เล่มที่ 15 เล่มที่ 15 ตอนที่ 447 บุตรของกุ้ยเฟยเป็นของใคร

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซีสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ทว่านางมีสัญชาตญาณว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายอย่างที่คิด

แม้นางจะรู้จักและติดต่อกับมู่หรงฉีเป็นเวลาไม่นานนัก ทว่าตามความเข้าใจของนางที่มีต่อมู่หรงฉีในเวลานี้ นางรู้สึกว่าหากพระโอรสในพระครรภ์ของกุ้ยเฟยเป็นบุตรของมู่หรงฉีจริง เขาจะไม่แสดงสีหน้าเช่นเมื่อครู่

นอกจากนั้น… พระโอรสในพระครรภ์ของกุ้ยเฟยช่างน่าประหลาดเสียจริง

“หากพระโอรสในพระครรภ์ของกุ้ยเฟยเป็นบุตรของมู่หรงฉีจริง ตามกฎหมายของแคว้นหนานหลี พวกเขาจะจัดการกับมู่หรงฉีอย่างไร? ” ซูจิ่นซีถาม

“หากฮ่องเต้องค์ก่อนยังอยู่ พระองค์อาจเห็นแก่ความสัมพันธ์พ่อลูก และมอบกุ้ยเฟยให้เจ้าฉีก็เป็นได้ ทว่ายามนี้ฮ่องเต้องค์ก่อนไม่อยู่แล้ว ทั้งในราชสำนักยังมีคนไม่น้อยที่หวัง ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสามเสาอำนาจหลัก เจ้าฉี มหาอุปราช และจงเนี่ย พวกเขาคงอาศัยโอกาสนี้สังหารเจ้าฉีกระมัง? ดังนั้นเรื่องนี้จึงพูดยาก”

แววตาลึกล้ำของซูจิ่นซีเหลือบมองไปยังแผ่นกระเบื้องที่เปิดอยู่ ไม่รู้ว่านางกำลังครุ่นคิดสิ่งใด ครู่หนึ่งจึงถามอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “เจ้าทราบหรือไหมว่าเมื่อห้าเดือนก่อนมู่หรงฉีอยู่ที่ใด? ”

“ห้าเดือนก่อน? ” อู๋จุนไม่ได้ถามอันใดมาก เขาตอบตามตรงว่า “เมื่อห้าเดือนก่อน เขากับข้าอยู่ที่แคว้นจงหนิงตลอดเวลา ทำไมหรือ? ”

ดวงตาของซูจิ่นซีส่องประกายความดีใจ และถามว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าจำไม่ผิด ห้าเดือนก่อนคือเดือนสิบสองของปีที่แล้ว”

อู๋จุนขมวดคิ้วเป็นเกลียว “แม่นางพิษน้อย เจ้าไม่เชื่อในความสามารถของพี่จุนเกินไปแล้ว แม้ข้ากับเจ้าฉีจะต่างสกุลกัน ทว่าพวกเรามีมิตรภาพที่ดีต่อกันตั้งแต่เด็ก เรื่องแค่นี้ข้าจะจำผิดได้อย่างไร? เดือนสิบสองของปีที่แล้ว ตลอดระยะเวลาสามเดือน พี่จุนกับเขาอยู่ที่แคว้นจงหนิง”

ดวงตาซูจิ่นซีแสดงออกอย่างมั่นคง นางกำลังครุ่นคิดสิ่งใดบางอย่าง

อู๋จุนรู้สึกประหม่าอย่างมาก เขาเดินไปยังกระเบื้องที่เปิดอยู่และมองลงไปเบื้องล่าง

ขณะที่อู๋จุนก้มมอง เขาบังเอิญทำให้เกิดเสียงดัง เมื่อคิดจะหลบหนีก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว พลังภายในที่แข็งแกร่งพุ่งขึ้นมาจากด้านล่างอย่างรวดเร็ว กระเบื้องหลังคาใต้ฝ่าเท้าของซูจิ่นซีกับอู๋จุนพลันแตกละเอียด พวกเขาทั้งสองตกลงมาด้านล่างท่ามกลางสายตาของทุกคนที่อยู่ในห้อง

มหาอุปราชมู่หรงเฟิงใช้กำลังภายในทำลายจุดที่พวกเขายืนบนหลังคา เขาดึงมือกลับมาพลางเชิดคอขึ้นอย่างทะนงตน สีหน้าแสดงออกอย่างเงียบขรึม ทั้งไม่เหลือบมองซูจิ่นซีกับอู๋จุนแม้แต่น้อย

ตั้งแต่ซูจิ่นซีเข้ามาในดินแดนของแคว้นหนานหลี นางได้ปลอมตัวเป็นบุรุษ แม้รูปร่างหน้าตาของนางยังคงเหมือนเดิม ทว่ามู่หรงฉีกลับจำซูจิ่นซีไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เขาจำอู๋จุนได้อย่างรวดเร็ว จึงขมวดคิ้วแน่น

