ตอนที่ 351 ความรักคือสิ่งใด / ตอนที่ 352 พันธนาการของชีวิต

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 351 ความรักคือสิ่งใด 

 

 

ความเงียบแผ่ปกคลุม 

 

 

เนิ่นนานที่ฉินซื่อหลานไม่ได้ยินเสียงของซย่าเสี่ยวมั่ว กระแอมแล้วตอบแทนซย่าเสี่ยวมั่ว “เขาไปคุกเข่าให้เหยียนเค่อน่ะ ก็เลยเจ็บขา” 

 

 

คุกเข่า…เหรอ? ซย่าเสี่ยวมั่วหันไปใช้สายตาราวกับจะฆ่าคนมองเขา แสดงออกถึงความไม่พอใจ ไม่พูดความจริงจะตายไหม 

 

 

“เหยียนเค่อบอกฉัน ถ้ามันตรงกันก็ฉันก็แค่ได้ยินมาน่ะนะ” ฉินซื่อหลานรีบโยนความรับผิดชอบไปให้เหยียนเค่อ ความจริงนี่เป็นสิ่งที่ซย่าเสี่ยวมั่วพูดกับฉินซื่อหลานเองตอนที่คุยกัน ทั้งคู่ต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ 

 

 

ตอนที่เล่าเรื่องนั้น ซย่าเสี่ยวมั่วขายหน้าจนจะอยากจะตาย ยังทำใจไม่ได้กับสถานการณ์สุดเซ็งนั้น พอตอนนี้ฉินซื่อหลานพูดขึ้นอีกครั้งทำให้ความรู้สึกนั้นหวนคืนมาอีกครั้ง 

 

 

“เหยียนเค่อเขาบังคับให้เธอทำอะไรเหรอ” หลี่หมิงฉวีดูใส่ใจซย่าเสี่ยวมั่วมาก เพียงแต่ภาพที่ทั้งสองคนนั่งประจันหน้าคุยกัน ทำให้คนมองรู้สึกขบขัน 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วแบมือ “ถนนมันลื่นน่ะ ฉันไม่ทันระวังก็เลยลื่นล้มไป ก็แค่…ท่ามัน…” เธอชี้ไปที่ฉินซื่อหลานแล้วตอบอ้อมแอ้ม “ก็เหมือนที่เขาพูดนั่นแหละ” และเอ่ยชื่อเหยียนเค่อขึ้นมา “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ 

 

 

เหยียนเค่อ” 

 

 

“มั่วมั่ว ตกลงว่าเธอคบกับฉินซื่อหลานหรือว่าเหยียนเค่อกันแน่? ทำไมตอนนี้เธอถึงกลายเป็นคนแบบนี้ได้ล่ะ” หลี่หมิงฉวีมองเธอที่พูดถึงเหยียนเค่อแต่คนข้างกายกลับเป็นฉินซื่อหลาน ก็รับไม่ได้กับสภาพที่ซย่าเสี่ยวมั่วเปลี่ยนผู้ชายไปเรื่อยแบบนี้ 

 

 

“ฉันกลายเป็นแบบไหนเหรอ เหอะๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่เข้าใจตรรกะของเขาเลย หรือว่าต้องให้เธอหิวตายอยู่ริมถนนใช่ไหมถึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องน่ะ แต่ก็ไม่อยากจะถาม เพราะไม่ว่าตนจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับหลี่หมิงฉวีเลยสักนิด 

 

 

“เธออย่าโมโหสิ” หลี่หมิงฉวีเห็นสีหน้าเยือกเย็นของเธอแล้วก็กระวนกระวายใจ 

 

 

การที่มาถึงจุดนี้ได้ พวกเขาสองคนต่างคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง แต่ในมุมของซย่าเสี่ยวมั่วนั้น ทุกครั้งเธอจะพูดด้วยคำพูดร้ายๆ คิดว่าไม่ต้องมาเจอกันอีกตลอดไป แต่ก็มักจะมีการพบเจอกันในครั้งต่อไปเสมอ 

 

 

