บทที่ 210 นักศึกษาถอนตัว

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

พวกเขาทั้งสองคนที่เริ่มกินไปได้สักพัก จนในที่สุดจิ๋นชานและเหมยจู้ก็ไม่จำเป็นต้องถามแล้วว่าทุกคนอ้วนขึ้นได้อย่างไร

เมื่อทุกคนมารวมตัวกันจนครบ หลิงตู้ฉิงพูดกับทุกคนว่า “พรุ่งนี้หลาย ๆ สำนักจะมาที่ สถาบันราชวงศ์เพื่อรับสมัครลูกศิษย์ พวกเจ้าสามารถไปลองเสี่ยงโชคได้เช่นกันไม่ว่าพวกเจ้าจะตัดสินใจอย่างไรตราบใดที่พวกเจ้าไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าในอนาคต ข้าก็ไม่มีอะไรขัดข้อง สำหรับคนที่เต็มใจจะอยู่ต่อ ข้าคงจะสัญญากับพวกเจ้าไม่ได้ว่าข้าจะสามารถให้ความรู้พวกเจ้าได้มากกว่านี้รึเปล่า”

“เนื่องจากพวกข้าเองจะไม่อยู่ที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์ไปตลอด ดังนั้นพวกเจ้าอย่าได้คาดหวังจากข้ามากเกินไป นี่เป็นทั้งหมดของสิ่งที่ข้าจะบอกต่อพวกเจ้าในวันนี้ ส่วนที่เหลือต่อจากนี้พวกเจ้าก็จงตัดสินใจกันเอาเองว่าจะเอายังไง”

กลุ่มนักศึกษามองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยการแสดงออกที่แตกต่างกัน สำหรับสิ่งที่พวกเขากำลังคิดมีเพียงตัวพวกเขาเองเท่านั้นที่รู้

หลังจากที่หลิงตู้ฉิงรวบรวมทุกคนและประกาศจุดยืนของเขาเรียบร้อย เขาก็พาบรรดาลูก ๆ ของเขากลับคฤหาสน์

ทันทีที่เด็ก ๆ กลับถึงคฤหาสน์พวกเขาก็ยุ่งกับการออกกำลังเผาผลาญพลังวิญญาณส่วนเกินที่มาจากเนื้อกวางวิเศษเพื่อลดน้ำหนัก

แน่นอนว่าพวกเขายังไม่มีความคิดที่จะกล้ากินเนื้อกวางปีศาจที่เก็บไว้ในแหวนมิติต่อ เพราะแค่ที่กินไปวันก่อน พวกเขายังเผาผลาญไม่หมดจนอ้วนเป็นลูกแตงโมอยู่ตอนนี้!

ในวันถัดมาเด็ก ๆ ในคฤหาสน์สราญรมย์ทุกคนต่างก็ไม่ได้ไปที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากพวกเขากำลังยุ่งอยู่กับขั้นตอนการเผาผลาญและการกินต่อหมุนวนกันไปเป็นวัฏจักร

สำหรับหลิงตู้ฉิงเขาก็กินเนื้อกวางวิเศษเช่นกัน และยังคอยเฝ้าดูหม้อต้มเลือดอย่างใกล้ชิดเพื่อคอยสังเกตว่ามันหลอมรวมกันจนเป็นเนื้อเดียวกันหรือยัง

ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เรียกให้ซือโถวเหวินหยวนเข้ามาพบ และได้มอบภารกิจให้กับเขาไป

ภารกิจของเขาคือการจำกัดระดับการบ่มเพาะของเขาทุกวันและใช้ทักษะการต่อสู้ทุกรูปแบบและเคล็ดวิชาต่าง ๆ ที่เขาเข้าใจเพื่อต่อสู้กับหลิงว่านถิง

แม้ว่าหลิงว่านถิงจะสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของพลังนภาคราม และนางยังสามารถมองออกถึงทักษะการต่อสู้ของซือโถวเหวินหยวนได้ แต่ด้วยประสบการณ์การต่อสู้ที่ห่างชั้นกันเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกแต่นางก็ไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลา

ดังนั้นนางจึงได้แต่พ่ายแพ้ไปอย่างน่าสังเวช

แต่ถึงแม้ว่านางจะพ่ายแพ้ แต่นางก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ จากการซ้อมมือกับซือโถวเหวินหยวน เนื่องจากตาเฒ่าผู้นี้นั้นให้ความเคารพและทะนุถนอมนางเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะขยันเข้าโจมตีอย่างหนัก แต่ทุกการโจมตีนั้นจะถูกหยุดลงแทบจะทันทีที่ก่อนจะถึงตัวนาง

อีกวันหนึ่งผ่านไปและเมื่อหลิงตู้ฉิงกลับมาที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งเขาก็พบว่ามีนักศึกษาน้อยลงแล้ว

จ้าวปาเทียนกำลังรออยู่ที่นั่น เมื่อเขาเห็นหลิงตู้ฉิงปรากฏตัวเขาก็อธิบายกับหลิงตู้ฉิงทันที “มีนักศึกษาไม่กี่คนที่เหลืออยู่”

