อู๋จุนอับจนหนทาง ทว่าซูจิ่นซียังคงดึงดัน เขาจึงทำได้เพียงพาซูจิ่นซีขึ้นไปบนหลังคาห้องบรรทมของกุ้ยเฟย และเฝ้าดูสถานการณ์ภายในห้องบรรทม
ภายในห้องบรรทมมืดสลัว มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญของสตรีดังอย่างต่อเนื่อง
ซูจิ่นซีเดินอยู่ในห้องบรรทมของกุ้ยเฟยมาหลายวัน เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้นั้น จึงรู้ทันทีว่าเป็นเสียงของกุ้ยเฟย
แม้วันนี้ที่ด้านนอกห้องบรรทมจะมีเทียนเพิ่มขึ้นอีกสองสามเล่ม ทว่าเทียนยังมีโคมคลุมด้านนอกอีกชั้นหนึ่ง แสงเทียนจึงไม่ค่อยสว่างนัก
ระหว่างห้องด้านในและด้านนอกมีผ้าม่านคั่นกลาง ด้วยเหตุนี้ด้านในจึงมืดกว่าด้านนอก
ซูจิ่นซีเปิดกระเบื้องออกครึ่งหนึ่งอย่างระมัดระวัง นางมองลงไปเห็นมู่หรงฉีในชุดสีขาวนวลจันทร์นั่งอยู่ตรงจุดที่นางมองเห็นได้ชัดเจนพอดี
มู่หรงฉีในวันนี้ดูน่าเกรงขามและเย็นชากว่าปกติ แม้ภายในห้องจะมีคนอยู่ไม่กี่คน ทว่าเมื่อเขานั่งอยู่ตรงนั้น ผู้อื่นต่างแสดงท่าทางหวาดกลัวและไม่กล้าส่งเสียงใดๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงร้องไห้ของกุ้ยเฟยก็ดังมาจากห้องชั้นใน
“แม้ข้าจะเคยเป็นพระสนมของฝ่าบาท ทว่าเด็กในครรภ์เป็นของฉีอ๋องแน่นอน อย่างไรก็ตาม… อย่างไรก็ตาม ข้าและท่านอ๋องก็เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากฉีอ๋องไม่ยอมรับเลือดเนื้อเชื้อไขในท้องของข้า ข้าก็ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป มิสู้… มิสู้ตายไปเสียดีกว่า ฮือฮือฮือ… ”
จากนั้นเสียงของนางกำนัลที่ห้ามปรามไม่ให้กุ้ยเฟยปลิดพระชนม์ตนเองก็ดังมาจากห้องด้านใน
“กุ้ยเฟย อย่าเพคะ กุ้ยเฟย! ”
“กุ้ยเฟย โปรดถนอมพระวรกายด้วยเพคะ! ”
โอรสในพระครรภ์ของกุ้ยเฟยเป็นบุตรของมู่หรงฉี?
นี่มันเรื่องอันใดกัน?
ใบหน้าซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
หากนับตามลำดับขั้นอาวุโส กุ้ยเฟยเป็นสตรีในพระบิดาของมู่หรงฉี แม้ฮ่องเต้แห่งแคว้นหนานหลีจะหายตัวไปนานแล้ว ทำให้เหล่านางสนมในวังหลังเปล่าเปลี่ยวมาเนิ่นนาน อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่คิดว่ามู่หรงฉีจะเป็นผู้ที่กระทำเรื่องเช่นนี้ได้
“หึ ฉีอ๋อง พระองค์ต้องให้คำอธิบายเรื่องในวันนี้กับพวกเราสองพี่น้องสกุลจง มิฉะนั้น ข้ากับท่านไม่มีทางจบกันเพียงเท่านี้แน่! ”
จงเนี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างพลันลุกขึ้น
มู่หรงฉียังคงนั่งบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาเอียงตัวเล็กน้อย สายตาทอดยาวออกไป ท่าทีเคร่งขรึมนั้นไม่สามารถบอกได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด
“มหาอุปราชมาถึงแล้ว! ”
ทันใดนั้น เสียงเล็กแหลมของขันทีก็ดังมาจากด้านนอกประตู
