บทที่ 1806+1807

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1806 เป็นที่ฮือฮานัก คึกคักยิ่ง

ตี้ฝูอีหลุบตามองดวงหน้ายามหลับใหลของนาง จะมองอย่างไรก็มองไม่พอ

….

วันเวลามักจะผันผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ บนโลกนี้สิ่งที่รั้งไว้ได้ยากที่สุดก็คือเวลา ไม่ว่าจะไม่ยินยอมสักเพียงใด เวลาที่สมควรจะไหลผ่านไปก็ยังคงไหลผ่านไปอยู่ดี

เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านพ้นไปสองเดือนแล้ว

ในสองเดือนนี้ก็เกิดเรื่องราวบางอย่างขึ้นเหมือนกัน อย่างเช่นในที่สุดหลานไว่หูกับเยี่ยนเฉินก็แต่งงานกันแล้ว กู้ซีจิ่วและตี้ฝูอีเป็นพยานในการวิวาห์ให้พวกเขาด้วยตัวเอง ทำให้สองคนนี้มีหน้ามีตาอย่างยิ่ง!

แน่นอนว่างานวิวาห์นี้ก็เป็นที่ฮือฮานัก คึกคักยิ่ง

เดิมทีบิดามารดาของเยี่ยนเฉินยังคิดอยู่ว่าเมื่อบุตรชายจะแต่งงาน ถึงอย่างไรก็คงต้องบอกกล่าวให้ทราบสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจกลับมาเชื้อเชิญพวกเขาไปร่วมงานด้วยตัวเองก็ได้ อย่างไรเสียเมื่อชายหญิงสมรสกันก็ต้องหวังว่าจะได้รับคำอวยพรจากพ่อแม่อยู่แล้ว

ผลคือพวกเขารอคอยบุตรชายอยู่ตลอดจวบจวนถึงวันก่อนพิธีแต่งงานของบุตรชาย อย่าว่าแต่เยี่ยนเฉินจะมาเยือนเลย แม้กระทั่งเทียบเชิญสักใบก็ไม่ได้ส่งมาให้!

ฮูหยินเยี่ยนโกรธเคืองยิ่งนัก และผิดหวังยิ่งนักเช่นกัน นายท่านเยี่ยนก็ติเตียนนางอย่างขุ่นเคืองยิ่งนัก หมางเมินต่อนางไม่น้อย แทบจะไม่มาเฉียดกรายประตูเรือนหลักของนางเลย ไปนอนที่เรือนของอนุภรรยาทุกวัน

ฮูหยินเยี่ยนที่ตกอยู่ในความโกรธเคือง ตัดสินใจจะไปที่คฤหาสน์หลังใหม่ที่เยี่ยนเฉินสร้างขึ้น คิดว่าเมื่อบุตรชายทราบว่าตนมา คงไม่ไร้ยางอายจนไม่มาพบนางกระมัง?

บุตรชายเป็นก้อนเนื้อที่หลุดออกมาจากร่างตน อย่างไรก็ต้องชิดเชื้อกับนางที่สุด มิใช่ไปชิดเชื้อกับนังจิ้งจอกน้อยแพศยาคนนั้นอยู่ตลอด!

นางต้องหาทางเข้าไปในเรือนของบุตรชายให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยสู้รบตบมือกับนังจิ้งจอกน้อยตัวนั้นช้าๆ…

ทว่านางไม่คิดจะก่อกวนชีวิตสมรสของบุตรชายอีกแล้ว ถึงอย่างไรหลานไว่หูก็เป็นคนของเผ่าจิ้งจอกคราม มีส่วนช่วยเหลือบุตรชายเป็นอย่างมาก แต่นางจะทำให้หลานไว่หูเข้าใจ ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของบ้านสกุลเยี่ยนตัวจริง นางเป็นแม่สามี จะต้องมีอำนาจชี้ขาดได้! อย่างน้อยก็ต้องทำให้นังจิ้งจอกน้อยตัวนั้นยอมศิโรราบต่อนาง เคารพนาง…

นี่คือลูกคิดรางแก้วที่ฮูหยินเยี่ยนคำนวณไว้ในใจ นางถึงขั้นที่เตรียมจะยอมลดตัวลงต่อหน้าบุตรชายก่อนแล้วแสดงความอ่อนแอออกมา

สิ่งที่นางนึกไม่ถึงคือ ไม่ง่ายเลยกว่านางจะไปถึงที่นั่นได้ ทว่ากลับถูกปิดประตูใส่หน้า!

คิดจะเข้าร่วมงานวิวาห์นั่นง่ายดายนัก ขอเพียงถือเทียบเชิญมา! มิเช่นนั้นยามเฝ้าประตูไม่มีทางปล่อยให้นางเข้าไป!

