ตอนที่ 627 สูญสิ้นความหวัง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 627 สูญสิ้นความหวัง

หากตอนนั้นอันหลิงเกอมิได้ออกจากเมืองหลวงเพื่อไปตามหามู่จวินฮาน ถึงอย่างไรก็ต้องเสียบุตรไปเพราะยาพิษที่ตกค้างในร่างกายอยู่ดี

เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นแผนการที่มู่เหล่าหวางเฟยวางเอาไว้แล้ว

ในที่สุดอันหลิงเกอก็หลับไปโดยมิรู้ตัว ต่อให้ในใจจะโศกเศร้าเพียงใด แต่ร่างกายก็ต้องพักผ่อน

ช่วงที่ผ่านมาอันหลิงเกอพยายามดูแลสุขภาพอย่างดี แต่เสี้ยวเวลาที่เสียบุตรไปนั้น

นางก็รู้สึกราวกับว่าได้สูญเสียเรี่ยวแรงที่มีไปจนสิ้น

เมื่อเห็นอันหลิงเกอหลับไปแล้ว ฟางหลิงซู่จึงสบายใจขึ้น

เขามองออกว่าอันหลิงเกอรักบุตรคนนี้มาก เพราะนางบอกว่าตอนนี้มู่จวินฮานจดจำนางมิได้ ดังนั้นเด็กคนนี้จึงสำคัญสำหรับทั้งสองมาก

ตอนนี้เด็กต้องตายเพราะมารดาของมู่จวินฮาน จักให้นางรับไหวได้อย่างไร

มิเพียงแต่นางจะรับไม่ไหว แม้แต่ฟางหลิงซู่ก็ยังรู้สึกโกรธแค้นมู่เหล่าหวางเฟยด้วยเช่นกัน

กล้าทำร้ายคนสำคัญของเขาเช่นนี้ ต่อให้เรื่องนี้เขามีส่วนเกี่ยวข้องก็เถิด !

เรื่องของรุ่นพ่อแม่ก็มิควรดึงคนรุ่นลูกไปข้องเกี่ยวด้วย

มู่เหล่าหวางเฟยมิเข้าใจในข้อนี้แม้แต่น้อย

เช้าวันที่สอง อันหลิงเกอตื่นขึ้นมาเพราะเสียงจอแจที่ดังขึ้นหน้าประตู

“พวกเจ้ารู้หรือไม่ ? อันหลิงเกอยังมิได้ไปไหนเพราะบุตรในครรภ์ไม่อยู่แล้ว ! ”

“ว่าอันใดนะ ? บุตรของกู่เหนียงมิอยู่แล้ว มิใช่ว่า…ข้าเห็นท้องของนางใหญ่ถึงเพียงนั้นก็น่าจะใกล้คลอดแล้วกระมัง เหตุใดอยู่ดี ๆ จึงแท้งบุตรได้เล่า ? ”

การสนทนาของสาวใช้สองคนทำให้อันหลิงเกอส่ายหน้าอย่างเอือมระอา คนพวกนี้พูดจี้ใจดำนางยิ่งนัก

“เจ้ายังมิรู้อันใด ข้าได้ยินว่าคุณชายของพวกเรากลัวนางจากไปก็เลย…”

“มิใช่หรอก ! คุณชายของพวกเราชอบกู่เหนียงผู้นี้มากแล้วจะทำร้ายนางได้อย่างไร ? ”

“เจ้าคิดผิดแล้ว เพราะความริษยาต่างหากที่ทำร้าย ! ”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ภายในใจของอันหลิงเกอก็อดเจ็บปวดขึ้นมามิได้

แต่นางรู้สึกสงสารฟางหลิงซู่มากกว่า ทั้งที่มีอำนาจถึงเพียงนั้นกลับโดนสาวใช้เอามานินทาสนุกปากเสียได้

ดูท่าแล้วฟางหลิงซู่คงมิได้อบรมเข้มงวดสักเท่าไร

“พวกเจ้ามากระซิบอันใดกันตรงนี้ ! ”

เสียงของหนานกงหลิงเยว่ดังขึ้น อันหลิงเกอพยายามฝืนตัวลุกขึ้นนั่ง ทำทีเหมือนว่าอาการดีขึ้นมากแล้วยิ้มให้หนานกงหลิงเยว่

