิดไปจากที่คาด อีกไม่นานราชสำนักจะต้องส่งทูตมาเยือนเมืองฉีเฮ้ออย่างลับๆ ถึงเวลานั้นท่านปู่ค่อยหัวเราะก็ยังไม่สาย”
คราวนี้เหยาเจิ้นหัวเราะไม่ออกแล้ว
อยู่ในวงการขุนนางที่เหมือนแช่ตัวอยู่ในบ่อย้อมสีมาหลายสิบปี กลอุบายลึกลับซับซ้อนของพวกคนที่ฝึกวิชาการใช้อำนาจอย่างเชี่ยวชาญจนกลายเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ทำให้ผู้เฒ่าปวดหัวไม่น้อยเลยจริงๆ
เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในห้องของตัวเอง ใช้ท่าจับกระบี่เสมือนจริง หลับตาจินตนาการภาพการออกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่แต่ละคนที่มีมาดแตกต่างกันออกไป
บนโต๊ะวางกระบอกไม้ไผ่ไว้อันหนึ่ง กระบอกไม้ไผ่ทำมาจากไม้ไผ่สีเขียวธรรมดาซึ่งเขาใช้มือผ่ามาจากป่าไผ่บนภูเขาเขียวระหว่างทาง
เฉินผิงอันคิดว่าจะสลักกระบอกใส่พู่กันให้เป็นของขวัญจากลา มอบให้แก่ท่านแม่ทัพผู้เฒ่าเหยา
เผยเฉียนวิ่งมาบอกว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอก เฉินผิงอันบอกให้นางไปถามหลูป๋ายเซี่ยงว่ายินดีจะพานางออกไปข้างนอกหรือไม่ หากเขาไม่ยินดี นางก็ต้องอ่านหนังสืออยู่ในห้องอย่างว่าง่าย ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันมอบตำราลัทธิขงจื๊อเล่มที่สองให้นางแล้ว เผยเฉียนท่องจำจนขึ้นใจ มีครั้งหนึ่งนางยังมาที่ห้องเฉินผิงอันด้วยสีหน้าลิงโลด บอกว่านางสามารถท่องย้อนกลับจากด้านหลังได้ด้วย เฉินผิงอันจึงหยิบตำรามา บอกให้นางลองท่องให้ฟัง นางก็ท่องตัวอักษรหนึ่งพันกว่าคำได้ไม่ผิดเลยสักคำจริงๆ จากนั้นเฉินผิงอันก็ดึงหูนาง บอกให้นางกลับห้องปิดประตูทบทวนตัวเอง พูดแค่ประโยคเดียวว่าท่องหนังสือต้องตั้งใจ เจ้าเห็นคำพูดข้าเป็นลมที่พัดผ่านหูหรือไร?
คราวนั้นเผยเฉียนกลับมาถึงห้องของตัวเองอย่างขุ่นเคือง ยืนอยู่บนเก้าอี้หลุบตาลงต่ำมองหนังสือยับๆ บนโต๊ะเล่มนั้น จับปลายคาง ขมวดคิ้วแน่น ตั้งใจ? หมายความว่าไง? ตนยังไม่ตั้งใจมากพออีกหรือ? เพื่อให้ตัวเองสามารถท่องหนังสือกลับหลังได้ตนยังใช้เวลาไปตั้งหนึ่งก้านธูปเชียวนะ นางนั่งยองลง มองชื่ออริยะปราชญ์ที่เขียนตำราผายลมสุนัขเล่มนี้แล้วจดจำเอาไว้ รอให้ตนฝึกวิชากระบี่วิชาหมัดสำเร็จเมื่อไหร่ วันหน้าจะต้องเล่นงานให้เจ้าเฒ่าสารเลวผู้นี้ร้องหาบิดามารดาเลยทีเดียว
นางลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ จึงกระโดดลงจากเก้าอี้ หยิบไม้เท้าเดินป่าที่ใช้ชีวิตพึ่งพากันและกันมานานอันนั้นขึ้นมาฟาดฟันอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากฝึกเสร็จก็โยนไม้เท้าเดินป่าทิ้ง นางพลันรู้สึกว่าตัวเองขยับเข้าใกล้การได้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งอีกนิดแล้ว อารมณ์ดีขึ้นในพริบตา จึงกระโดดฟุบลงบนเตียง กรนครอกๆ หลับสนิทไปทันที
วันนี้ได้รับคำอนุญาตจากเฉินผิงอันนางจึงวิ่งตุปัดตุเป๋ไปหาหลูป๋ายเซี่ยงที่นางแอบตั้งชื่อเล่นให้อย่างลับๆ ว่า ‘เสี่ยวป๋าย’ แต่หลูป๋ายเซี่ยงกลับกำลังเล่นหมากล้อมกับสุยโย่วเปียน บอกว่าให้รอเขาครึ่งชั่วยาม เผยเฉียนหันหน้ากลับไปมองเว่ยเซี่ยนที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ อย่างเบื่อหน่าย เขาไม่เข้าใจการเล่นหมากล้อม แค่รอให้รู้ผลแพ้ชนะเท่านั้น นางกำลังจะอ้าปากพูด เว่ยเซี่ยนที่ตาจ้องกระดานหมากล้อมเขม็งพลันเอ่ยว่าไป แล้วก็ลุกขึ้นยืน เผยเฉียนเข้าใจได้ในฉับพลัน แล้วคนทั้งสองก็ออกจากจุดพักม้าไปเดินเล่นด้วยกัน
เผยเฉียนถามด้วยรอยยิ้ม “เหล่าเว่ย ที่ตัวเจ้าพกเงินมาบ้างไหม?”