“อืม” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า

จ้าวปาเทียนมองไปที่หลิงตู้ฉิงและพูดว่า “คนที่จากไปเข้าสำนักทั้งหมดส่วนใหญ่จะเป็นบรรดานักศึกษาที่ได้รับคัดเลือกเมื่อต้นปี นอกจากจิ๋นชาน และเหมยจู้แล้ว เกาหยู ก็ยังคงอยู่ที่นี่”

“เกาหยูขี้เกียจเกินไป ไม่มีสำนักใดต้องการเขา เขาจึงถูกมองข้าม ส่วนจิ๋นชานก็ดีกว่าหน่อย เมื่อจิ๋นชานแสดงออกว่าเขาไม่ต้องการเข้าสำนัก ก็ไม่มีใครบังคับเขาอีกต่อไป”

“อย่างไรก็ตาม เหมยจู้นั้นค่อนข้าจะลำบากสักหน่อย เนื่องจากบรรดาสำนักต่างใช้ทั้งไม้อ่อนเพื่อโน้มน้าวนาง แต่เมื่อได้รับการปฏิเสธหนัก ๆ เข้า พวกเขาก็เริ่มใช้ไม้แข็งฉุดกระชากลากถู จนในท้ายที่สุดข้าต้องเรียกใช้หุ่นเชิดที่เจ้าให้ข้ามาเพื่อควบคุมสถานการณ์ ส่วน 11 คนแรกนั้นไม่มีใครที่จากไปแม้แต่คนเดียว”

หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ตามคาด! ข้าเข้าใจความตั้งใจของพวกเขาตั้งแต่แรกเมื่อพวกเขาเข้าสู่ศาลาศักดิ์สิทธิ์แล้ว ว่าพวกเขาแต่ละคนล้วนมีเป้าหมายอะไรบางอย่างของตัวเอง! แต่สำหรับจิ๋นชานและเหมยจู้ พวกเขาก็เหมือนกับอีก 11 คนที่ค้นพบเส้นทางการบ่มเพาะของตัวเอง มันจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะไม่เลือกที่จะเข้าสำนัก”

จ้าวปาเทียนถอนหายใจและพูดว่า “จริง ๆ แล้วข้ายังหวังว่าพวกเขาจะคงอยู่ที่นี่ต่อไป แต่น่าเสียดายที่ทุกคนมีความทะเยอทะยานของตัวเอง”

หลิงตู้ฉิงเพียงแค่ยิ้มและไม่พูดอะไร

ขณะที่ทุกคนยังคุยกันอยู่ หมิงจู้ก็เหลือบมองออกไปข้างนอกศาลาศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นหันไปทางหลิงยู่ชานและพูดว่า “อุ้ย นั่นคนของเจ้านี่นา”

หลิงยู่ชานมองไปข้างนอกตามทิศทางที่หมิงจู้มอง และสังเกตเห็นหวงหลิงซานซึ่งยืนอยู่ข้างนอกกำลังมองเข้ามาในศาลาศักดิ์สิทธิ์

“ข้าไม่สนใจนาง!” หลิงยู่ชานพูด

หมิงจู้พูดว่า “นางคงจะมากล่าวคำอำลาน่ะ เจ้าออกไปพบกันนางเถอะ”

หลิงยู่ชานลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดกับหมิงจู้ “ก็ได้ ข้าจะออกไปเจอนางเพียงครู่เดียว และจะรีบกลับมาทันที”

เมื่อพูดจบ หลิงยู่ชานก็รีบลุกขึ้นยืนและเดินออกจากศาลาศักดิ์สิทธิ์

เมื่อหวงหลิงซานเห็นเขา นางก็รู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย

“ข้าได้รับการยอมรับจากสำนักบุปผาจันทราให้เป็นศิษย์ของพวกเขาแล้ว ข้าจะจากไปในอีกไม่กี่วัน ข้ามาหาเจ้าเพียงเพื่อบอกให้เจ้ารู้” หวงหลิงซานพูด

หลิงยู่ชานยิ้มและพูดว่า “ข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย!”

“ข้าจะกลับมาหาเจ้าเมื่อข้าฝึกสำเร็จ” หวงหลิงซานหลบตาลงและกล่าวขึ้น

“ในอนาคตพวกข้าคงจะไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก พ่อของข้าได้บอกว่าอีกไม่นานเมื่อพวกเราฝึกเสร็จพวกเราจะต้องไปจากที่นี่เพื่อไปท่องโลกอันแสนกว้างใหญ่ แต่ในเมื่อเจ้าที่สามารถกลายเป็นศิษย์ของสำนักที่อยู่ข้างนอกนั่นได้ นั่นก็หมายความว่าไม่แน่ในอนาคตเจ้าและข้าเราทั้งคู่อาจจะได้พบกันอีกครั้งที่ข้างนอกนั่น” หลิงยู่ชานหัวเราะ

