ตอนที่ 2-2 การเริ่มต้นที่บิดเบี้ยว

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

และก็ถึงวันอภิเษกสมรสของฮวางแทจา บีพาอันแห่งจักรวรรดิมกกุก 

 

 

นามสกุลของราชวงศ์มกกุกคือ ดันมก ซึ่งหมายถึงต้นไม้สีแดง ฉะนั้นที่มกกุก สีแดงจึงเป็นสีที่ศักดิ์สิทธิ์ ชุดสำหรับงานอภิเษกสมรสที่หรูหรานั้นก็ทำมาจากผ้าแพรสีแดง ดังนั้นองค์หญิงลำดับที่หนึ่งแห่งอาณาจักรฮวากุก อย่างอูรึมจึงได้ยืนงงงวยกับผ้าแพรสีแดงที่ต้องสวมทับกันหลายๆ ชั้นเช่นนี้ 

 

 

“แม่…แม่นม มันหนักมากเลย” 

 

 

“องค์หญิงอย่าเพิ่งร้องเพคะ ยังมิได้ใส่เสื้อตัวนอกเลยนะเพคะ” 

 

 

“ยังต้องใส่อะไรอีกหรือ” 

 

 

อูรึมมองไปที่แม่นมอย่างตกใจ แม่นมกำลังนำผ้าสีทองมาพันรอบเอวของอูรึม 

 

 

“อย่าขยับสิเพคะ ต้องพันรอบตัวให้แน่นเพื่อที่มันจะได้ไม่หลุดนะเพคะ” 

 

 

“…” 

 

 

อูรึมทำตามที่แม่นมสั่งอย่างสงบเสงี่ยม เพราะน้ำเสียงของแม่นมนั้นช่างเข้มงวดยิ่งนัก เมื่อนางพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวดนั้นแสดงว่านางไม่ใจอ่อนกับการออดอ้อน หรือการทำตัวเป็นเด็กของอูรึม แม่นมทำการมัดผ้าที่พันรอบเอวอย่างแน่นหนา และปล่อยสายคาดเอวที่ประดับอยู่ให้ห้อยลงมา หลังจากนั้นนางก็นำเสื้อตัวนอกสีแดงที่ปักลายดอกไม้สีทองทั่วทั้งผืนมา เมื่อกางออกชายเสื้อนั้นยาวกว่าความสูงของอูรึมเป็นสองเท่า 

 

 

“ชุดอภิเษกของมกกุกช่างดูหรูหราเสียจริงนะเพคะ ถ้าเทียบกับของมกกุกแล้วของเราดูเรียบง่ายไปเลย” 

 

 

แม่นมเดาะลิ้นเล็กน้อย เมื่อได้ยินสิ่งที่แม่นมพูดเหล่านางในต่างพากันหัวเราะคิกคัก 

 

 

“เราเคยเห็นตอนงานอภิเษกสมรสของท่านพี่มินกุง เป็นชุดอภิเษกสีขาวที่สวยงามมาก เราอยากใส่ชุดนั้นมาก” 

 

 

อูรึมเริ่มน้ำตาคลอเพราะคิดถึงบ้านเกิด 

 

 

พระชายาขององค์รัชทายาทที่ใส่ชุดแต่งงานสีขาวในสายตาของอูรึมที่ยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยนั้นดูสวยงามราวกับเทพธิดาที่อาศัยอยู่ในพระราชวังในตำนาน ผ้าสีขาวเบาบางปลิวไสวไปตามสายลม ชายผ้าที่ห้อยย้อยลงมากระทบกันส่งเสียงเบาๆ ตามหลังของพระชายาขององค์รัชทายาทตอนที่นางย่างเดิน ในระหว่างที่กำลังคิดถึงช่วงเวลานั้น เสียงของแม่นมก็แทรกขึ้นมา 

 

 

“องค์หญิงเพคะ ตอนนี้จะต้องสวมมงกุฎทอง และคลุมผ้าแดงนะเพคะ” 

 

 

“พวกบ่าวจะคอยช่วยเองเพคะ” 

 

 

“ใช่แล้วเพคะ นั่งลงเถิดเพคะ” 

 

 