องครักษ์กลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าประตูมาพร้อมอาวุธครบมือ พวกเขาล้อมซูจิ่นซีกับอู๋จุนไว้ตรงกลาง

“บังอาจ กล้าแอบฟังท่านอ๋องทั้งสองพระองค์และท่านแม่ทัพใหญ่สนทนากัน ควรรับโทษสถานใด? ”

หัวหน้าขันทีผู้ดูแลห้องบรรทมของกุ้ยเฟย นำกลุ่มคนเข้ามาล้อมซูจิ่นซีกับอู๋จุนไว้

“บัดซบ! ”

อู๋จุนสบถเสียงเบาและประคองซูจิ่นซีให้ยืนขึ้น “แม่นางพิษน้อย ดูเหมือนวันนี้พี่จุนต้องสังหารหมู่เสียแล้ว ทว่าพี่จุนจะใช้โอกาสนี้สอนกระบวนท่าที่มีประโยชน์ในการต่อสู้ให้เจ้า”

แม่นางพิษน้อย?

มู่หรงฉีอดหันไปมองซูจิ่นซีอย่างละเอียดและระมัดระวังไม่ได้ แววตาของเขาส่องประกายความอบอุ่น

เมื่อเห็นเหล่าองครักษ์กำลังจะลงมือจับกุมอู๋จุนกับซูจิ่นซี มู่หรงฉีจึงเข้าไปขัดขวาง “ช้าก่อน!” จากนั้นเขาก็หันไปถามขันทีผู้ดูแลห้องบรรทมของกุ้ยเฟย “นี่มันเรื่องอันใดกัน? ตำหนักในเป็นพื้นที่ต้องห้าม เหตุใดจึงมีชายแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้นได้? เจ้าทำหน้าที่หัวหน้าขันทีผู้ดูแลอย่างไรกัน? ”

หัวหน้าขันทีผู้นั้นตัวสั่นเทาอย่างรุนแรง เขารีบคุกเข่าลงและรายงานว่า “ทูล… ทูลฉีอ๋อง คือว่า… สองคนนี้เป็นหมอชาวบ้านที่คัดเลือกมาจากประกาศของราชสำนักก่อนหน้านี้ บุรุษทั้งสองเสนอตัวมารักษากุ้ยเฟย ยามนี้พวกเขาอาศัยอยู่ที่ห้องโถงด้านข้าง ส่วน… วันนี้ เหตุใดพวกเขาถึงขึ้นไปบนหลังคา กระหม่อม… กระหม่อมมิอาจทราบได้ ฉีอ๋องโปรดตรวจสอบให้แน่ชัด! ”

มู่หรงฉีหันไปมองท่านแม่ทัพใหญ่จงเนี่ย

แม้จะใช้ประกาศของทางราชสำนักเพื่อสรรหาหมอชาวบ้าน ทว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของจงเนี่ยมาโดยตลอด มู่หรงฉีหันไปมองเขาเช่นนี้ แสดงถึงการตั้งคำถามอย่างชัดเจน

ก่อนหน้านี้ที่ห้องโถงด้านข้าง ซูจิ่นซีกับจงเนี่ยได้พูดคุยถึงข้อตกลงชั่วคราว ดังนั้น เวลานี้จงเนี่ยย่อมปกป้องซูจิ่นซีกับอู๋จุนเป็นธรรมดา

จงเนี่ยมีท่าทีเคร่งเครียด เขาพูดเสียงดังว่า “สองคนนี้เป็นหมอชาวบ้านที่ถูกคัดเลือกเข้ามาก่อนหน้านี้จริงๆ ทว่า… เจ้าทั้งสองบังอาจเกินไปแล้ว ไม่ดูให้ดีว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใด เดินตามอำเภอใจได้อย่างไร? ช่างไม่รู้จักกฎระเบียบในวังหลวงเอาเสียเลย! พระอาการประชวรของกุ้ยเฟยมีเงื่อนงำหรือไม่? คิดหาวิธีใช้โอสถได้หรือไม่? เหตุใดจึงเดินเตร่อยู่ที่นี่ ยังไม่รีบไปอีก”

ซูจิ่นซีเข้าใจอย่างชัดเจน นางรีบดึงอู๋จุนออกไปทันที

“ช้าก่อน… ”

ทันใดนั้น น้ำเสียงดุดันและยากที่จะปฏิเสธก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ฝีเท้าของซูจิ่นซีและอู๋จุนราวกับถูกมนตร์สะกดให้หยุดนิ่งอยู่ที่เดิม

มู่หรงเฟิงเหลือบมองซูจิ่นซีและอู๋จุนด้วยสายตาดูแคลน “ท่านแม่ทัพใหญ่กล่าวคำว่า ‘ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์’ ได้ไร้น้ำหนักเสียจริง ทว่า… ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น หมอชาวบ้านธรรมดามีฝีมือดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ? พวกเขาสามารถหลบหนีองครักษ์ของวังหลวง และเข้ามาในห้องบรรทมของกุ้ยเฟยได้อย่างไร? ”