จงเนี่ยและคนอื่นๆ รีบออกไปต้อนรับ บรรดาหมอหลวง นางกำนัล และบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านนอกต่างคุกเข่าลงบนพื้น
ทว่ามู่หรงฉีกลับนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ขยับเขยื้อน ราวกับน้ำแข็งหมื่นปี
ครู่หนึ่ง ชายในชุดสีม่วงอันสูงศักดิ์และสง่างามก็ค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
คนผู้นี้คือมู่หรงเฟิง มหาอุปราชหรือผู้สำเร็จราชการแทนซึ่งมีอำนาจปกครองดูแลแคว้นหนานหลี
ตามลำดับอาวุโส มู่หรงเฟิงนับเป็นพระปิตุลาของมู่หรงฉี หากนับตามอายุ เขามีอายุมากกว่ามู่หรงฉีหนึ่งรอบ ทว่าใบหน้าของเขากลับรวบรวมความเมตตาและความชื่นชมยินดีของสวรรค์มาทั้งหมด อีกทั้งความสูงวัยกลับไม่ทิ้งร่องรอยของกาลเวลาให้ปรากฏบนใบหน้าแม้แต่น้อย
เขามีคิ้วดกหนา สันจมูกโด่ง ดวงตาลุ่มลึกดั่งผู้ที่มีประสบการณ์โชกโชน สามารถคาดเดาทุกสิ่งในโลก และโหนกแก้มที่เด่นชัด
ผมยาวดกดำถูกมัดสูงและสวมด้วยมงกุฎทองคำ ยิ่งขับเน้นให้เขาดูหนักแน่นมากยิ่งขึ้น เสื้อคลุมด้านในสีขาวนวลจันทร์สง่างาม พร้อมด้วยลวดลายมังกรสีเหลืองขลิบดำรอบเอว และเสื้อคลุมด้านนอกสีม่วง เขาเดินเข้ามาด้วยท่าทางหยิ่งทะนงราวกับนกยูง
ทว่าไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าการแสดงออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขาดูไม่เหมาะสม ตรงกันข้าม มันแสดงถึงอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกิน
ซูจิ่นซีมองดูและอดรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจไม่ได้ กระทั่งอู๋จุนที่ยืนอยู่ด้านข้างซูจิ่นซี เขาซึ่งไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดและไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ยังตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
มู่หรงเฟิงเดินเข้าประตูมาเห็นมู่หรงฉีนั่งบนเก้าอี้โดยไม่ลุกขึ้นยืนก็ไม่ถือสา กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังรีบย้ายเก้าอี้ไม้พะยูงสีทองเข้ามาให้เขานั่ง มู่หรงเฟิงจัดระเบียบเสื้อผ้า ก่อนจะหยิบขวดยานัตถุ์ออกมาจากแขนเสื้อและสูบอย่างสบายอารมณ์
จากนั้นมู่หรงเฟิงก็กล่าวอย่างผ่อนคลายว่า “ฉีเอ๋อร์ เจ้าทำให้เสด็จลุงอย่างข้าเป็นกังวลอีกแล้ว”
มู่หรงฉีที่นิ่งเงียบอยู่นาน เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “โอ้? หลานทำสิ่งใดให้เสด็จลุงต้องกังวลพระทัยหรือ? ”
มู่หรงเฟิงมองไปยังทิศทางห้องด้านในของกุ้ยเฟยอย่างสงบ และพูดว่า “ไม่ควรเปิดเผยเรื่องราวเลวร้ายของครอบครัวให้คนภายนอก โดยเฉพาะเรื่องของเชื้อพระวงศ์ ยิ่งไม่ควรให้คนนอกกล่าวถึง อย่างไรก็… รีบตัดสินใจเสียเถิด”
มู่หรงฉีพูดด้วยแววตาเยาะเย้ย “เรื่องนี้ เสด็จลุงไม่ต้องเป็นกังวล”