นางโมโหจนหายใจติดขัด เปิดเผยฐานะของตน จากนั้นก็ให้ยามเฝ้าประตูเข้าไปรายงาน

ผลคือหลังจากยามเฝ้าประตูคนนั้นเข้าไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็ออกมา ยื่นเงินให้ฮูหยินเยี่ยนหนึ่งร้อยตำลึง เชิญฮูหยินเยี่ยนให้กลับไปตามทางเดิม เยี่ยนเฉินแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากพบนาง และไม่ปล่อยให้นางได้เข้ามาร่วมงานวิวาห์ของเขากับหลานไว่หูด้วย…

จะอย่างไรเยี่ยนฮูหยินก็คาดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้บุตรชายจะกระทำการเด็ดขาดถึงเพียงนี้ จึงโมโหจนตัวสั่น

มีความคิดจะโหวกเหวกโวยวายที่หน้าประตู แต่นางก็เป็นคนที่รักหน้าตาเช่นกัน หากว่าปล่อยให้ทุกคนทราบกันหมดว่าฮูหยินเยี่ยนผู้สูงศักดิ์เช่นนางถูกบุตรชายปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมงานแต่ง เช่นนั้นวันหน้านางจะมีหน้าอยู่ที่สกุลเยี่ยนได้อย่างไร?

นางอับจนหนทางหมดแล้ว ทำได้เพียงจากไปอย่างคอตก

จวบจนยามนี้เอง นางถึงได้เข้าใจแล้วว่าตนทำอะไรผิดพลาดไปกันแน่! บุตรชายไม่ยอมยกโทษให้นางอีกแล้วจริงๆ

เดิมทีนางยังนึกอยู่ว่าลูกชายแค่ขุ่นเคืองนางเท่านั้น ยามนี้ดูทรงแล้ว เรื่องราวมิได้ง่ายดายเพียงการขุ่นเคืองแน่ๆ และมิใช่ว่าพอขุ่นเคืองนางไปสักสองสามปีแล้วแม่ลูกจะกลับมาคืนดีกันได้ดั่งกาลก่อน…

มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่านางจะสูญเสียบุตรชายคนนี้ไปอย่างแท้จริง!

กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีไม่ได้รั้งอยู่ที่นั่นกับจิ้งจอกน้อยนานนัก เวลาของพวกเขามีค่าอย่างยิ่ง!

หลายวันมานี้กู้ซีจิ่วเสาะแสวงหาวิธีแก้ไขชะตาชีวิตของตี้ฝูอีอยู่ตลอด…

ที่น่าเสียดายก็คือ เธอเสาะแสวงหานักพรตผู้วิเศษแทบจะทั้งหมดในโลกใบนี้แล้ว กลับไม่มีใครมีหนทางเลยสักคน

เธอถึงขั้นที่ไม่สนใจการขัดขวางของตี้ฝูอี โอบกอดความหวังเสี้ยวสุดท้ายไปตามหาคนบ้าผู้นั้น…

เรื่องราวได้รับการยืนยันแล้ว คนผู้นั้นเป็นแค่คนบ้าคนหนึ่ง! ไม่ใช่คนเบื้องบนอันใด

—————————————————————————

บทที่ 1807 ความหวัง

การเฝ้ามองดูคนที่รักเดินเข้าใกล้ความตายทีละนิดๆ ทว่าทำสิ่งใดไม่ได้เลย จะเป็นประสบการณ์แบบไหนกัน?

คนที่มีความตั้งใจไม่มากพอจะต้องแตกสลายในทันทีอย่างแน่นอน!

ต่อให้เป็นกู้ซีจิ่วก็ยิ่งร้อนใจเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้จะยังมองสิ่งใดไม่ออกจากใบหน้าตี้ฝูอี ซึ่งยังคงรูปงามอ่อนเยาว์ พละกำลังเหลือล้นดังเดิม ทว่าดาวดวงใหญ่ดวงนั้นที่เป็นตัวแทนของเขาริบหรี่ไร้ซึ่งแสงสว่าง ง่อนแง่นสั่นคลอน มีท่าทีจะร่วงหล่นอยู่ตลอดเวลา…

ตี้ฝูอีเพิ่งสอนวิชาโหราศาสตร์ให้เธอเมื่อครึ่งเดือนก่อน

วิชาโหราศาสตร์ที่แท้จริงสลับซับซ้อนยิ่งนัก ไม่ใช่แค่ดูกลุ่มดาวหรือความสว่างไสวของดวงดาว แต่สามารถดูความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมโทรมของราชวงศ์ ผลกระทบ โชคชะตา เคราะห์กรรมและอื่นๆ ของบุคคลที่เกี่ยวข้องได้

ไม่ใช่ศาสตร์ที่จะเรียนรู้ได้ในช่วงเวลาอันสั้นเลย

เนื่องจากเวลาของตี้ฝูอีถี่กระชั้นจริงๆ และไม่สอนก็ไม่ได้อีก เขาจึงได้ยื้อไปยื้อมาจนถึงบัดนี้