ในบรรดาคนทั้งสี่ เผยเฉียนไม่กลัวเว่ยเซียนมากที่สุด ปากคอยเรียกเขาว่าเหล่าเว่ย เว่ยเซี่ยนก็ไม่เคยทำหน้าตาไม่พอใจใส่ และในความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ
เว่ยเซี่ยนเงียบไม่ตอบ
เผยเฉียนบ่นพึม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ซื้อของเล่นสวยๆ กับของกินน่าอร่อยในถนนสายนั้นไม่ได้เลยน่ะสิ”
เว่ยเซี่ยนพลันเอ่ยขึ้นว่า “ข้าพอจะมีเงินอยู่บ้าง”
เผยเฉียนขมวดคิ้วถาม “เอามาจากไหน? ขโมยมา แย่งมา? เจ้ากับข้าแบ่งกันคนละครึ่ง แล้วข้าจะไม่บอกเฉินผิงอัน”
เว่ยเซี่ยนกล่าว “สอนวิชาหมัดให้เจ้าเด็กขาเป๋ที่โรงเตี๊ยมไปกระบวนท่าหนึ่งเลยได้เงินมาสองสามเหรียญ ช่วงนี้สอนวิชาหมัดให้เหยาเซียนจืออีกจึงได้มาอีกสิบกว่าตำลึง”
ใบหน้าเผยเฉียนเต็มไปด้วยความอิจฉา “เหล่าเว่ยเจ้าใช้ได้เลยนี่นา ไปที่ไหนก็ล้วนหาเงินได้ก้อนโต ข้อนี้ข้าต้องยอมเจ้าเลยจริงๆ”
เผยเฉียนเอาสองมือไพล่หลัง ยืดอกเดินไปข้างหน้า ไม่นานก็จุ๊ปากพูดว่า “แต่ว่านะเหล่าเว่ย การที่เจ้าหลอกเอาเงินมาจากเจ้าเป๋น้อยกลับไม่มีคุณธรรมเอาซะเลย หลอกเขาไม่สู้หลอกจิ่วเหนียง ในกระเป๋านางต่างหากที่มีเงินอย่างแท้จริง น่าเสียดายนักที่หน้าตาของเจ้าเหล่าเว่ยไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับความหล่อเหลาของพ่อข้าได้ เหล่าเว่ย เจ้าหน้าตาอัปลักษณ์ขนาดนี้ หลังจากโตมาแล้วเคยโทษพ่อแม่ของเจ้าบ้างไหม?”
ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นผู้ยิ่งใหญ่กลับถูกเด็กหญิงพูดแบบนี้ใส่ ก็นับว่าหาได้ยากที่เว่ยเซี่ยนยังคงไม่สะทกสะท้าน
บุรุษร่างเล็กเตี้ยกล่าวอย่างจริงจัง “ปีนั้นจิตรกรที่อยู่ในวังวาดภาพเหมือนให้ข้าล้วนชมว่าข้าหน้าตาหล่อเหลาองอาจ ข้ารู้สึกว่าพวกเขาพูดความจริง”
เผยเฉียนตกตะลึง “เหล่าเว่ย น้ำมันหมูบดบังใจเจ้าหรือตาพวกเขาไปงอกอยู่ที่ก้นกันแน่?”
