บทที่ 139
วันนี้

ดวงตาของฮวงฟูอี้เปล่งประกายขึ้นและก็มองจ้องตรงมาที่เธอ “ได้เหรอฮะ? พี่สาว…” อันที่จริงเขาไม่ได้อยากออกไปเที่ยวข้างนอก เขาคิดว่าถ้าพี่สาวพาเขาออกไปข้างนอกเดี๋ยวก็จะมีคนอื่นเข้ามารบกวนเขาอีก

หัวใจของมู่หรงเสวี่ยอ่อนลงและพยักหน้า “พรุ่งนี้พี่สาวจะพานายออกไปเดินเที่ยวข้างนอก…” บางทีการพาเขาออกเดินเล่นอาจจะช่วยให้เขาฟื้นความทรงจำได้เร็วขึ้นก็ได้ แล้วถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาเธอก็เชื่อว่าตัวเองจะปกป้องเขาได้

เช้าวันต่อมา ฮวงฟูอี้ตื่นขึ้นมาอย่างตื่นเต้น มู่หรงเสวี่ยรู้สึกมีความสุขอย่างมากเมื่อได้เห็นว่าเขาอารมณ์ดีขนาดนี้ ทั้งคู่แต่งตัวด้วยชุดลำลองสบายๆ สีขาวและสีดำดูราวกับเป็นคู่รักกันเลย
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็บอกฮวงฟูอี้ให้ตามเธอมาที่รถ เธอช่วยคาดเข็มขัดนิรภัยให้เขาด้วยแล้วจึงกลับไปประจำตำแหน่งตัวเอง เธอไม่รู้ว่ามันกลายเป็นนิสัยตั้งแต่เมื่อไรที่ต้องคอยดูแลเขา มู่หรงเสวี่ยมักจะช่วยเขาทำเรื่องต่างๆโดยอัตโนมัติราวกับเป็นพี่เลี้ยงส่วนตัวเขาอย่างงั้นแหละ

มู่หรงเสวี่ยขับรถอย่างระมัดระวังและดูเหมือนว่าเธอจะขับรถช้ากว่าปกติ

เธอขับตรงไปที่หัวมุมและจอดรถจึงออกจากรถยากหน่อย เธออยากที่จะซื้อเสื้อผ้าให้เขาอีกเพราะก่อนหน้านี้เธอซื้อเสื้อผ้าให้เขาเพียงแค่ไม่กี่ชุด อันที่จริงชุดที่ซื้อมาก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรด้วย ถึงแม้เขาจะดูดีมากๆอยู่แล้ว แต่เดาว่าใส่แล้วคงจะไม่ค่อยสบายเท่าไร

“เสี่ยวอี้ ถึงแล้วนะ เราไปซื้อเสื้อผ้ากันก่อนดีไหม?” มู่หรงเสวี่ยพูดกับฮวงฟูอี้ที่กำลังงงๆอยู่

ฮวงฟูอี้จับมือพี่สาวและหัวเราะออกมา
มู่หรงเสวี่ยเองก็ซื้อให้เขาด้วย จึงดึงเขามาทางแผนกเสื้อผ้าผู้ชาย เธอไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่าแต่เธอมักจะรู้สึกว่ามีคนมาอยู่ตรงหน้าเธอเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆและพวกเขาก็มักจะมาปรากฏตัวต่อหน้าเธออย่างไม่คาดคิดด้วย จนบางครั้งต้องถึงกับชนกันอย่างจัง “ขอโทษนะคะ ฉันไม่ทันเห็นคุณ” มู่หรงเสวี่ยหันไปมองใบหน้าที่หล่อเหลาของฮวงฟูอี้ที่อยู่ข้างๆเธอ ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเธอไม่สนใจที่จะมองเธอก็เลยไม่เห็น คนพวกนี้ฉวยโอกาส

ฮวงฟูอี้รู้สึกเบื่อมากๆ คนพวกนี้เวลาเดินไม่มองทางกันเลยหรือไงนะ?! เขาเกลียดการที่ต้องเจอคนอื่นนอกจากพี่สาวเอง สีหน้าของเขาค่อยๆเย็นชาขึ้นเรื่อยๆและมีรังสีของความอาฆาตออกมาด้วย ผู้คนที่รายล้อมเขาจึงน้อยลงเรื่อยๆ แม้แต่มู่หรงเสวี่ยเองก็ยังรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของเขา

เธอมองเขาจากด้านข้างและเห็นว่าถ้าตอนนี้เขาไม่พูดอะไร เธอก็แทบจะไม่รู้เลยว่าเขาได้รับบาดเจ็บที่หัวมาจนตอนนี้เป็นแค่เด็กอายุห้าขวบเลย ถ้าเขาได้กลับเป็นปกติ ก็นึกภาพได้เลยว่าเขาจะมีเสน่ห์มากขนาดไหนและเขาก็จะไม่เป็นน้องชายของเธออีกต่อไป
เธอลบความคิดในใจนี้ออกไปและพาฮวงฟูอี้เข้าไปในร้านเสื้อผ้าสุดหรูแทน

พนักงานรีบเดินเข้ามาทักทายทันที “สวัสดีค่ะคุณผู้หญิงและคุณผู้ชาย มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ?”

มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาเสียงเบา “ไม่ค่ะ เราขอเลือกเอง” พนักงานขายดวงตาเป็นประกายและสายตาของเธอก็จ้องอยู่ที่ ฮวงฟูอี้ เธอขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไร

ฮวงฟูอี้พูดตรงกว่าเดิมอีก “มาจ้องหน้าผมทำไม?! น่ารังเกียจจริงๆ” ถ้าเขาไม่กลัวว่าพี่สาวจะไม่พอใจ เขาคงจะทำอะไรมากกว่านี้ที่กล้ามาจ้องเขาแบบนี้

พนักงานขายหน้าซีดรีบก้มหัวทันทีและไม่กล้าที่จะมองอีกเลย คนแบบเธอไม่กล้าที่จะมีเรื่องกับลูกค้าหรอก เธอพูดเสียงเบา “ขอโทษนะคะ ขอโทษนะคะ…”

“นี่แค่เรื่องเล็กน้อย เขาไม่ชอบให้คนมาจ้องหน้านะคะงั้นก็ระวังเรื่องสายตาตัวเองด้วยนะคะ…” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงแผ่ว
มู่หรงเสวี่ยหยิบเสื้อผ้ามาให้ฮวงฟูอี้หลายชิ้นและพูดว่า “เสี่ยวอี้ ชอบชุดนี้ไหม?”

“ได้หมดครับ…” ที่พี่สาวเลือกมันดูดีทั้งหมด เขาคิดอยู่ในใจ

มู่หรงเสวี่ยมองอยู่หลายครั้งเมื่อได้ยินคำตอบของฮวงฟูอี้ ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเพิ่งจะห้าขวบเองและอาจจะไม่เก่งเรื่องการเลือกเสื้อผ้า สุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็ตัดสินใจและเลือกซื้อเสื้อผ้ามากมายที่เหมาะสมกับฮวงฟูอี้

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยจ่ายเงินเรียบร้อย ฮวงฟูอี้ก็รับถุง ช้อปปิ้งมาถือและจับมือมู่หรงเสวี่ยไว้ด้วยมืออีกข้าง

เธอหัวเราะและพูดออกมา “อ่า เสี่ยวอี้น้องชายพี่นี่เริ่มที่จะอ่อนไหวแล้วนะ…”

ฮวงฟูอี้หันไปมองพี่สาวของเขา เขาไม่รู้ว่าทำไมหน้าตัวเขาเองถึงแดง “พี่สาวอ่ะ…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เสี่ยวอี้ของพี่น่ารักจัง…”
ทั้งสองที่กำลังมีความสุขจนไม่ได้สังเกตเห็นผู้หญิงฝั่งตรงข้ามที่กำลังเข้ามา ทั้งสองชนกันที่ด้านข้าง มู่หรงเสวี่ยไม่ล้มเพราะฮวงฟูอี้จับเธอไว้ อย่างไรก็ตามเด็กสาวอีกฝ่ายล้มลงไปที่พื้นเพราะเธอสวมรองเท้าส้นสูง

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยยืนได้มั่นคง จึงยื่นแขนออกไปให้เด็กสาวอย่างขอโทษ “ขอโทษนะคะ เป็นอะไรหรือเปล่า! ฉันช่วยพยุงนะ…”

ใครจะรู้ว่าเด็กสาวจะเงยหน้าขึ้นมาพร้อมเสียงอุทาน “เธอ…”