“อืม! หากเราได้พบกันอีกครั้งข้าจะบอกเรื่องบางเรื่องที่ข้าอยากจะบอกกับเจ้าเพียงแค่คนเดียว!” หวงหลิงซานพยักหน้าและโบกมือ “ข้าไปก่อนล่ะ”

“ลาก่อน!” หลิงยู่ชานตอบกลับ จากนั้นเขาก็หันกลับและเดินกลับไปที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์

เมื่อหวงหลิงซานที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางอดไม่ได้ที่จะหันหน้ากลับไปมองหลิงยู่ชาน แต่เมื่อนางหันกลับมาแล้วนางก็พบว่าหลิงยู่ชานได้กลับเข้าไปด้านในศาลาศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทำให้นางรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ

อย่างไรก็ตามเมื่อนางหันกลับมาและเจอกับหลี่จือหลิง ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า นางก็พอจะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้บ้าง

“รอข้าที่นี่สองวันข้ายังมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องจัดการ หลังจากข้าเสร็จธุระเรียบร้อยแล้วเราจะกลับไปที่สำนักด้วยกัน” หลี่จือหลิงสั่ง

“รับทราบ นายหญิง!” หวงหลิงซานตอบด้วยความเคารพ

ภายในศาลาศักดิ์สิทธิ์ หมิงจู้มองไปที่หลิงยู่ชานขณะที่เขากลับมาและพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสัญญาอะไรต่อกันรึเปล่า?”

หลิงยู่ชานส่ายหัว “ไม่!”

“ให้ข้าเชื่อเจ้า?” หมิงจู้เม้มริมฝีปาก

“พี่สาวหมิงจู้ ข้าขอตัวไปฝึกฝนกับซ่งเหวินเถาต่อก่อนล่ะ ไม่เช่นนั้นวันนี้ข้าคงฝึกไม่ทันตามที่ท่านพ่อสั่งแน่นอนเลย” เมื่อพูดจบหลิงยู่ชานก็รีบเดินจากไป

ซึ่งเมื่อได้ยินเช่นนี้ คิ้วของหมิงจู้ก็ขมวดเข้าหากันมากขึ้น

อีกด้านหนึ่ง หลิงตู้ฉิงพูดกับเกาหยูว่า “การขี้เกียจได้ขนาดนี้เป็นเรื่องแปลกจริง ๆ!”

เกาหยูยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “เอ่อ…อาจารย์…”

เขาไม่รู้จะแก้ตัวยังไง อันที่จริงเขาอยากจะพูดออกมาว่าเขาแค่ไม่อยากจะขยับร่างไปไหนเลยด้วยซ้ำ

เกาหยูอิจฉาจิ๋นชานเป็นพิเศษ เขาเคยจินตนาการอยู่หลายครั้งว่าถ้าหากเขาได้ฝึกการบ่มเพาะด้วยการนอนหลับมันคงจะเหมาะสำหรับเขาสุดๆ เขาคิดถึงแม้กระทั่งอยากจะขอร้องให้หลิงตู้ฉิงสอนวิธีการบ่มเพาะที่คล้ายคลึงกับของจิ๋นชานให้กับเขาเลยด้วยซ้ำ

หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วและพูดว่า “ข้ามีเคล็ดการบ่มเพาะที่เหมาะกับเจ้า แต่ใจของเจ้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะเรียนรู้เคล็ดการบ่มเพาะนี้ แต่ถ้าเจ้าสามารถผ่านการทดสอบของข้าได้ ข้าจะสอนเคล็ดการบ่มเพาะนี้แก่เจ้า”

เกาหยูพูดอย่างตื่นเต้น “อาจารย์หลิง การทดสอบอะไร?”

หลิงตู้ฉิงพูด “หากเจ้าสามารถอดทนอดอาหารได้เป็นเวลา 2 เดือนข้าจะถ่ายทอดเคล็ดการบ่มเพาะที่ทรงพลังให้ แต่ถ้าเจ้าทนไม่ได้เผลอกินเมื่อไหร่ข้าจะไม่ถ่ายทอดอะไรให้เจ้าเลย ตอนนี้เจ้าอ้วนมาก จงไปเผาผลาญ และดูดซับพลังวิญญาณแทนการกินอาหารเพื่อที่เจ้าจะได้ไม่หิวตายใน 2 เดือนนี้”

เกาหยูรู้สึกขัดแย้งทันที เขามีงานอดิเรกสองอย่าง หนึ่งคือนิ่งไม่ยอมขยับและอีกหนึ่งหากขยับก็เอาแต่กิน แล้วตอนนี้เขาจะต้องอดกินข้าว 2 เดือนเหรอ? เขาลังเลอยู่นานก่อนที่จะตัดสินใจพูดอย่างแน่วแน่ว่า “อาจารย์หลิง ในเวลา 2 เดือนนี้ข้าจะทำตามที่ท่านสั่ง ข้าจะยอมอดไม่ยอมกินอะไรทั้งนั้น!”

“แล้วข้าจะรอดู!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า