“ฉันไม่ได้โกรธ” ตอนที่ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ยิ้มนั้นดูเคร่งขรึมมาก “คราวก่อนฉันพูดชัดแล้วนะ ฉันไม่รู้ว่าทำไมนายถึงยังเอาแต่เข้าใกล้ฉันแล้วแสร้งทำเป็นไม่สนใจทุกครั้งด้วย ไม่ว่าจะเพราะนายต้องการแก้แค้น 

 

 

เหยียนเค่อหรือเขาหยามเกียรติลูกผู้ชายของนายก็ตาม ฉันแค่หวังว่าจะไม่ดึงฉันเข้าไปเกี่ยวด้วย” 

 

 

“มั่วมั่ว ฉันเปล่าจริงๆ ฉันแค่รักเธอมากก็เท่านั้น” ท่าทางเศร้าโศกของหลี่หมิงฉวี แม้แต่ฉินซื่อหลานก็ยังไม่กล้าทนดูตรงๆ ได้ 

 

 

คำพูดร้ายๆ แบบสุภาพก็พูดไปหมดแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วคิดว่าถ้าเธอยังพูดต่อล้อต่อเถียงอีกก็จะไม่จบไม่สิ้นเสียที หลี่หมิงฉวีชอบเธอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอล่ะ 

 

 

“ฉินซื่อหลาน ฉันอยากกลับไปนอนแล้ว” ซย่าเสี่ยวมั่วห้ามฉินซื่อหลานที่กำลังจะปริปากพูดตามสัญชาตญาณ ‘หุบปาก!’ 

 

 

ฉินซื่อหลานกลืนคำพูดนั้นลงไปแล้วเข็นเธอกลับไปตามทางเดิม หลี่หมิงฉวีนั่งมองฉินซื่อหลานเข็นซย่าเสี่ยวมั่วค่อยๆ เดินห่างออกไปแล้ว ในใจก็รู้สึกอ้างว้าง 

 

 

คนเรามักจะเห็นความสำคัญของอะไรสักอย่างก็ต่อเมื่อได้สูญเสียมันไปแล้ว เพียงแต่ในตอนนั้นใจคนเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างจึงแปรผัน  

 

 

“ทำไมหลี่หมิงฉวีต้องเอาชีวิตมาผูกกับเธอด้วยล่ะ” 

 

 

“ไม่รู้สิ ไม่อยากออกความเห็น” ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี 

 

 

การรักคนที่เขาไม่รักเรานั้นไม่น่าเศร้า แต่สิ่งที่น่าเศร้าคือ การรักเขาแล้วแต่กลับรู้สึกต่ำต้อยหรือแม้กระทั่งรู้สึกกลัวต่างหาก 

 

 

เธอชอบเหยียนเค่อ แต่เหยียนเค่อไม่ชอบเธอ แต่เธอไม่อยากให้เหยียนเค่อเกลียดขี้หน้าเธอ…ถึงแม้ว่าเหยียนเค่อจะเกลียดเธอมากแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วมองหลี่หมิงฉวีแล้วเหมือนเห็นตัวเอง อดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้ “ถามไปทั่วหล้าว่าความรักคือสิ่งใด…” 

 

 

ฉินซื่อหลานนึกว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะเศร้าได้ไม่นาน ใครจะไปรู้ว่าเธอจะเอ่ยออกมาเช่นนี้ “สิ่งที่ทำให้คนเดินชนร้านซาลาเปาตายไง” 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 352 พันธนาการของชีวิต 

 

 

ในค่ำคืนอันยุ่งเหยิงอลหม่าน 

 

 

ไม่รู้เมื่อไรที่หน้าต่างถูกเปิดออก ในสายลมเย็นเจือกลิ่นอายของตัณหา ผ้าม่านพัดกระทบกับพื้นห้อง ส่งเสียงดังขึ้นเบาบาง 

 

 