เว่ยเซี่ยนฝึกวิชาปิดปากของตัวเองต่อไป
เมืองฉีเฮ้อไม่มีการห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาล คนร่ำรวยในเมืองที่มีมากจนนับไม่ถ้วนต่างก็เต็มใจทุ่มเงินทองจับจ่ายซื้อของ
ออกจากจุดพักม้า เลี้ยวออกจากถนนเส้นหนึ่ง หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กก็เดินเข้าไปท่ามกลางฝูงชนที่เบียดเสียดกันอย่างเนืองแน่น ในกระเป๋าของเผยเฉียนไม่มีเงินสักอีแปะเดียว แต่วางมาดราวกับว่าตรงเอวผูกเงินหมื่นกว้าน
นี่ก็ไม่แปลก เพราะขนาดหลอกให้คนวัยเดียวกันกลุ่มใหญ่ในเมืองหูเอ๋อร์ที่ไม่คุ้นเคยเชื่อสนิทใจว่านางเป็นองค์หญิงที่พลัดถิ่นฐานมาอยู่ในกลุ่มพวกชาวบ้าน สุดท้ายยังสามารถปั่นหัวหลอกพวกมือปราบที่เฉลียวฉลาดและเจ้าเล่ห์ให้พานางมาส่งกลับโรงเตี๊ยมอย่างนอบน้อม นางก็ล้วนทำสำเร็จมาแล้ว
เผยเฉียนพลันเอ่ยถาม “เหล่าเว่ย ข้ามักรู้สึกว่าสายตาที่นังผู้หญิงที่วันๆ ไม่กล้าออกไปพบเจอใครมองท่านพ่อข้าออกจะผิดปกติ”
เว่ยเซี่ยนเอ่ยอย่างเฉยเมย “หลักในการจัดการเรื่องราวของฮ่องเต้ก็คือศาสตร์ทางจิต”
เผยเฉียนไม่เข้าใจ “เจ้าพูดอะไรน่ะ?”
เว่ยเซี่ยนไม่เอ่ยอะไรอีก
เผยเฉียนเองก็ไม่ซักไซ้ถามต่อ นางกลืนน้ำลายด้วยรู้สึกอยากกิน จึงยิ้มตาหยีพูดว่า “เหล่าเว่ย ซื้อน้ำตาลปั้นให้ข้าสักไม้ได้ไหม?”
เว่ยเซี่ยนส่ายหน้า
เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เหล่าเว่ย เหตุใดเจ้าถึงเป็นคนขี้งกขนาดนี้?”
เว่ยเซี่ยนคลี่ยิ้มอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ข้าไม่ได้มีความสามารถและความอดทนเหมือนเฉินผิงอัน เลี้ยงเจ้าไม่ไหวหรอก”
เผยเฉียนมึนๆ งงๆ กล่าวอย่างน่าสงสารว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าขอยืมเงินเจ้าซื้อน้ำตาลปั้น?”
เว่ยเซี่ยนพยักหน้ารับ “คิดตามหลักดอกเบี้ยสามส่วน”
เผยเฉียนหน้านิ่วคิ้วขมวด “แม้ข้าจะรู้ว่าดอกเบี้ยสามส่วนคิดอย่างไร แต่ข้าคิดว่าช่างมันเถอะ ไม่กินก็ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่หิวตายหรอก”
แม้จะพูดอย่างนี้ แต่นางกลับวิ่งปรู๊ดไปหยุดอยู่หน้าแผงน้ำตาลปั้นอย่างรวดเร็วราวกับมีลมผุดใต้ฝ่าเท้า จากนั้นสองขาก็เหมือนมีรากงอก ให้ตายก็ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปทางไหน
เว่ยเซี่ยนจะทิ้งเผยเฉียนให้อยู่ตรงนี้คนเดียวก็ไม่ได้
หากทำเผยเฉียนหายไป คนอย่างเฉินผิงอันต้องใช้หมัดคุยกับเขาแน่
ตรงร้านน้ำตาลปั้น ผู้เฒ่าปั้นน้ำตาลอย่างคล่องแคล่วมีฝีมือ เด็กเล็กๆ จึงมายืนออกันเป็นกลุ่ม แต่ละคนเบิกตากว้างน้ำลายไหล มีผู้ใหญ่ยืนอยู่ข้างกาย แต่ละคนล้วนได้น้ำตาลปั้นในรูปแบบที่ตนเองต้องการสมใจปรารถนา
แผงลอยเป็นตู้สี่เหลี่ยมทรงยาวมีชั้นวาง ด้านล่างคืออ่างไม้ทรงกลมที่ใส่เตาไฟขนาดเล็กเอาไว้ ผู้เฒ่าใช้ช้อนใหญ่ราดน้ำตาลเหนียวหนืดสีทองอร่ามลงไป หมุนๆ วนๆ พริบตาเดียวก็กลายเป็นน้ำตาลปั้นรูปทรงต่างๆ
เว่ยเซี่ยนควักเงินซื้อมาสองไม้ เผยเฉียนจ้องน้ำตาลปั้นไม้หนึ่งในมือเว่ยเซี่ยนเขม็ง
เว่ยเซี่ยนจึงยื่นให้นาง “มอบเป็นรางวัลให้เจ้า”
น้ำเสียงนี้ราวกับจักรพรรดิประทานที่ดินบรรดาศักดิ์ขนาดใหญ่ให้แก่ขุนนางอย่างไรอย่างนั้น
เผยเฉียนยิ้มหน้าบาน “กลับไปข้าจะพูดถึงเจ้าดีๆ ต่อหน้าพ่อข้าทุกวัน ตอนนี้ข้าถือเป็นบัณฑิตครึ่งตัวแล้ว พูดคำไหนเป็นคำนั้น!”
หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กแทะน้ำตาลปั้นอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองดูแล้วไม่สะดุดตานัก
—–