ดูเหมือนมู่หรงฉีจะไม่เห็นมหาอุปราชมู่หรงเฟิงอยู่ในสายตา อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะท้าทายอำนาจของมู่หรงเฟิงอย่างไร มู่หรงเฟิงกลับอดกลั้นได้ดียิ่งนัก และไม่แสดงความโกรธออกมาแม้แต่น้อย
“เรื่องนี้เสด็จลุงอย่างข้าไม่จำเป็นต้องกังวลก็จริง ทว่าเกี่ยวกับกฎหมายของแคว้นหนานหลี ข้าจะไม่ไถ่ถามก็ไม่ได้”
หลังสิ้นเสียงคำพูดของมู่หรงเฟิง ขุนนางฝ่ายตุลาการจำนวนหนึ่งก็ทยอยเดินเข้ามาเบื้องหน้า
เจตนานั้นชัดเจนยิ่งนัก ไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร มู่หรงฉีก็ไม่สามารถหลบหนีการลงโทษทางกฎหมายของแคว้นหนานหลีไปได้
แม้มู่หรงฉีได้ประโยชน์อย่างมากจากการได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้เขาเพลิดเพลินไปกับอำนาจและความสูงศักดิ์อย่างสมพระเกียรติ ซึ่งไม่มีผู้ใดเทียบได้
อย่างไรก็ตาม เขากลับเข้าไปยุ่งเกี่ยวมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนางสนมของเสด็จพ่อตนเอง จึงต้องได้รับการลงโทษอย่างรุนแรงตามกฎหมายของแคว้นหนานหลี
หากเป็นไปตามกฎหมาย มู่หรงฉีจะถูกตัดสินโทษโดยการถอดยศออกจากราชวงศ์ สละยศอ๋อง และลดระดับเป็นสามัญชน
กลอุบายนี้ช่างโหดเหี้ยมไร้ปรานี
ซูจิ่นซีกำหมัดแน่น แววตาเต็มไปด้วยความดุดัน
อู๋จุนเห็นเช่นนั้นจึงรีบดึงซูจิ่นซีมายังข้างกาย เพื่อป้องกันไม่ให้ซูจิ่นซีตื่นตระหนกจนลมหายใจไม่มั่นคง และอาจทำให้คนที่อยู่ด้านล่างจับสังเกตได้
“แม่นางพิษน้อย เรื่องนี้เป็นเรื่องในราชวงศ์ ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา พี่จุนควรพาเจ้าออกไปโดยเร็วที่สุด! ไป! ”
อู๋จุนพูดพลางดึงตัวซูจิ่นซีให้รีบจากไป
ซูจิ่นซียังคงนิ่งเงียบไม่ขยับ “ทว่าเจ้ากับมู่หรงฉีเป็นพี่น้องกัน เจ้าจะทนดูเขาถูกกลุ่มคนด้านล่างให้ร้ายโดยไม่สนใจหรือ? ”
อู๋จุนมีท่าทีเคร่งเครียด เขานั่งยองๆ และพูดว่า “เป็นความผิดของเขาเองที่ถูกผู้คนให้ร้าย เขาต้องยอมรับผลในการกระทำของตนเอง ข้าจะเข้าไปยุ่งได้อย่างไร”
ยอมรับผลที่เขากระทำด้วยตนเอง?
พูดเช่นนี้ได้อย่างไร?
อู๋จุนเงยหน้า เมื่อเห็นใบหน้าของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความสงสัยจึงพูดว่า “ข้าบอกความจริงกับเจ้าก็ได้! ความจริงแล้ว… หากพูดว่าเป็นบุตรของเจ้าฉี ก็ไม่ผิดนัก”
ซูจิ่นซียิ่งไม่เข้าใจมากกว่าเดิม
“เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่? เจ้าพูดให้ชัดเจนภายในครั้งเดียวได้หรือไม่”
อู๋จุนดูอึดอัดใจเล็กน้อยที่ต้องพูด อย่างไรก็ตาม เขายังคงกล่าวว่า “จงกุ้ยเฟยผู้นั้นมีความสัมพันธ์กับเจ้าฉีก่อนที่จะเข้าวังหลวง ทั้งสองกำลังจะสมรสกัน ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง จงกุ้ยเฟยจึงเข้าวังและอภิเษกสมรสกับฮ่องเต้เฒ่า หลายปีมานี้ ดูเหมือนเจ้าฉียังรักและคะนึงหาจงกุ้ยเฟยไม่ลืม ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วนที่โอรสในพระครรภ์ของจงกุ้ยเฟยจะเป็นบุตรของเจ้าฉี”