มู่หรงเสวี่ยมีสีหน้างง เด็กสาวที่กำลังนั่งอยู่ที่พื้นอายุประมาณ 17 ปี เธอมีใบหน้ากลม ดวงตากลมโต ปากนิด ดูแล้วสวยมาก อย่างไรก็ตามมู่หรงเสวี่ยไม่รู้เลยสักนิด “ขอโทษนะคะ รู้จักฉันด้วยเหรอ? ลุกขึ้นก่อนเถอะ…”

สีหน้าท่าทางของเด็กสาวไม่แสดงอาการใดๆ สุดท้ายเธอก็จับมือมู่หรงเสวี่ยเพื่อลุกขึ้นมาและพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ “พูดถึงเรื่องนี้เธอน่าจะรู้จักฉัน ไม่มีใครในมหาวิทยาลัยการแพทย์ที่ไม่รู้จักฉัน…”

มู่หรงเสวี่ยยังมีสีหน้าสับสนและถามออกไปอย่างสงสัย “งั้นเหรอ? ขอโทษนะฉันความจำไม่ค่อยดี เธอเป็นใครงั้นเหรอ?”

“เธอ..” มู่หรงเสวี่ยดูถูกเธอ เธอคือหลงเหมยจิ่ง ดอกไม้งามแห่งมหาวิทยาลัยการแพทย์ ไม่รู้จักเธอได้ยังไง แล้วยังมีหน้ามาถามว่าเธอเป็นใครอีก นี่เป็นเรื่องตลกหรือเปล่าที่ผู้คนสนใจแต่มู่หรงเสวี่ย

หลงเหมยจิ่งที่อยากจะพูดประชดประชันออกไปแต่ทันใดนั้นก็เห็นผู้ชายที่หล่อราวกับเทพบุตรที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ มู่หรงเสวี่ย หัวใจเธอเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ นี่เป็นคนที่ทำให้เธอตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น เธออยากจะได้เขา

สีหน้าเธออ่อนโยนลงแทบจะในทันที ราวกับว่ากลีบกุหลาบแรกแย้มในยามเช้าที่เบ่งบานด้วยท่วงท่ามีเสน่ห์ “ฉันชื่อหลงเหมยจิ่ง คุณผู้ชายคนนี้ชื่ออะไรเหรอ?” น้ำเสียงอ่อนนุ่มและสีหน้าละเอียดอ่อนที่ทำให้คนผู้คนมีความสุข
ฮวงฟูอี้มองเธอด้วยสีหน้าเย็นชาและทันใดนั้นก็มองไปที่ด้านข้าง สายตาน่าเกลียดของเธอแทบจะทำให้เขาตาพร่า

มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าฮวงฟูอี้ไม่ชอบที่จะพูด จึงพูดออกไปว่า “น้องชายฉันไม่ค่อยชอบคุยเท่าไร เท้าเธอเป็นอะไรหรือเปล่า?” เธอเพิ่งจะล้มมาเลยไม่รู้ว่าเจ็บหรือเปล่า

หลงเหมยจิ่งเบิกตากว้าง “เขาเป็นน้องชายเธองั้นเหรอ?” เป็นไปได้ยังไง? สองคนนี้ดูไม่เหมือนพี่น้องกันเลย อีกอย่างผู้ชายคนนี้ดูแล้วน่าจะอายุมากกว่า 20 แน่ๆ เขาหน้าแก่หรือไง?!

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใช่จ้ะ!” นี่เป็นน้องชายเธอ อย่างน้อยก็ในตอนนี้เมื่อเขายังไม่ฟื้นความทรงจำ

หลงเหมยจิ่งกัดริมฝีปากและขัดใจอยู่เล็กๆ เธอมอง มู่หรงเสวี่ยเหมือนเป็นคู่แข่ง อย่างไรก็ตามคนที่เธอตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นกลับเป็นน้องชายของคู่แข่งเธอ แล้วแบบนี้จะไม่ให้เธอรู้สึกขัดใจได้อย่างไร เธอมองไปที่มือที่จับกันอยู่ของคนทั้งสองและเกิดสงสัยอยู่ในใจแต่เธอก็ทำยิ้มเอาไว้ “ฉันไม่เป็นไร พวกเธอจะไปไหนกันเหรอ?” ลองดูว่าเธอจะไปด้วยได้ไหม แล้วหลังจากที่กลับไปเธอจะต้องสืบเรื่องมู่หรงเสวี่ยให้ดีซะหน่อย เธอไม่เชื่อหรอกว่าทั้งสองคนนี้จะเป็นน้องชายกับพี่สาวกัน แต่เมื่อได้เห็นท่าทางสนิทสนมของทั้งสองคน ถ้าไม่ใช่พี่สาวแล้วคำตอบจะทำให้เธอเศร้าหรือเปล่า?!!!