เบลล์รู้สึกเหนอะหนะไม่สบายตัว นอนไปได้ไม่นานก็ตื่นขึ้นอีกรอบ เธอดันผ้าห่มที่คลุมอยู่ครึ่งตัวออก ยามที่เท้าว่างเปล่าเหยียบลงบนพื้นนั้น ก็ถูกสัมผัสเย็นเข้ากระดูกปลุกให้ตื่นขึ้นเต็มตา 

 

 

ขณะกำลังจะลุกขึ้นยืน จู่ๆ มือที่โอบไว้รอบเอวก็รัดแน่นขึ้น ให้เบลล์ล้มลงบนเตียงอีกครั้ง 

 

 

“เธอจะไปไหน” เหยียนเฟิงตื่นเพราะเธอขยับตัว หัวคิ้วขมวดขึ้นน้อยๆ แล้วเอ่ยถามอย่างง่วงงุน 

 

 

“ฉันจะไปอาบน้ำ” เบลล์หยิบเสื้อนอนที่ถูกโยนทิ้งไปมาพาดไว้ที่ไหล่ โดยไม่รู้ว่าเป็นเสื้อของเธอหรือของเหยียนเฟิง 

 

 

ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะแน่นแฟ้น แต่ในความเป็นจริงนั้น จำนวนครั้งที่เหยียนเฟิงนอนหลับบนเตียงเดียวกับเบลล์นั้นน้อยจนแทบนับได้ เบลล์เองก็แปลกใจที่วันนี้เขาไม่ได้ไปนอนในห้องอื่นหรือว่าห้องหนังสือ 

 

 

“ฉันก็จะไปอาบน้ำเหมือนกัน” เหยียนเฟิงยันตัวลุกขึ้นจากเตียง หน้าผากซบลงบนลาดไหล่ของ เบลล์ เมื่อพูดจบก็ตำหนิอย่างไม่พอใจ “นี่เพิ่งจะกี่โมงเอง” 

 

 

เบลล์คาดเดาคร่าวๆ “เที่ยงคืนมั้งคะ?” 

 

 

“เธออยากกินอะไรไหม” เหยียนเฟิงรู้สึกหิวนิดหน่อย 

 

 

เบลล์ชะงักไป ก่อนจะตอบอย่างเย็นชา “ฉันกินยาแน่นอนค่ะ” 

 

 

เธอเห็นคำถามของเหยียนเฟิงเป็นเหมือนการเตือน ทันใดนั้นสมองของเหยียนเฟิงก็รู้สึกตื่นเต็มตัว รวบเธอไว้ในอ้อมกอดแน่นๆ “เธอพูดอะไรน่ะ” 

 

 

“คุณไม่ได้จะพูดถึงเรื่องนั้นเหรอ” เบลล์โดนเขากอดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ผลักหน้าอกเขาออกไป “ฉันก็บอกแต่แรกแล้วไงว่าอย่าปล่อยข้างใน!” 

 

 

เบลล์ล่ะกลัวพวกผู้ชายจริงๆ ทุกครั้งเธอต้องกินยาคุม จนกลัวว่าต่อไปตัวเองจะมีลูกไม่ได้ แต่ผู้ชายคนนี้กลับไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของเธอเลย 

 

 

“ไม่ให้ฉันปล่อยข้างใน แถมยังต้องกินยาอีก?” 

 

 

“แล้วจะให้ทำยังไงคะ?” เบลล์ถามกลับยิ้มๆ ที่แท้ผู้ชายคนนี้ก็ไม่เคยรู้เลยใช่ไหม เขารู้แต่ตอนที่เขายื่นยาคุมให้พวกนักแสดงโนเนมมากหน้าหลายตานั้นสินะ 

 

 

“เป็นอย่างนี้นี่เอง” เหยียนเฟิงเข้าใจอย่างถ่องแท้ ค่อยๆ คลายคนในอ้อมกอด “เป็นอย่างนี้นี่เอง” 

 

 

เบลล์ไม่รู้ว่าเขาพูดหรือคิดอะไรอยู่ แต่เธอเบื่อหน่ายแล้วจริงๆ กับชีวิตแบบนี้ จึงผลักแขนเขาออกเบาๆ “ฉันจะไปอาบน้ำ” 