เหล่านางในที่รอคำสั่งของแม่นมอยู่ได้นำเบาะรองสีแดงที่มีมงกุฎมองวางอยู่เข้ามาแล้วนำมงกุฎทองที่ประดับประดาไปด้วยพลอยมากมายสวมไปที่ศีรษะของอูรึม หลังจากนั้นอีกคนก็นำผ้าสีแดงมาคลุมให้ แม้ผ้าผืนนี้จะบางมากแต่ก็ไม่สามารถมองทะลุได้ มองเห็นแค่เพียงลางๆ เท่านั้น 

 

 

“แม่นม เรามองไม่เห็นอะไรเลย” 

 

 

“อย่างกังวลไปเลยเพคะองค์หญิง บ่าวจะคอยช่วยอยู่ข้างๆ เพคะ” 

 

 

“แม่นม แม่อยู่ที่ไหน จับมือเราหน่อย” 

 

 

มือของอูรึมที่กำลังแกว่งไกวไปมาสัมผัสเข้ากับบางสิ่งบางอย่างที่อุ่นๆ เป็นมือที่ใหญ่และผอมเพรียว 

 

 

“แม่นม?” 

 

 

อูรึมเรียกแม่นมด้วยความโล่งใจ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงทุกคนนั่งลงพร้อมกันพร้อมกับพูดประสานเสียงกันว่า 

 

 

“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี ฮวางแทจาเสด็จ” 

 

 

ฮวาง ฮวางแทจา… 

 

 

อูรึมเริ่มตัวสั่น เพราะไม่รู้ว่าจะต้องก้มคำนับด้วยหรือไม่จึงได้แต่กลอกตาไปมา ใต้ผ้าคลุมนางมองเห็นชายเสื้อของแม่นมที่กำลังก้มคำนับอยู่ มือที่อูรึมจับอยู่ตอนนี้ไม่ใช่มือของแม่นม แล้วเป็นมือของใครกัน เมื่อมองออกไปที่นอกผ้าคลุมนางมองเห็นเงาดำของคนคนหนึ่ง 

 

 

“เราเห็นว่าองค์หญิงสาย เราจึงมารับด้วยตนเอง” 

 

 

อูรึมตัวสั่นอีกครั้ง เพราะเสียงนั้นช่างเยือกเย็นยิ่งนัก มือของเขาอุ่นขนาดนี้ เหตุใดน้ำเสียงถึงได้เยือกเย็นนัก อูรึมไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไร ในระหว่างที่กำลังสับสนอยู่นั้นนางก้มหัวลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า 

 

 

“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันกำลังแต่ง…” 

 

 

“ไม่เป็นไร เราจะพาองค์หญิงไปเอง จงเดินตามเรามาและโปรดระวังเท้าด้วย” 

 

 

“เพ…คะ” 

 

 

อูรึมยังพูดไม่ทันจบดี บีพาอันก็จับมือของนางและดึงนำไป อูรึมมองไปทางด้านล่างผ้าคลุมและเดินไปข้างหน้าตามที่มือของบีพาอันนำไป ด้านหลังของทั้งคู่มีขันธีของบีพาอัน ซังกุง นางใน และแม่นมของอูรึมเดินตามมา และด้านหลังและด้านข้างทั้งสองยังมีทหารถือธงสีแดงเดินตามออกไปอีกด้วย เพราะว่าอูรึมใส่ผ้าคลุมอยู่ตนจึงไม่รู้เลยว่ามีคนเดินตามออกมามากมาย ถ้าหากว่ารู้ตนอาจจะตื่นเต้นจนตัวแข็งทื่อไปเลยก็เป็นได้ 

 

 

เมื่อบีพาอันกับอูรึมมาถึงทางเข้างานอภิเษกสมรส เสียงแตรหอยสังข์ก็ดังขึ้น แล้วนักดนตรีก็เริ่มบรรเลงดนตรี อูรึมหยุดชะงักเพราะตกใจในเสียงแตรหอยสังข์ บีพาอันก้มมองไปที่อูรึม นางดูตัวเล็กกว่าที่คิดไว้เป็นอย่างมาก หากไม่รู้มาก่อนว่านางบรรลุนิติภาวะแล้วตนคงคิดว่านางอาจจะยังอายุไม่ถึงสิบห้าปีเสียด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าตนจะได้เจอกับอูรึมหลังจากที่นางคลุมผ้าปิดหน้าไว้แล้ว ตนจึงยังไม่ได้เห็นใบหน้าของหน้าชัดๆ แต่ใบหน้าของนางก็คงจะเด็กน่าดู บีพาอันก้มลงเล็กน้อยแล้วกระซิบที่หูของอูรึมว่า 