“พี่สาว ไปกันเถอะ!” ฮวงฟูอี้หมดความอดทน เขาเกลียดที่จะต้องมีคนอื่นเข้ามารบกวนเวลาที่เขาอยู่กับพี่สาวสองคน

มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างขอโทษพร้อมรอยยิ้มไปให้หลงเหมยจิ่ง “ขอโทษนะ เราต้องไปแล้ว” ส่วนเรื่องที่ถามว่าไปไหน เธอคิดเพียงว่าเป็นคำถามทั่วไปที่ไม่จำเป็นต้องตอบอะไร มู่หรงเสวี่ยเองอยากที่จะพูดอะไรบางอย่างแต่ฮวงฟูอี้ดึงเธอนำไปแล้ว มู่หรงเสวี่ยมีเวลาเพียงแค่ส่งยิ้มให้หลงเหมยจิ่งได้เท่านั้น

หลงเหมยจิ่งยืนมองพวกเขาเดินจากไป ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอไม่ขยับไปไหนอยุ่เป็นเวลานาน

หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็พาฮวงฟูอี้ไปแถวชานเมือง เพราะฮวงฟูอี้มักจะไม่ค่อยพอใจเวลาที่ต้องเจอคนมากมาย เธอจึงเลือกที่จะพาเขาไปปีนเขาแถบชานเมืองคงจะดีกว่า
นี่ก็เป็นแค่การปีนเขา ถึงแม้จะเป็นถนนหินแต่ก็ไม่ได้ขรุขระมาก นอกจากนี้พวกเขาก็สวมชุดกีฬามาด้วยและรองเท้าของพวกเขาก็เป็นรองเท้ากีฬาที่สวมใส่สบายจึงเดินได้อย่างไม่เหนื่อย

“พี่สาว ผมชอบที่นี่…” ที่นี่ไม่มีคนอื่น มีเพียงเขาและพี่สาว ดังนั้นเขาจึงชอบที่นี่

มู่หรงสวี่ยเองก็หัวเราะออกมาด้วย ฮวงฟูอี้ชอบสถานที่เงียบๆจริงๆด้วย ดีที่เธอคิดไว้ไม่ผิด ไม่งั้นการที่เธอพาเขาออกมาเดินเล่นวันนี้แล้วถ้าเขาไม่ชอบคงเป็นอะไรที่น่าเสียดายมากๆ

เดินไปตามลำธารธรรมชาติแล้วมู่หรงก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “เสี่ยวอี้ มาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันเถอะ!” ทันใดนั้นเธอก็อยากจะถ่ายรูปขึ้นมา

ฮวงฟูอี้นิ่งไปสักพัก ดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่าการถ่ายรูปคืออะไร มู่หรงเสวี่ยยิ้ม ปล่อยมือเขาและโอบที่เอวเขาแทน ระหว่างนั้นฮวงฟูอี้ก็โอบไปที่ไหล่ของมู่หรงเสวี่ยอย่างไม่รู้ตัว
“ชีสสส!” เสียงกดถ่ายรูป
มู่หรงเสวี่ยยิ้มสดใส ถึงแม้ฮวงฟูอี้จะไม่ได้ยิ้มแต่ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยรอยยิ้ม มู่หรงเสวี่ยดูรูปและรู้สึกว่ามันเป็นรูปที่ดีมากจริงๆ

ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้เธอเช็กอาการที่หัวของฮวงฟูอี้ ซึ่งอีกไม่กี่วันความทรงจำน่าที่จะกลับมาและน้องชายของเธอก็น่าจะหายไปด้วย เธอรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร

ฮวงฟูอี้มองท่าทางโดดเดี่ยวของมู่หรงเสวี่ย เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกเจ็บอยู่นิดๆ “พี่สาว…”

“มองตรงไปข้างหน้าเถอะ ฉันไม่เคยมาที่นี่มาก่อนเลย เดี๋ยวเราค่อยคุยกันทีหลังนะ”

“ได้ฮะ”
ทั้งสองเดินไปด้วยกันเงียบๆ ช้าๆ เหลือไว้เพียงเสียงลมที่พัดผ่านที่เงียบแต่ให้ความรู้สึกสบาย

ต่อให้หลายปีผ่านไป ฮวงฟูอี้ก็จะยังจำเรื่องของวันนี้ไปได้อีกนาน