“เจ้ารีบนอนลงเถิด”

หนานกงหลิงเยว่เห็นดังนั้นก็ยิ่งสงสาร นางจะมองมิออกได้เยี่ยงไรว่าอันหลิงเกอกำลังฝืนอยู่ โลหิตที่เห็นเมื่อวานยังติดตานางอยู่เลย

“ข้าดีขึ้นมากแล้ว มิเป็นไรหรอก” อันหลิงเกอเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม

ร่างกายของนางดีขึ้นมากแล้วจริง ๆ อาจเพราะก่อนหน้านี้นางดูแลร่างกายอย่างดีจึงมิได้ทรุดหนักมากนัก

“ร่างกายดีขึ้นก็วิเศษแล้ว เจ้ามิต้องเสียใจไปหรอก เจ้ากับมู่จวินฮานยังอายุน้อยอยู่ จะต้อง…”

“อาจไม่มีอีกแล้ว” อันหลิงเกอส่ายหน้า แววตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

เพราะตอนนี้มู่จวินฮานจดจำนางมิได้ พวกเขาจะมีอนาคตร่วมกันอีกได้หรือ

อีกอย่างมู่เหล่าหวางเฟยย่อมไม่มีทางปล่อยให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก

เรื่องระหว่างพวกนางก็คงจบลงตรงนี้

“อันหลิงเกอ เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่ ? ”

หนานกงหลิงเยว่มิรู้ว่าอันหลิงเกอใจลอยเรื่องใด เห็นว่านิ่งไปเช่นนี้ก็คิดว่าไม่สบาย

“อืม ข้าไม่เป็นไร” อันหลิงเกอลูบใบหน้าทีหนึ่งจึงได้รู้ว่าน้ำตาไหลออกมาโดยมิรู้ตัว

ตอนนี้มิรู้ว่าเหตุใดนางจึงร้องไห้ง่ายเหลือเกิน

“เอาล่ะ หากเจ้ามิสบายข้าจะตามหมอมาให้ หากเจ้าเหนื่อยก็พักผ่อนให้มาก”

หนานกงหลิงเยว่เป็นห่วงอันหลิงเกอมาก ตอนนี้เหมือนนางเปลี่ยนไปจากเดิมมิน้อย

“หลิงเยว่ สำหรับเจ้าแล้ว การสูญเสียความรักเป็นความรู้สึกเช่นไร?”

คำถามนี้…

หนานกงหลิงเยว่มิรู้ว่าควรตอบเช่นไร นางเคยคิดว่าการสูญเสียกูซูเฉี่ยอวี่ไปนั้นเจ็บปวดยิ่งนัก แต่คาดมิถึงว่าความเจ็บปวดนั้นสุดท้ายก็ถูกลบเลือนไปตามกาลเวลา

เมื่อเห็นท่าทางของอันหลิงเกอตอนนี้แล้ว หนานกงหลิงเยว่ก็มิแน่ใจว่าก่อนหน้านี้ที่ตนรู้สึกใช่ความรักหรือไม่

สำหรับหนานกงหลิงเยว่แล้ว นางคาดหวังที่จะได้รับและมิอยากสูญเสีย ดังนั้นจึงได้เจ็บปวด

แต่สำหรับอันหลิงเกอมิเหมือนกัน เพราะความรักของนางเป็นความรักที่แท้จริง

“สำหรับข้าแล้ว ก่อนหน้านี้อาจมิใช่ความรักก็ได้”

หนานกงหลิงเยว่ได้แต่หัวเราะเยาะตนเอง มาถึงขั้นนี้นางเพิ่งได้เข้าใจและมิหลอกตัวเองอีก

“เจ้าปล่อยวางได้ก็ดียิ่งนัก”

ในสายตาของอันหลิงเกอย่อมอิจฉาความคิดเช่นนี้ของหนานกงหลิงเยว่ หากตนปล่อยวางได้บ้างก็คงดีมิน้อย

“เอาล่ะ อันหลิงเกอ ท่านพี่บอกว่าอีกมิกี่วันพวกเราจักย้ายกลับไปใกล้เมืองหลวง ถึงตอนนั้นก็จะส่งเจ้ากลับไปด้วย”

ย้ายกลับไปหรือ ? หอพิษกู่ผ่านวิกฤตไปได้แล้วหรือ ?