 

 

ครั้งนี้ไม่มีใครมารั้งเธอไว้แล้ว แค่ผลักเบาๆ แขนนั้นก็ลื่นหลุดไปจากร่างของตนทันที 

 

 

เมื่อเบลล์อาบน้ำเสร็จออกมาเหยียนเฟิงก็หลับไปแล้ว แต่เธอกลับไม่มีความง่วงเลย เธอยืนพิงกรอบหน้าต่างมองดูแผ่นฟ้าที่มืดมิดภายนอกหน้าต่าง 

 

 

ถ้าเป็นการตอบแทนบุญคุณ เธอก็คงทำเต็มที่สุดความสามารถแล้ว ตอนนี้ถึงเป็นสามีภรรยากันก็อาจจะอยู่เคียงข้างกันเป็นเวลานานขนาดไม่ได้ด้วยซ้ำ 

 

 

เธอเพียงหวังว่าสักวันหนึ่ง เวลาที่เดินอยู่บนถนนแล้วเจอผู้ชายคนนี้อีกครั้งจะไม่ต้องหลบหลีก และเดินผ่านไปได้อย่างไม่รู้สึกละอายใจ แต่เหยียนเฟิงคงไม่มาเดินอยู่บนถนนหรอก… 

 

 

ความจริงเหยียนเฟิงไม่ได้นอนหลับ เพียงแต่ตอนนี้เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเบลล์ แม้แต่จะเอ่ยปากถามยังทำไม่ได้ 

 

 

มีเสียงปิดประตูเบาๆ ดังมาจากด้านหลัง เหยียนเฟิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรกันแน่ 

 

 

เบลล์ประคองแก้วแล้วนั่งลงบนโซฟา เมื่อหันไปเห็นเหยียนเฟิงก็ตกอกตกใจ 

 

 

“ค…คุณตื่นแล้วเหรอคะ” 

 

 

ตอนแรกเหยียนเฟิงยังรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของเธอแล้วสีหน้าก็กลับสู่สภาพปกติ ด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นถึงขีดสุด “ใครอนุญาตให้เธอกิน” 

 

 

เบลล์มองยาที่ยังไม่แกะบนมือ ไม่รู้ว่าทำไมคืนนี้เหยียนเฟิงถึงจงใจหาเรื่องเธอนัก “แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไงคะ” 

 

 

เหยียนเฟิงกางแขนไปแย่งมาแล้วโยนทิ้งถังขยะ “ฉันบอกแล้วว่าไม่อนุญาต” 

 

 

“ได้” เบลล์ฝืนฉีกยิ้ม อย่างไรเสียร่างกายของเธอก็ทนทรมานไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เธอเบื่อจริงๆ จึงลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินออกไป 

 

 

เหยียนเฟิงดึงแขนเธอไว้ “เธอหิวหรือเปล่า” 

 

 

“ไม่หิวค่ะ” เบลล์ตอบเสียงเรียบ 

 

 

เหยียนเฟิงไม่เคยพูดเสียงอ่อนกับใครมาก่อน การยื้อเบลล์ไว้ถือเป็นการยอมอ่อนข้อให้ที่สุดที่เขาพอจะทำได้แล้ว ใครจะรู้ว่าเบลล์จะไม่ซาบซึ้งกับมันเลย 

 

 

เขาโยนเบลล์ลงบนโซฟา “ไม่หิว? ก็ดี งั้นเรามาต่อเลยดีกว่า” 

 

 

เบลล์มองเขาอย่างหวาดผวา น้ำหนักที่กดทับบนตัวของเธอเหมือนกับพันธนาการของชีวิตที่แข็งแกร่งมากขึ้น ทำให้เธอไม่สามารถหลีกหนีออกไปได้ตลอดชีวิต บางที นี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่าก้มหน้ายอมรับชะตากรรมกระมัง 

 

 

ในค่ำคืนที่อากาศเยียบเย็น แสงดาวพร่างพรายเต็มท้องฟ้า