 

 

“ไม่ต้องกังวล ตอนนี้เราจะปล่อยมือของท่าน จงมองมาที่เท้าของเราและเดินตามมา” 

 

 

“เพคะ…” 

 

 

เสียงเล็กนั่นสั่นน้อยๆ หูของอูรึมไม่ได้ยินเสียงดนตรีเลย พอบีพาอันปล่อยมือของอูรึม อูรึมที่กำลังตื่นเต้นอยู่ก็มองไปด้านล่างผ้าคลุม เมื่อเห็นชายเสื้อของคนข้างๆ ขยับ อูรึมจึงเริ่มเดินไปข้างหน้า อูรึมมองเห็นผีเสื้อตัวหนึ่งที่ปักอยู่บนชายเสื้อสีแดงเข้ม อูรึมพยายามเดินให้เห็นผีเสื้อตัวนั้นตลอดเพื่อจะได้กะจังหวะก้าวเดินได้ถูก  

 

 

แม้บีพาอันจะเห็นว่าอูรึมตัวสั่น แต่ตนก็แสร้างทำเป็นไม่รู้ บีพาอันเป็นคนที่ไม่ได้ใจกว้างถึงขนาดที่จะใส่ใจในทุกเรื่องของหญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง อูรึมกับบีพาอันกำลังเดินอยู่บนพรมสีแดง ในความคิดของอูรึมนั้นพรมสีแดงนี้ดูราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด 

 

 

พิธีอภิเษกสมรสจบลงไปอย่างไรก็ไม่รู้ อูรึมที่นั่งอยู่บนเตียงยังคงตื่นเต้นอยู่ นางไม่อาจหยุดมือที่กำลังสั่นของตัวเองได้เลย 

 

 

“เฮ้อ” 

 

 

เสียงถอนหายใจ อูรึมถอนหายใจเพื่อคลายความกังวลแต่นางก็ยังคงตัวสั่นอยู่ดี ความตื่นเต้น ความกังวลจากกงานอภิเษกสมรสไม่สงบลงง่ายๆ การที่ได้มาเป็นชายาฮวางแทจาในมหาจักรวรรดิมกกุก ทุกอย่างมันดูเหมือนกับความฝัน ในขณะที่ตนสติไม่ครบถ้วนมีสิ่งหนึ่งที่อูรึมยังคงจำได้ นั่นก็คือน้ำเสียงอันเยือกเย็นของฮวางแทจา เป็นที่แน่ชัดว่าน้ำเสียงของฮวางแทจานั้นเหมือนกับน้ำเสียงขององค์จักรพรรดิ น้ำเสียงเยือกเย็นที่ดูหดหู่นั่น แม้จะได้ยินในตอนที่ไม่ค่อยมีสติแต่มันก็ฝังลึกอยู่ในหัวแล้ว 

 

 

‘…ตั้งแต่นี้ไปเจ้าจงลืมชื่อในอดีตของเจ้าที่ฮวากุก และจงใช้ชีวิตเป็นชายาของฮวางแทจาเพื่อความผาสุกของจักรวรรดิมกกุก เข้าใจหรือไม่ ชายาฮวางแทจา กโยซึล’ 

 

 

“กโยซึล…” 

 

 

‘กโย ที่หมายถึงความสวยงาม และซึล ที่หมายถึงลมในฤดูใบไม้ร่วง นี่คือชื่อใหม่แทนชื่ออูรึม’ 

 

 

อูรึม ไม่สิ กโยซึลยังคงสวมผ้าคลุมสีแดงอยู่ และอาการสั่นนั้นก็ยังคงไม่หายไป 

 

 

บีพาอัน สามีของตนจะมาเมื่อใดกัน