“ตอนนี้เรื่องในเมืองหลวงผ่านไปนานแล้ว พวกเราจึงสามารถกลับไปได้”

ตอนที่หนานกงหลิงเยว่กล่าวออกมา แววตาของนางหาได้มีความเจ็บปวดไม่ อันหลิงเกอมองออกว่าภายในใจของอีกฝ่ายมีเพียงความหวังที่จะได้กลับไปและดูเหมือนว่าลืมกูซูเฉี่ยอวี่ไปจนสิ้น

ฝ่ายที่ลืมได้คงสบายใจที่สุด หากเป็นเช่นนั้นมู่จวินฮานก็จะได้มิต้องแบกรับแรงกดดันของความสัมพันธ์ของพวกนางอีก

ความจริงแล้วอันหลิงเกอก็รู้ดีว่าการที่พวกนางจะอยู่ด้วยกันนั้นมิง่าย ด้านหนึ่งก็มีเรื่องฐานะเป็นอุปสรรค ส่วนอีกด้านก็ถูกขัดขวางจากคนสำคัญเยี่ยงมู่เหล่าหวางเฟย

ตอนนี้มู่จวินฮานสูญเสียความทรงจำ ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่มีอีกแล้ว

“พวกเจ้าจะกลับไปตอนไหน ? ” อันหลิงเกอถามขึ้น

“อีกมิกี่วันนี้ ท่านพี่บอกว่าเจ้าร่างกายไม่แข็งแรงจึงต้องรออีกสักสองสามวัน” ที่แท้ก็เป็นเพราะนาง

อันหลิงเกอคิดแล้วก็รู้สึกปวดใจมิน้อย เพราะไม่ว่าเรื่องอันใดฟางหลิงซู่ก็มักทำเพื่อนางเสมอ แต่นางมิสามารถทำอันใดเพื่อเขาได้เลย

ฟางหลิงซู่ต้องการสิ่งใดนั้นอันหลิงเกอรู้ดี เพียงแต่นางมิอาจให้คำมั่นสัญญาต่อเขาได้

“อืม ข้าทราบแล้ว”

อันหลิงเกอถอนหายใจ แม้เสียงเบาบางแต่หนานกงหลิงเยว่ก็ยังได้ยินชัดเจน

“เจ้า…เจ้ามิเคยคิดมองพี่ชายของข้าบ้างหรือ ? อันหลิงเกอ แม้ข้ารู้ว่าคำถามนี้มิควรเอ่ยออกมา แต่ก็อยากรู้ว่าเพราะเหตุใด ? ”

หนานกงหลิงเยว่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนพี่ชาย เขาทำเพื่ออันหลิงเกอมิน้อย แต่มู่จวินฮานเอาแต่ทำร้ายนางหลายต่อหลายครั้ง อันหลิงเกอก็ยังให้อภัยเขาได้เรื่อยมา เพราะอันใดกันเล่า ?

“อาจเป็นเพราะเวลา”

อันหลิงเกอก็มิรู้ บางทีอาจเพราะได้เจอมู่จวินฮานก่อน หรือบางทีเป็นเพราะนางเหมือนกับมู่จวินฮาน ทว่าสุดท้ายนางก็มิรู้เหตุผลเช่นกัน

หนานกงหลิงเยว่รู้ดีว่าหากเป็นเพราะเวลา เช่นนั้นก็คงไม่มีวิธีเปลี่ยนความจริงได้ว่ามู่จวินฮานเป็นคนที่พบอันหลิงเกอก่อน

แต่พี่ชายก็ดีถึงเพียงนี้…

ในยุทธภพ ในราชสำนัก ผู้ใดบ้างมิเกรงกลัวฟางหลิงซู่ ?

“เอาล่ะ เจ้าพักผ่อนเถิด อีกสองวันพอถึงเวลาออกเดินทางแล้วข้าจะมาหาเจ้าอีกที”

เมื่อหนานกงหลิงเยว่จากไปแล้วอันหลิงเกอก็หลับตาลงอีกครั้ง สุดท้ายภาพที่นางเห็นก็ยังเป็นอดีตของนางและมู่จวินฮาน