จงเนี่ยพูดไม่ออกพักหนึ่ง

“องครักษ์ ยังไม่จับนักฆ่าสองคนนี้ให้ข้าอีก! ” มหาอุปราชมู่หรงเฟิงกล่าวด้วยพระสุรเสียงอันดัง จากนั้นองครักษ์กลุ่มหนึ่งก็เดินมาด้านหน้าและควบคุมตัวซูจิ่นซีกับอู๋จุน

มู่หรงฉีเป็นกังวล เขาลุกขึ้นยืนทันที “ช้าก่อน! ”

มหาอุปราชมองมู่หรงฉีด้วยสายตาแหลมคม “โอ้? เป็นเรื่องยากที่ฉีเอ๋อร์และท่านแม่ทัพใหญ่จะมีความคิดเห็นตรงกันเช่นวันนี้ ทำไม? หรือว่าฉีเอ๋อร์ เจ้ารู้จักหมอชาวบ้านทั้งสอง? ”

มู่หรงฉีหาได้สนใจคำพูดของมหาอุปราช เขาเดินไปด้านข้างอู๋จุนและตบไหล่อู๋จุนอย่างแรง “เจ้าเด็กนี่ เข้าวังไม่บอกให้ข้ารู้สักคำ ก่อนหน้านี้ข้าแอบขโมยดื่มสุราดอกเหมยของเจ้า จำได้หรือไม่? ”

มู่หรงฉีเคยขโมยดื่มสุราดอกเหมยของอู๋จุนที่ใดกัน?

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ อู๋จุนก็รู้ในทันทีว่ามู่หรงฉีตั้งใจลดความตึงเครียด จึงรีบพูดแสดงความเคารพต่อมู่หรงฉี

“แน่นอนว่ากระหม่อมยังจำเรื่องที่ท่านอ๋องดื่มสุราดอกเหมยของกระหม่อมเมื่อครั้งก่อนได้ ดังนั้นที่กระหม่อมเข้าวังหลวงมาในครั้งนี้ ทั้งยังไม่ได้กล่าวทักทายท่านอ๋อง นับเป็นความใจแคบของกระหม่อม หวังว่าท่านอ๋องจะโปรดประทานอภัย”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ” มู่หรงฉีหัวเราะเสียงดัง จากนั้นจึงกลับไปนั่งที่เก้าอี้ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ครั้งนี้ เห็นแก่เจ้าที่เข้าวังหลวง มาในฐานะหมอตรวจรักษาพระอาการของกุ้ยเฟย ข้าจะไม่เอาความเจ้า ทว่าตามกฎแล้ว เจ้ายังต้องชดใช้ ส่วนจะชดใช้ด้วยสิ่งใดนั้น รอข้ากลับไปที่จวนก่อน ค่อยคุยรายละเอียดกับเจ้า”

เห็นอู๋จุนกับมู่หรงฉีคุ้นเคยกันถึงเพียงนี้ จงเนี่ยและมู่หรงเฟิงต่างขมวดคิ้วมุ่น

“ฉีเอ๋อร์ นี่มันเรื่องอันใดกันแน่? ”

มู่หรงฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย “อู๋จุน เจ้ายังไม่รีบคำนับมหาอุปราชอีก”

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว อู๋จุนต้องทำตามความตั้งใจของมู่หรงฉีและหันไปประสานมือคำนับมู่หรงเฟิง “เจ้าหุบเขาเทพโอสถ อู๋จุน คำนับมหาอุปราช”

เจ้าหุบเขาเทพโอสถ?

แม้ไม่เคยพบคนผู้นี้มาก่อน ทว่าชื่อนี้เป็นที่เลื่องลือยิ่งนัก มู่หรงเฟิงและจงเนี่ยจึงเคยได้ยินคนพูดถึงค่อนข้างมาก

แววตามู่หรงเฟิงเผยความเคร่งขรึม

เขาพูดขึ้นลอยๆ ว่า “ที่แท้ก็เป็นสหายเก่าของฉีเอ๋อร์”

ส่วนจงเนี่ยมีท่าทีตกตะลึง เขามองไปทางซูจิ่นซีที่อยู่ด้านหลังอู๋จุนด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยไอสังหาร

ทันใดนั้น จงเนี่ยก็จุดประกายความคิด เขานึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ ตอนอยู่ที่ห้องปีกข้าง ตนเองถูกคุณชายร่างเล็กผู้นี้หลอกลวงเสียแล้ว

แม้เขาจะไม่มีวรยุทธ์ ทว่าผู้ที่อยู่ข้างกายกลับเป็นถึงเจ้าหุบเขาเทพโอสถ อู๋จุน

ผู้ที่มีร่างกายบอบบางและไม่เป็นวรยุทธ์ ย่อมไม่มีความสามารถในการสังหารบุตรของเขา หรือจะเป็นอู๋จุน?