หลังจากเรียนรู้ขั้นพื้นฐานที่สุด กู้ซีจิ่วจะอยู่ในแท่นชมดาวเป็นเวลานานแทบทุกวัน

ยิ่งดูก็ยิ่งตึงเครียด…

และยิ่งดูก็ยิ่งสิ้นหวัง…

นี่ก็เหมือนกับคนผู้หนึ่งที่ไม่ได้มีโชคชะตาที่ดี หากเธอไม่เคยได้รับรู้ เช่นนั้นก่อนหายนะครั้งใหญ่จะมาถึง เธอจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข มีการรอคอยที่ไม่เหมือนกันในทุกๆ วัน คนที่ใช้ชีวิตอยู่ได้ก็จะใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีสีสันเช่นกัน

ทว่าหากมีวันหนึ่ง มีคนที่คาดการณ์ได้อย่างเที่ยงตรงและแม่นยำมาบอกว่า คนที่เธอใส่ใจที่สุดจะดับขันธ์ลงวันใด อีกทั้งยังไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เช่นนั้นเธอจะใช้ชีวิตอย่างเป็นกังวล หวาดกลัว ยิ่งเข้าใกล้วันนั้นเท่าใด เธอก็ยิ่งเคร่งเครียดยิ่งหวาดผวา…

กู้ซีจิ่วตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เธอยิ่งดูผังดวงดาวเป็นเท่าใด ความรู้สึกเป็นกังวลและหวาดกลัวก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้นเท่านั้น! หนักอึ้งดั่งภูเขาลูกหนึ่ง แทบจะหายใจไม่ค่อยสะดวก!

เธอมองดาวราชันที่โอนเอนง่อนแง่น แทบอยากจะโบยบินขึ้นไปหยุดยั้งการร่วงหล่นของมัน หรือประคับประคองมันอยู่เบื้องล่าง…

การเรียนรู้วิชาโหราศาสตร์ทำให้เธอเข้าใจว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงการร่วงหล่นของดวงดาราได้ เธอไม่มีวิธีใดๆ

เธอเคยพูดคุยถึงเรื่องนี้กับเสียงที่แว่วดังขึ้นเป็นครั้งคราวในหัว ขอร้องให้มันโปรดเมตตา แม้ว่าจะต้องเอาอายุขัยทั้งหมดของเธอให้ตี้ฝูอีก็ตาม ทว่าเสียงนั้นเพียงแต่ทอดถอนใจ บอกว่านี่คือสิ่งที่มิอาจขัดขืน ให้เธอยอมแพ้เสีย…

เธอเริ่มนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน…

ความเจ็บปวดจากการสูญเสียเช่นนี้ไม่มีทางบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เจ็บปวดยิ่งกว่าความสัมพันธ์ที่แตกสลายเป็นร้อยเท่า…

แน่นอนว่าเธอไม่ต้องการเพิ่มความกดดันในใจของตี้ฝูอีมากนัก ภายนอกยังคงแสดงท่าทางค่อนข้างสงบนิ่ง เพียงแต่ตัวคนค่อยๆ ซูบผอมลงทุกวัน

อย่างไรเสียตี้ฝูอีก็กำลังจะร่วงหล่น ในที่สุดก็ปกปิดความเสื่อมถอยทั้งห้าเอาไว้ไม่อยู่ ถึงแม้รูปลักษณ์จะไม่ต่างจากเดิมมาก ทว่าไม่มีชีวิตชีวาดังเดิม เหนื่อยล้าและซึมเซาได้ง่าย…

หากจิตใจมิเป็นกังวล เขาก็จะยอมรับความเป็นจริงนี้ได้อย่างสงบนิ่ง อย่างไรเสียเขาก็ใช้ชีวิตอยู่มาเกือบหมื่นปีแล้ว มองทุกสิ่งทุกอย่างทะลุปรุโปร่งนานแล้ว ไม่ได้เก็บเอาเรื่องความเป็นความตายมาคิด

ทว่ายามนี้เขามีคนจับจองหัวใจ เขาอาลัยอาวรณ์ความอบอุ่นของนาง ทนทิ้งนางไว้คนเดียวไม่ไหว ไม่อยากทำให้นางเจ็บปวด แต่คนที่ทำให้นางเจ็บปวดมากที่สุดกลับเป็นเขา เขารู้สึกผิดที่อาลัยอาวรณ์…

เดิมทีที่เขาควรจะหลับลึกก็หลับตื้น…

นอนหลับไปเพียงครู่หนึ่งก็ตื่นขึ้นมาอยู่บ่อยครั้ง และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาทุกครั้งก็จะมองเห็นนางหลับตาลงแสร้งนอน ทว่าแพขนตายังคงสั่นไหว…

มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เขาลืมตาขึ้นมาเร็วเกินไป นางแสร้งนอนหลับไม่ทัน สายตาของเขาประสานเข้ากับดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อล้นคู่หนึ่งของนาง!

ตอนนั้นนางเบิกตาจ้องมองเขา นัยน์ตามีน้ำตานอง มือข้างหนึ่งเกาะกุมสาบเสื้อของเสื้อคลุมด้านในไว้แน่น สายตาเปี่ยมความอ่อนล้าและหมดหนทาง…

————————————